เฝิงซูหมิ่นลูบดวงหน้าเรียวมนจ้ำม่ำนุ่มนิ่มของซานเอ๋อร์อย่างเอ็นดู และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นซานเอ๋อร์ไปพร้อมกับแม่ดีหรือไม่”
ซานเอ๋อร์พยักหน้าจริงจังด้วยความดีใจ จากนั้นจูงมือมารดาเดินมุ่งออกไปด้านนอก และพยายามข้ามธรณีประตูด้วยท่อนขาเล็กๆ ของตนเอง
เฝิงซูหมิ่นกล่าวด้วยความตื่นเต้นปนดีใจ หลังได้ฟังจ้าวจัวอี้แนะนำตัว “ที่แท้หมอหลินก็กลับมาแล้วเช่นกันหรือ”
จ้าวจัวอี้กล่าว “หมอหลินกลับเมืองหลวงครั้งนี้ เพื่อเตรียมวัตถุดิบยาให้ทางด้านชายแดนขอรับ”
เฝิงซูหมิ่นกล่าวด้วยความดีใจ “กลับมาก็ดีแล้ว ข้ายังบ่นถึงนางอยู่เรื่อย!”
“นี่เป็นจดหมายที่แม่ทัพหลินให้ข้าน้อยนำมามอบให้ฮูหยินขอรับ” จ้าวจัวอี้นำจดหมายยื่นให้
เฝิงซูหมิ่นรับจดหมายไว้ ภายในใจเต็มไปด้วยความดีอกดีใจ ไม่มีเรื่องอะไรทำให้นางดีใจได้เท่ากับการได้รับจดหมายของสามีอีกแล้ว ซานเอ๋อร์ส่งเสียงเร่งเร้าเพราะแทบอดทนรอไม่ไหว “ท่านแม่ เปิดเร็วเข้าขอรับ เปิดเร็วเข้า…”
เฝิงซูหมิ่นชำเลืองตามองซานเอ๋อร์พร้อมรอยยิ้ม จากนั้นกล่าวต่อจ้าวจัวอี้ด้วยความเกรงใจ “เด็กคนนี้ นิสัยใจร้อนเหมือนพ่อของเข้าเสียยิ่งอะไรดี”
จ้าวจัวอี้รำพึงรำพันในใจ คุณชายน้อยน่ารักกว่าแม่ทัพหลินมากโขต่างหาก “คุณชายน้อยคงคิดถึงท่านแม่ทัพน่ะขอรับ ข้าน้อยยังมีภารกิจต้องจัดการ ขอตัวก่อนนะขอรับ” เขากล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขารู้ดีว่าหากเขาอยู่ที่นี่ต่อ ฮูหยินจะไม่สะดวกใจในการอ่านจดหมายเท่าใดนัก อีกทั้งคนเขาแทบอดทนรอไม่ไหวที่จะเปิดจดหมายอ่าน เขาจึงรีบขอตัวออกไปแต่เนิ่นๆ อย่างรู้งาน
เฝิงซูหมิ่นสั่งเนี่ยนเฉียวไปหยิบเงินมาห่อหนึ่งเพื่อมอบเป็นรางวัลให้ จากนั้นให้ผู้ดูแลบ้านออกไปส่งจ้าวจัวอี้ถึงหน้าประตูทางออก ซานเอ๋อร์เอนกายแนบอิงในอ้อมกอดมารดา จากนั้นสองแม่ลูกจึงอ่านจดหมายไปพร้อมๆ กัน
“ถึงฮูหยิน…” ซานเอ๋อร์อ่านออกเสียงทีละตัวอักษร จากนั้นเงยหน้าเอ่ยถามมารดา “ท่านแม่ เหตุใดท่านพ่อไม่เขียนว่าถึงซานเอ๋อร์ละขอรับ”
เฝิงซูหมิ่นอดเผยรอยยิ้มแสนหวานไม่ได้ นางลูบศีรษะของซานเอ๋อร์และกล่าวอย่างอ่อนโยน “ท่านพ่อเจ้าไม่รู้ว่าซานเอ๋อร์อ่านหนังสือได้แล้ว! ไว้รอท่านพ่อเจ้ากลับมา ซานเอ๋อร์ก็แบกตำราไปอ่านให้ท่านพ่อฟัง ท่านพ่อเจ้าคงต้องดีใจมากเป็นแน่”
ซานเอ๋อร์ถึงเป็นอันเข้าใจได้ “ข้าจะแบกตำราไปอ่านให้ท่านพ่อฟังเยอะๆ เลยขอรับ”
“มา เรามาอ่านกันต่อเถิด” เฝิงซูหมิ่นลดระดับสายตาลง
“ตัวข้าอยู่ที่ชายแดน ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น เจ้าวางใจได้ ตอนนี้มีเรื่องสำคัญจำเป็นต้องบอกกล่าวฮูหยิน หลินหลันและหลินเฟิงผู้เป็นบุตรของข้าที่หายสาบสูญไปเมื่อหลายปีก่อน…”
