ในที่สุดโลงศพหน้าปากประตูทางเข้าออกบานใหญ่ก็ถูกแบกไปเสียที ผู้ชมที่รายล้อมก็พากันแยกย้ายแล้วเช่นกัน หลินหลันเรียกแม่เหยามาพบ ให้นางไปซื้อกระดาษทองมาจำนวนหนึ่งและเผาปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
หลังได้รับการบอกกล่าว หยินหลิ่วก็วิ่งเหยาะๆ กลับมาตลอดทาง ซึ่งนั่นส่งผลให้นางทิ้งระยะห่างจากหรูอี้มาไกลพอตัว ทันทีที่ถึงประตูทางเข้าจวน บังเอิญเจอนายหญิงสะใภ้รองเตรียมเดินออกไปข้างนอกพอดิบพอดี
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านกลับมาแล้วจริงๆ ด้วย! ข้าน้อยยังคิดว่าหรูอี้หลอกข้าเสียอีกเจ้าค่ะ!” หยินหลิ่วส่งเสียงกระโตกกระตากด้วยความตื่นเต้นดีใจ
หลินหลันเห็นนางวิ่งอย่างกระหืดกระหอบ บนหน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ จึงตำหนิด้วยรอยยิ้ม “ดูเจ้าเข้าสิ ยังนิสัยใจร้อนไม่เปลี่ยน”
“ข้าน้อยจะไม่ใจร้อนได้อย่างไรเจ้าคะ ข้าน้อยอยากจะบินได้ด้วยซ้ำ! เช่นนั้นจะได้บินไปหาเอ้อร์เส้าหน่ายนายที่ชายแดนอย่างไรเจ้าคะ” หยินหลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้มระรื่นพลางปาดเหงื่อ
ดีจัง ได้ยินหยินหลิ่วส่งเสียงจอแจเสมือนนกกระจิบกระจอกตัวน้อย มันช่วยให้หลินหลันรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก
“นี่เอ้อร์เส้าหน่ายนายกำลังจะออกไปข้างนอกหรือเจ้าคะ” หยินหลิ่วเอ่ยถาม นายหญิงสะใภ้รองออกจากจวน คงไม่ใช่ตั้งใจมาต้อนรับนางเป็นพิเศษอย่างแน่นอน
หลินหลันกล่าว “ข้าต้องไปจัดการธุระเรื่องหนึ่ง เจ้ากลับไปเรือนหลั้วเซี๋ยจายก่อนแล้วกัน!”
หยินหลิ่วเขยิบเข้ามาเกาะหนึบด้วยรอยยิ้มระรื่น “ให้ข้าน้อยติดตามเอ้อร์เส้าหน่ายนายไปด้วยเถอะนะเจ้าคะ! เมื่อก่อนเอ้อร์เส้าหน่ายนายออกไปทำธุระข้างนอกก็พาข้าน้อยไปด้วยเสมอ หลายเดือนมานี้ข้าน้อยว่างงานจนแทบเฉาตายอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
หลินหลันหลุดหัวเราะออกมา “ในเมื่อเจ้าไม่กลัวเหนื่อย จะไปด้วยกันก็ได้!”
แม่โจวจัดการเรียกปี้หรูไปยังร้านน้ำชาที่สงบเงียบแห่งหนึ่งล่วงหน้า
“แม่โจว เหตุใดเอ้อร์เส้าหน่ายนายถึงยังไม่มาอีกหรือ” ปี้หรูรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจ นางดื่มน้ำชาจนหมดไปหนึ่งกาน้ำแล้ว แต่ยังไร้วี่แววของนายหญิงสะใภ้รอง
แม่โจวยิ้มเล็กยิ้มน้อย แล้วกล่าว “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป เอ้อร์เส้าหน่ายนายเพิ่งมาถึงบ้านวันนี้ จะอย่างไรก็ต้องล้างหน้าล้างตา อาบน้ำอาบท่าเสียก่อนถึงจะออกจากบ้านได้มิใช่หรือ”
ปี้หรูทำได้เพียงอดทนรอคอย
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ นางอยู่ชั้นบนเจ้าค่ะ” จิ่นซิ่วเดินนำนายหญิงขึ้นสู่ชั้นบน
แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายมาแล้วเจ้าค่า”
ปี้หรูรีบจัดระเบียบเสื้อผ้าและนั่งแน่นิ่งอย่างเอาจริงเอาจัง ตามจริงนางรู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะนายหญิงสะใภ้รองเคยช่วยชีวิตนางแล้วยังให้เงินนางอีกด้วย เพียงแต่นางวกไปวนมา ท้ายที่สุดก็ยังกลับมาเมืองหลวงจนได้ เพราะความรู้สึกภายในใจที่ทำใจยอมรับไม่ได้เท่าใดนักอยู่เรื่อยมา คาดไม่ถึงว่า หลังกลับมายังเมืองหลวงและได้ถามไถ่ข่าวคราว ปรากฏว่าตระกูลหลี่พังพินาศไปนานแล้ว นายท่านใหญ่หลี่ถูกเนรเทศ นางฮานกลับบ้านเกิด คุณชายใหญ่ก็ได้รับผลกระทบไปตามๆ กันจนเสียตำแหน่งขุนนาง จึงต้องไปเปิดกิจการร้านน้ำชา สำหรับนางมันช่างเป็นอะไรที่สะใจจริงๆ นางฮานโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ ในที่สุดก็ได้รับผลของการกระทำ ดังนั้น นางจึงเกิดความนึกคิดขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อปราศจากนางฮานผู้เป็นอุปสรรค นางกับคุณชายใหญ่ก็จะได้ครองคู่กันใหม่อีกครั้ง นางเชื่อว่าคุณชายใหญ่ยังคงชอบนาง แต่คาดไม่ถึงเลยว่า คุณชายใหญ่จะปฏิเสธนางอย่างไร้เยื่อใย นี่ทำให้นางโกรธเคืองเป็นอย่างยิ่ง หรือว่าความรู้สึกที่คุณชายใหญ่แสดงออกต่อนางเมื่อก่อนล้วนเป็นการลวงหลอก? คุณชายใหญ่เคยกล่าวว่า มีเพียงการได้อยู่กับนางเท่านั้น การใช้ชีวิตอยู่ถึงจะมีความสุขที่สุด เขาชอบนางผู้เดียว…นางจึงพยายามทนทุกข์อย่างถึงที่สุดเพื่อคุณชายใหญ่ และเกือบเอาชีวิตไม่รอด คุณชายใหญ่กลับไร้เยื่อใยต่อนางเช่นนี้ แล้วจะให้ทำใจยอมรับได้อย่างไรหรือ ด้วยเหตุนี้นางจึงไปสร้างปัญหาถึงที่ พวกเขาไม่ให้นางได้มีความสุข นางก็จะไม่ให้พวกเขาได้สงบสุขเช่นกัน เพียงแต่…การต้องเผชิญหน้ากับนายหญิงสะใภ้รอง ส่งผลให้นางรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย
หลินหลันผ่านประตูเข้ามา เห็นปี้หรูนั่งวางมาดเอาจริงเอาจังอยู่ตรงนั้น เสมือนเผชิญหน้ากับปัญหาอันใหญ่หลวง นางเห็นแล้วก็อดนึกขันไม่ได้ จึงส่งเสียงทักทายอย่างอ่อนหวาน “ปี้หรู ไม่เจอกันนานเลยนะ”
นายหญิงสะใภ้รองปั้นหน้ายิ้มแย้มต้อนรับ ปี้หรูจึงไม่อาจยืนหยัดวางหมาดเช่นเดิมได้อีก นางพยายามเผยรอยยิ้มขึ้นมา พลางลุกขึ้นคารวะ “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย สบายดีนะเจ้าคะ!”
