ติงหลั้วเหยียนเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ขอบคุณน้องสะใภ้อย่างยิ่งสำหรับเรื่องต่างๆ เหล่านั้น รวมไปถึงน้ำใจของท่านลุงตระกูลเยี่ยที่มอบให้ หมิงเจ๋อเองก็ตั้งใจมากเช่นกัน กิจการถือว่าไปได้เรื่อยๆ ข้าเห็นหมิงเจ๋อทำกิจการค้าขายดูสบายใจกว่าเป็นขุนนางเสียอีก”
“สบายใจก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ตามจริงก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นขุนนางให้ได้เสมอไป เป็นขุนนางเหนื่อยเสียยิ่งกว่าอะไร ต้องประจบประแจงเบื้องบน ต้องสมัครสมานสามัคคีกับสหายร่วมงาน และต้องทุ่มเทสุดแรงใจ ทั้งคำพูดคำจาล้วนต้องระมัดระวัง จะให้เกิดความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยมิได้ หากมีความสุขในสิ่งเหล่านั้นก็แล้วไป หากรู้สึกฝืน นั่นคงเป็นอะไรที่ทุกข์จริงๆ เจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าว
“หมิงเจ๋อก็กล่าวเช่นนี้” ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็คิดได้แล้วเช่นกัน ไม่ว่าเขาจะทำอันใด ขอเพียงเขามีความสุขเท่านั้นก็เป็นพอ เพียงแต่ท่านพ่อท่านแม่ที่บ้านข้า หลังหมิงเจ๋อเปิดร้านขายใบชาก็มักบ่นอยู่เรื่อย นับวันพวกเขายิ่งดูถูกดูแคลนหมิงเจ๋อ” ติงหลั้วเหยียนรู้สึกกลัดกลุ้มอย่างยิ่งทันทีที่นึกถึงแรงกดดันจากบิดามารดา
“ท่านพ่อท่านแม่ของท่านก็แค่เป็นห่วงบุตรสาวของตนเอง ค่อยเป็นค่อยไป พวกเขาจะต้องเข้าใจได้แน่” หลินหลันกล่าวปลอบใจ นางพอจะคิดออกว่าตอนนี้บิดามารดาตระกูลติงมีความกลัดกลุ้มและเสียใจมากเพียงใด เดิมคิดว่าได้เกี่ยวดองกับตระกูลที่ดีสมดังปรารถนา คาดไม่ถึงว่าตระกูลหลี่จะดับสิ้นรวดเร็วเพียงนี้ ใต้หล้านี้ไม่มีบิดามารดาคนไหนที่ไม่เห็นแก่ตัว การต้องมองดูบุตรสาวเป็นภรรยาพ่อค้าไปเสียดื้อๆ มีหรือจะสุขใจอยู่ได้
เมื่อกลับถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย หลินหลันเริ่มเขียนจดหมายให้หลี่หมิงอวิน
นานมากแล้วที่ไม่ได้ทำเรื่องประเภทเขียนจดหมายอะไรทำนองนี้ ในชีวิตที่แล้วล้วนเป็นการส่งข้อความ โทรศัพท์และส่งอีเมล จึงนับว่าการติดต่อสื่อสารไม่เลวทีเดียว ทว่ายุคสมัยนี้มีสิ่งของประเภทนั้นเสียที่ไหนกัน การเขียนจดหมายและส่งถึงมืออีกฝ่ายได้ ถือเป็นเรื่องที่ควรขอบคุณฟ้าดินเลยก็ว่าได้ เขียนจดหมายให้หมิงอวิน แตกต่างจากการเขียนให้ผู้อื่น มีคำพูดมากมายเกินไปที่อยากพูดคุยกับเขา แล้วจะเขียนอย่างไรดีล่ะ หลินหลันกัดด้ามพู่กันพลางชำเลืองมองบนคานห้อง
หมิงอวินที่รัก…สามีที่รัก…อวินที่รัก…
หลินหลันคิดไปเรื่อยเปื่อย แม้แต่ตนเองล้วนรู้สึกขนลุกขนชัน บางคำพูดเมื่อเอื้อนเอ่ยผ่านวาจาไม่เห็นจะรู้สึกกระด้างกระเดื่อง เหตุใดพอเขียนออกมาถึงรู้สึกแปลกชอบกลเช่นนี้ล่ะ
เอาเถอะ แปลกก็แปลก! หลินหลันสับสนกับการเรียกขานอยู่เนิ่นนานพอตัว ในที่สุดก็จรดปลายพู่กันลง…เสี่ยวอวินจื่อ
หมิงอวินเห็นการเรียกขานนี้จะรู้สึกขนลุกขนชันหรือไม่ หลินหลันยิ่งคิดยิ่งสุขใจ จากนั้นจึงเริ่มเรียบเรียงบทตลกร้ายต่อไป
ในที่สุดวันนี้ข้าก็ถึงบ้านเสียที คนที่บ้านยังให้ความรู้สึกอบอุ่นเช่นเคย เตียงนอนที่บ้านแสนนุ่ม อาหารที่บ้านเอร็ดอร่อยอย่างยิ่ง ข้ากำลังคิดว่าเจ้าอยู่ทางด้านนั้นคงไม่ได้สัมผัสอะไรเหล่านี้ ดังนั้น จึงตั้งใจใช้เวลาอยู่บนเตียงให้มากๆ หน่อย กินข้าวมากขึ้นอีกชามหนึ่ง ถือว่าเป็นการดื่มด่ำแทนส่วนของเจ้าอย่างไรล่ะ…