เฝิงซูหมิ่นตระหนกตกใจ นางรีบเก็บจดหมายทันที และเกลี้ยกล่อมซานเอ๋อร์ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ซานเอ๋อร์ ท่านพ่อเจ้ามีเรื่องสำคัญบอกกล่าวผ่านจดหมาย เจ้าออกไปเล่นข้างนอกก่อนนะ”
ซานเอ๋อร์มุ่ยปาก จากนั้นจึงย่างก้าวขาน้อยๆ ออกไปอย่างไม่เต็มใจ
เฝิงซูหมิ่นรู้สึกงุนงงอย่างสุดขีดในเวลานี้ นางก้มหน้าอ่านจดหมายต่อไปโดยไม่มีจิตใจสนใจอารมณ์ของซานเอ๋อร์
“เรื่องราวซับซ้อนยิ่งนัก ยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดสั้นๆ ได้ ไว้ตัวข้ากลับเมืองหลวงแล้วค่อยบอกกล่าวฮูหยินอย่างละเอียดอีกครั้ง…ตัวข้าติดค้างพวกเขาไว้มากมายเหลือเกิน ไม่ผิดที่พวกเขาจะรู้สึกเกลียดชังข้า ตราบใดที่พวกเขาไม่ยอมรับข้าผู้นี้เป็นบิดา ข้าก็คงกินไม่ได้นอนไม่หลับ ตัวข้ารู้ดีว่าเจ้ากับหลันเอ๋อร์มีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน นางคงไม่ขัดข้องเจ้าเป็นแน่ อย่างไรก็ขอฮูหยินช่วยข้าอีกแรงด้วย…”
เฝิงซูหมิ่นอ่านจดหมายจนจบ เนิ่นนานที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดๆ ออกมาได้ ภายในใจรู้สึกสับสนและวุ่นวายไปหมด ตอนแรกที่แต่งงานกับผู้เป็นสามี เขาบอกกล่าวว่าภรรยาคนก่อนและบุตรชายบุตรสาวเสียชีวิตไปเพราะความอดยากในหลายปีก่อน ทว่าตอนนี้กลับมีบุตรชายและบุตรสาวปรากฏตัวออกมากะทันหัน ทั้งยังไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นหลินหลัน สหายที่ดีในสายตานางมาโดยตลอด เรื่องราวกะทันหันเช่นนี้ ความสัมพันธ์ของนางกับหลินหลันจะกลายเป็นการเกี่ยวข้องกันในฐานะแม่เลี้ยงและบุตรสาว นี่มันทำให้ผู้คนรู้สึกยากจะทำใจยอมรับได้
ว่ากันตามเหตุและผล นางควรดีใจแทนผู้เป็นสามีด้วยซ้ำที่ได้พบเจอบุตรชายและบุตรสาวที่หายสาบสูญไป นางควรเข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นสามีที่อยากให้บุตรชายและบุตรสาวยอมรับเขาเป็นบิดาแทบขาดใจ ทว่า เหตุผลมันเป็นเรื่องหนึ่ง พอทำเข้าจริงมันกลับไม่ง่ายดายอย่างที่พูด และหากไม่กล่าวจากการมองในมุมกลับกันเช่นนี้ นางกับหลินหลันต่างรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากกว่าใครหน้าไหน จะเข้าหน้ากันได้อย่างไร จะจัดการกับตนเองเช่นไร ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัญหา ประเด็นสำคัญยังคงเป็นซานเอ๋อร์ จากบุตรชายคนโต กลายเป็นบุตรชายคนเล็กไปเสียดื้อๆ สิ่งที่เดิมทีเป็นของซานเอ๋อร์ บัดนี้ล้วนต้องยกให้พี่ชายคนโตผู้แปลกหน้าคนนั้น…เฝิงซูหมิ่นรู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คนประเภทใจแคบแต่อย่างใด ทว่าในฐานะมารดา จะไม่ให้นางน้อยใจแทนบุตรชายของตนเองได้อย่างไรหรือ เฝิงซูหมิ่นรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง และยากเกินกว่าจะปล่อยวางความรู้สึกนี้ได้ ตอนแรกนางยังเคยถามไถ่พี่สาวของผู้เป็นสามีเป็นการเฉพาะ…ใช่แล้ว พี่สาวของผู้เป็นสามี เป็นนางที่บอกกล่าวสามีนางว่านางเฉินและลูกๆ ทั้งสองคนเสียชีวิตไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ ผู้เป็นสามีจึงทำการฝังเสื้อผ้าและของใช้ต่างๆ แทนศพของภรรยาคนก่อนและลูกๆ เขาเป็นการพิเศษ แล้วยังเคยพานางไปคารวะหลุมศพอีกด้วย
เฝิงซูหมิ่นเผยสีหน้าเย็นชา นางส่งเสียงเรียกผู้ดูแลบ้าน แล้วสั่งการผู้ดูแลบ้านให้รีบไปหางโจวเพื่อเชิญพี่สาวของผู้เป็นสามีมายังเมืองหลวง
ซานเอ๋อร์ถือกิ่งไม้ขีดเขียนลงบนพื้นอยู่ที่สวนหลังบ้านด้วยความอึดอัดใจ ขณะเดียวกันกลีบปากน้อยๆ ก็บ่นพึมพำไปเรื่อย “หลินหลัน หลินเฟิง หลินซาน…ชื่อที่ท่านพ่อตั้งให้ไม่เห็นจะพิเศษตรงไหนเลย แต่ว่า ก็ยังดีกว่าท่านพ่อของชิวหยวนซือ หยวนซือ คล้ายกับย่วนสื่อ ช่างฟังดูไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย…”
หลินหลันอาบน้ำและนอนหลับอย่างเต็มอิ่มไปพักหนึ่งจึงรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ช่วงที่อยู่บ้านทุกวันไม่รู้สึกอะไรเช่นนี้ พอได้ออกไปตรากตรำสักครั้ง จึงรู้ซึ้งว่าการได้อยู่บ้านมันช่างเป็นความสุขสบายที่สุดแล้ว!
ช่วงเวลารับประทานอาหาร หลินหลันไม่ปล่อยให้สูญเปล่า ให้จิ่นซิ่วและแม่โจวบอกเล่าสถานการณ์ภายในบ้าน
หลังนางและหมิงอวินออกจากบ้านไป หลี่หมิงเจ๋อเปิดร้านน้ำชาภายใต้การช่วยเหลือของท่านลุงตระกูลเยี่ย กิจการถือว่าพอไปวัดไปวาได้
ทว่านางฮานถูกขังอยู่เดือนกว่าก็ยังไม่ถูกปล่อยออกมา ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นนางฮานเองไม่ยอมไปไหนหลี่หมิงเจ๋อเผยท่าทีแข็งข้อต้องการให้นางไปเสีย ด้วยเหตุนี้ นางฮานจึงร้องไห้โวยวายอยู่พักหนึ่ง และเกือบทำให้หญิงชราโกรธเกรี้ยวจนโรคเก่ากำเริบ หลี่หมิงเจ๋อจึงใช้ไม้เด็ดขาด มัดมือชกพานางฮานส่งออกไปจนได้
ดูเหมือนหลี่หมิงเจ๋อก็เป็นคนที่รักษาคำพูดอยู่เหมือนกัน
ด้วยถูกนางฮานสร้างปัญหาเช่นนี้ อาการป่วยของหญิงชราจึงไม่สู้ดีนัก เดี๋ยวดีเดี๋ยวทรุด หลินหลันเลยตัดสินใจว่าอีกประเดี๋ยวจะเข้าไปดูอาการสักหน่อย
หลี่หมิงจูยังคงพักอาศัยอยู่ที่เรือนจุ้ยจิ่นเซวียน ตอนนี้น้อยครั้งมากที่จะเห็นนางออกมา นานๆ ครั้งจะออกมาสักหนก็ไม่พูดคุยอะไร และยังเอาแต่ชักสีหน้าบึ้งตึง ราวกับเขียนไว้ว่าห้ามมิให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้