แม่โจวช่วยดึงเก้าอี้ให้นายหญิงสะใภ้รอง จากนั้นหลินหลันจึงหย่อนตัวลงนั่ง และกล่าวอย่างอ่อนหวาน “ข้าสบายดี ข้าคิดว่าเจ้าจะสบายดีเช่นกันเสียอีก”
ปี้หรูเผยสีหน้าสลด ตามด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เอ้อร์เส้าหน่ายนายพูดติดตลกเสียแล้ว คนอย่างข้าเช่นนี้ จะสุขสบายไปได้สักเพียงใดกันเจ้าคะ”
หลินหลันรินน้ำชาให้ตนเอง ตั้งแต่กลับเข้าสู่เมืองหลวง นางก็วิ่งวุ่นไม่เว้นว่าง แม้แต่น้ำชาสักหยดก็ยังไม่ได้ดื่ม จึงรู้สึกกระหายจะแย่
หลังจิบน้ำชาเข้าไปอึกหนึ่ง หลินหลันจึงกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น “ตามจริงจะสุขสบายหรือไม่ มิได้ขึ้นอยู่กับได้กินดี ได้สวมใส่เสื้อผ้าดีๆ แต่อยู่ที่สภาพจิตใจของเจ้าเอง ภูมิหลังข้าก็เป็นคนชนบท เคยลำบากตรากตรำมาไม่น้อยไปกว่าเจ้า แต่ข้าไม่เคยคิดว่าตนเองไม่สุขสบายแต่อย่างใด ทุกวันล้วนเต็มไปด้วยความสุขกายสบายใจ เจ้าไม่สุขใจมันก็แค่วันวันหนึ่ง เจ้าสุขใจมันก็แค่วันวันหนึ่งเช่นกัน ชีวิตคนเราสั้นนัก และไม่รู้จะจบลงเมื่อใด แล้วไยต้องทำให้ตนเองกลัดกลุ้ม ทำให้ตนเองไม่มีความสุขไปด้วยล่ะ”
ปี้หรูเข้าใจความหมายในคำกล่าวของนายหญิงสะใภ้รอง มันคือการบอกนางว่าการกระทำนี้ไม่ต่างจากการหาเรื่องความทุกข์ระทมใส่ตนเอง
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายอย่าโทษข้าเลยเจ้าค่ะ คนเราต่างต้องรู้จักทะเยอทะยานและไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีโดยง่าย ข้าไม่อาจกล้ำกลืนความรู้สึกนี้ได้จริงๆ เจ้าค่ะ” ปี้หรูกล่าวด้วยความขุ่นเคืองใจ
หลินหลันอมยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าต่อสู้ไปแล้วจะได้อะไรหรือ ทั้งๆ ที่เจ้ารู้ดีว่าต้าเส้าเหยียไม่รับเจ้าเป็นอนุภรรยาอีกแล้ว เจ้าร้องไห้ เจ้าโวยวาย เจ้าเอาหัวโขกกำแพง เจ้าจะแขวนคอตาย เจ้าจะทำลายชื่อเสียงของตระกูลหลี่ เจ้าจะทำลายชื่อเสียงของนางฮาน ล้วนไม่ได้อะไรขึ้นมาทั้งนั้น ชื่อเสียงของตระกูลหลี่พังพินาศไปนานแล้ว ความอำมหิตของนางฮานก็แพร่งพรายไปทั่วตั้งนานแล้วเช่นกัน ดังนั้นต้าเส้าเหยียจึงไม่จำเป็นต้องแยแสใดๆ เช่นกัน เจ้ากระทำเช่นนี้ นอกจากเป็นการสร้างความทุกข์ให้ตนเอง แล้วยังจะได้อันใดอีกหรือ มีแต่จะทำให้ต้าเส้าเหยียเกลียดชังเจ้ายิ่งขึ้น และลบเลือนความทรงจำที่ยังพอหลงเหลืออยู่เหล่านั้นไปหมดสิ้น เจ้าว่าคนรอบข้างจะเห็นใจเจ้า และหันมาร่วมตำหนิต้าเส้าเหยียที่ปฏิบัติต่อเจ้าเสมือนของเล่นจากนั้นก็ทอดทิ้งไปในท้ายที่สุดเช่นนั้นหรือ ไม่หรอก เจ้าคิดผิดแล้ว ผู้อื่นมีแต่จะหัวเราะเยาะเจ้า หากคุณชายบ้านไหนถูกใจสาวใช้ จะเป็นจะตายก็ต้องร่วมชีวิตกับสาวใช้ผู้นี้ให้ได้ เช่นนั้นต่างหากถึงจะถูกคนเขาหัวเราะเยาะ! คุณชายกับสาวใช้ ต่างก็เป็นแค่การฆ่าเวลาไปสนุกๆ เท่านั้นมิใช่หรือ มีที่ไหนบ้างที่เขาจริงใจอย่างแท้จริง”
“ไม่มีทาง ต้าเส้าเหยียชอบข้าด้วยใจจริง” ปี้หรูกล่าวแม้ไม่รู้สึกมั่นใจเอาเสียเลย
“เจ้าคิดผิดอีกแล้ว ต้าเส้าเหยียไม่เคยชื่นชอบเจ้าอย่างแท้จริง ต้าเส้าหน่ายนายต่างหากล่ะ คือคนที่ต้าเส้าเหยียชอบ เพื่อต้าเส้าหน่ายนาย แม้กระทั่งคนที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวอย่างอนุภรรยาเว่ย เขาล้วนไล่ตะเพิดออกไป แล้วยังจะต้องการเจ้าอีกหรือ” หลินหลันกล่าวเชิงดูถูก สตรีผู้นี้ มาถึงตอนนี้แล้วยังคิดฝันหวานอยู่ได้!
สีหน้าปี้หรูซีดเผือด
“ใครๆ ต่างกล่าวว่า ยอมเชื่อว่าโลกนี้มีภูตผีวิญญาณ แต่ไม่อาจเชื่อลมปากของบุรุษได้ โดยเฉพาะประเภทพูดจาหวาดหยดย้อยเหล่านั้น มันก็แค่การเอาใจบรรดาสตรีเท่านั้นเอง หากเจ้าคิดเป็นจริงเป็นจัง ก็ไม่ต่างจากการทำร้ายตนเอง ตนเองมัวยึดติดไม่ยอมปล่อยวาง จะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไรหรือ” หลินหลันกล่าวอย่างใจเย็น
นัยน์ตาปี้หรูเริ่มรู้สึกเสมือนปรากฏชั้นหมอกบางเคลือบไว้หนึ่งชั้น นางกล่าวขึ้นด้วยความเศร้าโศก “บางทีท่านอาจพูดถูก แต่ข้าไม่อาจทำใจยอมรับได้จริงๆ เพื่อเขา ข้าสูญเสียลูก และเกือบเอาชีวิตไม่รอด ข้าชอบต้าเส้าเหยียจริงๆ นะเจ้าคะ”
“ความทุกข์ของคนเราทั้งหมด ก็เพราะไม่อาจมองหัวใจของตนเองได้ทะลุปรุโปร่ง มักดื้อรั้นในบางเรื่องที่ไม่ควรดื้อรั้น เรื่องราวบางอย่างผ่านพ้นไปแล้วก็ไม่มีวันหวนกลับมาอีก คนเราต้องมองไปข้างหน้า มิใช่มองกลับมาข้างหลัง…”
นัยน์ตาปี้หรูเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา จากนั้นหยาดน้ำตาเม็ดใหญ่ก็ไหลรินลงมา “เช่นนั้นหลังจากนี้ข้าควรทำเช่นไรเจ้าคะ!” นางกล่าวพลางสะอึกสะอื้น
หลินหลันถอนหายใจ “เดิมทีข้าไม่อยากแวะมานี่หรอก วิธีการจัดการเจ้ามีมากโข แต่แน่นอนว่าข้าคงไม่กระทำการด้วยวิธีสกปรกอย่างเช่นนางฮานหรอก แต่ด้วยชีวิตของเจ้าเป็นข้าที่ช่วยเหลือไว้ ข้าไม่หวังที่จะต้องเห็นเจ้าล้ำเส้นตนเองเช่นนี้ ส่วนประเด็นที่ว่าจะทำเช่นไร เจ้าควรทำตนเองมิใช่ถามผู้อื่น ในเมื่อเจ้าต้องเป็นคนเลือกเส้นทางด้วยตนเอง”
แม่โจวกล่าวแทรกขึ้นมาหนึ่งประโยค “ปี้หรู กลับบ้านเกิดเถอะ! เจ้าอายุยังน้อย หาคนดีๆ สักคนแต่งงานด้วยและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข นี่สิถึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดของสตรีอย่างเราๆ”
ปี้หรูกล่าวขึ้นทันควัน “ยังจะมีผู้ใดต้องการข้าอีกหรือ”