คาดไม่ถึงว่าจิ่นซิ่วจะรู้จักพูดจักจาเช่นนี้ออกมากับเขาด้วย พอลองไตร่ตรองอย่างละเอียด มันก็จริงอย่างที่นางบรรยาย หลินหลันอดเผยยิ้มไม่ได้ การที่อุปนิสัยของหลี่หมิงจูเปลี่ยนไปอย่างยิ่งหลังเผชิญเหตุการณ์ร้ายครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ขอเพียงนางไม่สร้างปัญหาเฉกเช่นเมื่อก่อนก็เป็นพอ
พ่อผู้ไร้ยางอายพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่หลายเดือน หลังผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ไปแล้วถึงถูกกุมตัวไปยังถิ่นเนรเทศ ก่อนจากไป หลี่หมิงเจ๋อไม่ได้ไปส่งเขาด้วยซ้ำ ทำเพียงให้คนส่งเงินและเสื้อผ้าไปให้เล็กน้อย ก็ดีที่หลี่หมิงเจ๋อยังอุตส่าห์ส่งสิ่งของไปให้ ครานี้พ่อผู้ไร้ยางอายคงได้ไร้ผู้สืบทอดของจริงเสียแล้ว และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ถึงถิ่นเนรเทศหรือไม่
โดยสรุปคือ ทั้งหมดยังคงอยู่ในขอบเขตการคาดการณ์ของหลินหลัน ที่ทำให้นางปวดสมองแท้จริงแล้วคือ…เฝิงซูหมิ่นต่างหากล่ะ หากเฝิงซูหมิ่นรู้ว่านางกลับมาแล้ว คงต้องการพบนางให้ได้เป็นแน่ ถึงตอนนั้นจะทำอย่างไรดี ไม่แยแส? หรือทำเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น?
หลินหลันคิดไม่ตก จากนั้นจึงส่ายหน้าพัลวัน ด้วยความสามารถของนาง ยังไม่ถึงขั้นทำเป็นหน้าตาเฉยเมื่อเผชิญหน้ากัน เช่นนั้นก็พูดกันให้ชัดเจนไปเสียเลย บิดาผู้นี้นางไม่มีทางยอมรับ แน่นอนว่าฐานะมารดาเลี้ยงของเจ้านี้ก็ยอมรับไม่ได้เช่นกัน ภายภาคหน้าทำเป็นไม่รู้จักกันก็สิ้นเรื่อง หลินหลันหาข้อสรุปที่ชัดเจนให้แก่ตนเอง ใช่ เอาแบบนี้ละ เมื่อเทียบกับต้องเผชิญความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่สู้จัดการให้จบๆ ไปในครั้งเดียวเลยจะดีเสียกว่า หากจะกล่าวโทษก็เชิญไปกล่าวโทษผู้เฒ่านั้น หาได้เกี่ยวข้องกับนางไม่
“จริงสิ เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ คุณชายเฉินกับแม่นางเผยแต่งงานกันเมื่อปีที่แล้ว ต้าเส้าเหยียกับต้าเส้าหน่ายนายยังไปดื่มสุรามงคลด้วยนะเจ้าคะ” จิ่นซิ่วกล่าว
“จริงหรือ” หลินหลันกล่าวด้วยความดีใจ “เยี่ยมไปเลย ในที่สุดทั้งสองคนนี้ก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริงเสียที ข้าต้องส่งของขวัญชิ้นโตไปให้สักหน่อย”
แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายอย่ากังวลใจไปเลยเจ้าค่ะ ต้าเส้าเหยียกับนายท่านลุงล้วนส่งของขวัญแทนพวกท่านไปแล้วชุดหนึ่งเจ้าค่ะ”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มันไม่เหมือนกันเสียหน่อย ครานี้กลายเป็นว่าข้าติดค้างน้ำใจของทั้งสองท่านนั้นเสียแล้ว เจ้าคอยดูให้ดีๆ แล้วกัน เฉินจื้ออวี้ พ่อหนุ่มนั่นต้องถามหาซองแดงจากข้าเป็นแน่ ดูถูกเขาไปหน่อยแล้ว เท่ากับว่าเขาจะได้ตั้งสามชุดเชียวนะ!”
แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้คุณชายเฉินไปเกาลี่แล้วเจ้าค่ะ ฮ่องเต้มีคำสั่งให้เขาไปเกาลี่ในฐานะทูต คาดว่ากว่าครึ่งปีนู้นถึงจะกลับมาเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ องค์ชายเกาลี่ถูกรุมทุบตีเสียหนักหน่วงเพราะเขา ก็สมควรให้เขาไปเยี่ยมเยียนสักครั้งอยู่หรอก” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ขณะพูดคุย หงซางที่อยู่ข้างกายติงหลั้วเหยียนมาเยือน โดยนำตั๋วเงินจำนวนสองร้อยตำลึงเงินมามอบให้
หลินหลันรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “พี่สะใภ้เห็นข้าเป็นคนอื่นคนไกลหรือไรกัน”
หงซางกล่าวตอบ “ต้าเส้าหน่ายนายเอ่ยว่า เอ้อร์เส้าหน่ายนายช่วยพวกเขาไว้มากมายแล้ว จึงไม่อาจรบกวนเงินทองของเอ้อร์เส้าหน่ายนายได้อีก แม้ว่าการช่วยเหลือกันระหว่างเขยสะใภ้เป็นสิ่งที่สมควร แต่นี่ก็เป็นน้ำใจของเอ้อร์เส้าหน่ายนาย พวกเขามีแต่ความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง และจะให้ทำเป็นสิ่งที่ควรได้รับโดยไม่คิดแบ่งเบามิได้ ต้าเส้าหน่ายนายยังกล่าวอีกว่า ไว้รอเอ้อร์เส้าหน่ายนายพอมีเวลาว่างสักหน่อย ค่อยมาพูดคุยกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายอีกทีเจ้าค่ะ”
ติงหลั้วเหยียนก็ช่างให้ความสำคัญต่อนางเกินไปแล้ว หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน จากนั้นให้แม่โจวรับไว้ และกล่าวต่อหงซาง “ยามนี้ต้าเส้าหน่ายนายอยู่แห่งหนใดหรือ”
หงซงกล่าวตอบ “ต้าเส้าหน่ายนายหลังรับประทานมื้อเย็นทุกวัน ล้วนไปเยี่ยมเหล่าไท่ไทที่โถงจาวฮุยเจ้าค่ะ”
“อ้อ! อีกเดี๋ยวข้าก็จะไปที่นั่นเช่นกัน” หลินหลันกล่าว
หลังรับประทานมื้อค่ำเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันจึงมุ่งไปโถงจาวฮุยพร้อมหยินหลิ่ว
อาการป่วยของหญิงชราสาหัสกว่าที่หลินหลันจินตนาการไว้มาก ยามที่เห็นนาง นัยน์ตานั่นเต็มไปด้วยความว่างเปล่า เสมือนจำนางไม่ได้แล้ว แม่จู้ปาดน้ำตาพลางเอ่ยกับหลินหลัน “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ท่านต้องคิดหาวิธีสักทางนะเจ้าคะ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเหล่าไท่ไทคง…”
เห็นสภาพหญิงชราเช่นนี้ คงอยู่ได้อีกไม่นานเสียแล้ว อาการป่วยนี้ จะดีขึ้นได้ก็ด้วยอาศัยการรักษาทางสภาพจิตใจ จะให้โมโหโกรธเกรี้ยวไม่ได้ ตอนนี้นางก็จนปัญญาเช่นกัน