“จะไม่มีผู้ใดต้องการเจ้าได้อย่างไร เจ้าหน้าตาสรสวย ทั้งยังมีทักษะงานฝีมือยอดเยี่ยม ขอเพียงเจ้ายินดี คงต้องมีบุรุษดีๆ สักคนชื่นชอบเจ้า การเป็นอนุภรรยาในตระกูลร่ำรวย เลี้ยงปากท้องให้ไร้ความกังวลได้ก็จริง แต่จำเป็นต้องคอยสังเกตสีหน้าของนายหญิงอยู่ร่ำไป เพียงความประมาทเลินเล่อเดียวอาจถึงแก่ชีวิตเอาได้ ต้องคอยหวาดระแวงตลอดทั้งวัน และต้องแข่งกันเอาอกเอาใจ เจ้าชอบการใช้ชีวิตเช่นนี้หรือ อนุภรรยาต่อให้ร่ำรวยขึ้นมาเพียงใดก็ยังเป็นแค่คนชั้นต่ำ ภรรยาหลวงต่อให้ยากจนแร้นแค้นเพียงใด แต่กลับได้รับการเคารพนับถือ ปี้หรู เจ้าไตร่ตรองเองให้ดีๆ แล้วกัน!” หลินหลันส่งสายตาให้จิ่นซิ่วทันทีที่กล่าวจบ จิ่นซิ่วจึงก้าวเดินเข้ามาแล้ววางเงินหนึ่งห่อไว้เบื้องหน้าปี้หรู
หลินหลันชักสีหน้าเคร่งขรึม “นี่คือครั้งสุดท้ายที่ข้าช่วยเจ้า หากเจ้ายังตามืดบอด ข้าก็ช่วยอะไรมิได้แล้ว แต่หากเจ้ากล้ามาสร้างปัญหาถึงที่อีก ข้าจะจับเจ้าส่งให้เจ้าหน้าที่ทางการ หากเจ้าต้องการไปตายอยู่หน้าบ้านตระกูลหลี่ อย่างมากข้าก็คงช่วยออกเงินซื้อผ้าห่อศพให้สักผืน จากนั้นก็ห่อไปโยนทิ้งในสุสาน ข้าคงพูดได้เท่านี้ เจ้าคงรู้ตัวเองดีว่าควรทำเช่นไร”
ปี้หรูฟุบลงบนโต๊ะแล้วปล่อยเสียงร้องไห้โฮด้วยความทุกข์ หลินหลันส่ายหน้า จากนั้นลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป
หยินหลิ่วกล่าวขึ้นหลังเดินออกจากร้านน้ำชา “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านก็ช่างใจดีเกินไปแล้วนะเจ้าคะ ยังอุตส่าห์ให้เงินนาง ท่านไม่รู้ว่านางไปโหวกเหวกโวยวายอยู่ตั้งสองวัน ทั้งยังด่าท่อไปจนถึงบรรพบุรุษตระกูลหลี่สิบแปดชั่วโครตก็ว่าได้ อีกอย่าง นี่เป็นเรื่องของครอบครัวต้าเส้าเหยียแท้ๆ”
หลินหลันกล่าวเชิงตำหนิ “ไม่ว่าจะครอบครัวต้าเส้าเหยียหรือครอบครัวเอ้อร์เส้าเหยีย จวนหลี่ก็เป็นบ้านของข้าด้วยเช่นกัน! มิใช่ข้ากลัวนางโวยวายใหญ่โต แต่การต้องคอยได้ยินอะไรเช่นนี้มันชวนอึดอัดใจจะแย่มิใช่หรือ หากการจ่ายเงินอันน้อยนิดนี้ทำให้คนเขาสงบลงได้ แล้วจะเป็นไรไปหรือ”
หยินหลิ่วแลบลิ้นอย่างทะเล้น
แม่โจวกล่าว “เอ้อร์เส้าหน่ายนายพูดถูกเจ้าค่ะ มาคิดๆ ดูแล้วคำพูดเด็ดขาดที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายทิ้งท้ายไว้ เกรงว่าปี้หรูคงไม่กล้ามาอีกแล้วละเจ้าค่ะ นางก็แค่ยึดติดว่าต้าเส้าเหยียนิสัยดีกว่าใครไหนๆ”
จิ่นซิ่วกล่าว “พอเอ้อร์เส้าเหน่ายนายกลับมา ก็เป็นอันต้องยุ่งวุ่นวายไม่หยุดหย่อน รีบกลับไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ!”
แม่โจวกล่าวขึ้นบ้างเช่นกัน “นั่นสิเจ้าคะ คืนนี้ ข้าจะให้กุ้ยซ่าวทำอาหารอร่อยๆ ที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายชอบไว้ให้เต็มโต๊ะเลยเจ้าค่ะ ถือเสียว่าเป็นการต้อนรับการกลับมาของเอ้อร์เส้าหน่ายนายอย่างไรเจ้าคะ”
หลินหลันกล่าว “ท่านพูดถึงเพียงนี้ ข้าจะล้างท้องรอเลยแล้วกัน พวกเจ้าไม่รู้อะไร ตอนที่อยู่ทางด้านชายแดนนั่น ลำบากเสียยิ่งกวว่าอะไร มีน้ำร้อนให้ดื่มก็นับว่าไม่เลวแล้ว หลายเดือนมานี้ ท้องไส้ข้าแทบจะห่อเหี่ยวหมดแล้ว คงต้องบำรุงให้เต็มที่สักหน่อย”
แม่โจวได้รับฟังดังกล่าว จึงอดรู้สึกปวดใจไม่ได้ “ช่างเป็นอะไรที่ทำให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายลำบากจริงๆ เฮ้อ! เอ้อร์เส้าเหยียที่น่าสงสาร ยังต้องลำบากอีกเท่าใดกันนะเจ้าคะ…”
จ้าวจัวอี้อาศัยช่วงเวลาที่พี่สะใภ้ออกจากบ้าน เขาเองก็รีบออกจากบ้านเช่นกัน โดยมุ่งไปยังจวนแม่ทัพฮ๋วยหยวน
ก่อนออกเดินทาง แม่ทัพหลินตั้งใจเรียกเขาไปพบเป็นการเฉพาะ และมอบจดหมายให้เขาหนึ่งฉบับ โดยสั่งเขาว่าให้นำไปส่งที่จวนแม่ทัพฮ๋วยหยวน แล้วยังกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าให้พี่สะใภ้รับรู้ จ้าวจัวอี้ไม่รู้ว่าในการกระทำลับๆ ล่อๆ ของท่านแม่ทัพมีอะไรแอบแฝงหรือไม่ จึงนำเรื่องนี้บอกกล่าวใต้เท้าหลี่ ใต้เท้าหลี่กล่าวเพียงว่าให้เขาทำตามความประสงค์ของแม่ทัพ
เฝิงซูหมิ่นกำลังทำงานเย็นปักถักร้อย พลางฟังซานเอ๋อร์อ่านตำรา เมื่อเห็นซานเอ๋อร์ส่ายศีรษะอย่างเป็นจริงเป็นจัง เฝิงซูหมิ่นไม่สบายใจอย่างยิ่ง เพราะผู้เป็นสามีเคยกล่าวว่า ภายภาคหน้าต้องสอนซานเอ๋อร์เรียนรู้การทหาร ภายภาคหน้าจะได้เป็นแม่ทัพใหญ่ แต่นางไม่เห็นด้วย สามีของตนเองไปเฝ้ารักษาการณ์ที่แนวเขตชายแดนเนิ่นนานหลายปี ระหว่างสามีภรรยาได้พบเจอและพูดคุยกันน้อยนิด ทุกวันล้วนต้องคอยเป็นกังวล เพราะเกรงว่าจะได้รับข่าวร้าย หากภายภาคหน้าซานเอ๋อร์ต้องเข้าร่วมสนามรบด้วยเช่นกัน นางคงได้กลัดกลุ้มจนตายเป็นแน่
“ฮูหยินเจ้าคะ ด้านนอกมีคนขอเข้าพบเจ้าค่ะ กล่าวว่านำจนหมายของนายท่านมาให้เจ้าค่ะ” เนี่ยนเฉียวผู้เป็นสาวใช้เข้ามารายงาย
เฝิงซูหมิ่นตื่นตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน นางจึงรีบละมือจากงานเย็บปักถักร้อยไว้เพียงเท่านั้น “รีบไปพาคนเขาไปยังโถงรับแขกส่วนหน้า ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ละ”
ซานเอ๋อร์หยุดอ่านตำรา เขาลื่นไถลลงจากเก้าอี้สูงแล้ววิ่งไปอยู่ข้างกายมารดา จากนั้นกระตุกแขนเสื้อของมารดา ดวงตาคู่โตเปล่งประกายสดใสขณะจ้องมองมารดาที่กำลังยิ้มแย้มและเอ่ยอย่างออดอ้อน “ซานเอ๋อร์ก็อยากอ่านจดหมายท่านพ่อเช่นกัน ซานเอ๋อร์รู้จักตัวหนังสือแล้วขอรับ”