“หลายเดือนก่อน อาการป่วยของเหล่าไท่ไทดีขึ้นมาก เหล่าไท่ไทเดิมกล่าวว่าไว้รอฤดูใบ้ไม้ผลิมาเยือนแล้ว อากาศอบอุ่นขึ้น ต้องการกลับบ้านเกิด หากนางต้องตายก็ขอตายที่บ้านเกิด ทว่าตอนนี้…” แม่จู้ปรนนิบัติหญิงชรามาสิบกว่าปี จึงมีความรู้สึกลึกซึ้ง เมื่อเอ่ยถึงส่วนที่สร้างความทุกข์ใจ หยาดน้ำตาจึงพรั่งพรูลงมาไม่ขาดสาย
ติงหลั้วเหยียนกล่าวปลอบใจ “แม่จู้อย่าได้เป็นกังวลไปเลย เอ้อร์เส้าหน่ายนายจะต้องคิดหาวิธีรักษาท่านย่าได้เป็นแน่”
หลินหลันทำได้เพียงคล้อยตามไปเท่านั้นเช่นกัน “เดี๋ยวก็ค่อยๆ ดีขึ้น”
อวี๋เหลียนยืนอยู่ด้านข้างอย่างสงบนิ่งมาโดยตลอด นัยน์ตาของนางแฝงความเจ็บปวดไว้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ็บปวดเพราะหญิงชรา หรือเพราะตนกังวลที่สถานการณ์ภายภาคหน้าของตนเองไร้ความหวังเสียแล้ว
ว่ากันตามจริง อวี๋เหลียนเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดก็ว่าได้ ถูกคนใช้เป็นเครื่องมือจนต้องกลายเป็นอนุภรรยา เดิมทีคิดว่าอย่างน้อยๆ จะได้สุขสบาย ภายภาคหน้าหากให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวอย่างละคน ก็ยังพอได้มีที่พึ่งพิง ใครจะรู้ว่าไม่กี่วันให้หลัง พ่อผู้ไร้ยางอายก็เกิดเรื่องเสียแล้ว ข้างกายไม่มีผู้ใดที่พึ่งพาได้สักคน ความทุกข์ระทมในทุกวันนี้จึงพอเป็นอะไรที่จะจินตนาการได้
หลังเยี่ยมเยียนหญิงชราเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันและติงหลั้วเหยียนจึงพากันเดินออกมา ติงหลั้วเหยียนเดินไปพลางกล่าวพูดคุยไป “น้องสะใภ้ เจ้าให้สัญญาณที่ชัดเจนแก่ข้าได้หรือไม่ว่า ท่านย่ายังมีเวลาเหลืออยู่อีกเท่าใด”
หลินหลันนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วจึงกล่าว “ดูจากอาการ อดทนได้ถึงฤดูร้อนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
ติงหลั้วเหยียนไม่ทอดถอนหายใจออกมาด้วยความหดหู่ “หมอไม่รู้กี่ท่านล้วนพูดเช่นนี้ เห็นทีว่าคงไม่มีวิธีแล้วจริงๆ สินะ ข้ากำลังคิดว่า เรื่องที่ท่านย่าจะกลับบ้านเกิดคงเป็นไปมิได้ เช่นนั้นเราเชิญท่านลุงมาดีหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ต้องมีบุตรชายสักคนส่งนางในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตใช่หรือไม่”
หลินหลันกล่าวอย่างเห็นด้วย “คงทำได้เพียงเชิญท่านลุงมาแล้วละ ได้ยินว่าอาสามก็สุขภาพร่างกายไม่ดีเช่นกัน เกรงว่าหากต้องนั่งรถม้านานๆ เข้าร่างกายจะทนไม่ไหว”
“เช่นนั้นข้ากลับไปจะให้หมิงเจ๋อส่งจดหมายไปบ้านเกิดเขา หวังว่าท่านลุงจะรีบมาได้ทันการณ์”
“จริงสิ ข้าได้ยินว่ากิจการร้านน้ำชาของพี่ใหญ่ไม่เลวทีเดียวเชียว” หลินหลันเลือกเปลี่ยนหัวข้อสนทนา