แม่มดชราถูกขับไสไล่ส่งกลับบ้านเกิดแล้ว ท่านพ่อก็ออกเดินทางไปยังถิ่นเนรเทศที่ไกลแสนไกลอีกครั้งแล้วเช่นกัน ได้ยินว่าบาดแผลของเขาดีขึ้นมาก ทว่าส่วนที่ขาดไปไม่อาจต่อกลับได้เสียแล้ว พี่ใหญ่เปิดร้านขายใบชา กิจการถือว่ารุ่งโรจน์ทีเดียวเชียว พี่สะใภ้รู้ว่าเจ้าชอบชาปี้หลัวชุน เลยช่วยเตรียมไว้ให้เจ้าหนึ่งห่อใหญ่ แต่ข้าให้นางเตรียมไว้น้อยๆ หน่อย หรือนำผงใบชาให้เจ้าสักหน่อยก็พอแล้ว เพื่อที่ยามเจ้าอยู่ทางด้านนั้นจะได้ไม่สุขสบายเกินไปจนไม่คิดจะกลับบ้าน
เจ้าคงต้องอยากถามข้าแน่ว่าคิดถึงเจ้าหรือไม่ ข้าบอกตามตรง ยามที่ข้านอนหลับก็มีคิดถึงชั่วครู่ ยามกินข้าวก็คิดถึงขึ้นมาอีกครั้ง ตอนเขียนจดหมายให้เจ้าก็คิดถึงอยู่หลายต่อหลายครั้ง แล้วเจ้าล่ะ เจ้าคิดถึงข้าหรือไม่ หากเจ้าคิดถึงข้าไม่มากเท่าข้าคิดถึงเจ้า วันหน้าวันหลังจะไม่เขียนจดหมายถึงเจ้าอีกแล้ว
ทางตอนเหนือยังมีหิมะตกอีกหรือไม่ เมืองหลวงเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ต่างก็เริ่มผลิบานแล้ว (ข้าแค่เดาน่ะ มิได้เห็นกับตาตนเองหรอก) เจรจากับพวกทู่เจวี๋ยเป็นเช่นไรบ้างหรือ คนบางคนยังเผยความโง่เขลาด้วยการประจบประแจงไม่เข้าเรื่องอีกหรือไม่ เจ้าต้องระมัดระวังเข้าไว้
พี่ชายข้า เขาตั้งตนเป็นกบฏหรือไม่ ผู้เฒ่านั่นไปเป่าหูอะไรเขาแล้วกระมัง ข้าขอย้ำเตือนเจ้าอย่างจริงจังอีกครั้ง ห้ามมิให้วางตนสนิทชิดเชื้อกับผู้เฒ่านั่นยามที่ข้าไม่อยู่ เจ้าต้องอยู่ให้ห่างๆ เขาไว้หน่อย
เฮ้อ! กุ้ยซ่าวนำมื้อดึกมาให้ข้าแล้ว ข้าได้กลิ่นหอมหวนของโกยซีหมี่ คงต้องขอวางพู่กันก่อนเสียแล้ว วางใจได้ ข้าไม่กินจนอิ่มเกินไปหรอก เจ้าไม่อยู่ ไม่มีคนลูบท้องให้ข้า เอาละ ไม่มีอะไรแล้ว! คิดถึงเจ้า
หลินหลันเก็บพู่กันให้เรียบร้อย นางเผยท่าทางภูมิใจในผลงานชิ้นเอกของตนเอง แล้วยังตั้งใจพับเป็นรูปหัวใจก่อนยัดใส่ซองจดหมาย เพื่อป้องกันคนแอบอ่าน หลินหลันจึงปิดผนึกซองจดหมายด้านนอกด้วยขี้ผึ้งรนไฟ
ทันใดนั้น นางนึกขึ้นได้ว่าลืมย้ำเตือนบางอย่างกับหมิงอวิน จึงเปิดมันด้วยการใช้ไฟรนขี้ผึ้งที่ปิดผนึกไว้ เปิดจดหมายออกแล้วเพิ่มหนึ่งประโยคลงไป
หากเจ้าค้นพบว่าขี้ผึ้งที่ปิดผนึกซองจดหมายถูกคนทำอะไรกับมัน เจ้าก็จับคนที่ส่งจดหมายไว้แล้วโบยเขาสักสี่สิบไม้โบย โทษฐานที่เขาไม่ได้เรื่องได้ราว
หลังเขียนจบ หลินหลันปิดผนึกขี้ผึ้งด้วยการรนไฟใหม่อีกครั้ง โดยลืมไปเสียสนิทว่าตนเองเป็นคนนำขี้ผึ้งรนไฟใหม่อีกครั้ง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลินหลันไปยังหุยชุนถาง
ทุกคนล้วนรู้ว่านายหญิงสะใภ้รองกลับมาแล้ว จึงเตรียมต้อนรับไว้แต่เนิ่นๆ อย่างดิบดี ร้านยาถูกเก็บกวาดสะอาดสะอ้าน ไม่มีแม้แต่ไรฝุ่น แล้วยังมีกระถางดอกซานฉาที่สดใสสวยงามวางไว้จำนวนหนึ่ง ฝูอานนำสหายร่วมงานในร้านกลุ่มหนึ่งออกมายืนเรียงรายต้อนรับ เมื่อเห็นหลินหลันลงจากรถม้า ฝูอานจึงเดิมเข้ามาคารวะทันที “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านกลับมาเสียที ทุกคนล้วนตั้งหน้าตั้งตารอท่านน่ะขอรับ!” เขาเอี้ยวตัวแล้วโบกมือขณะเอ่ย จากนั้นกลุ่มคนด้านหลังจึงพร้อมใจกันส่งเสียง “ยินดีต้อนรับเอ้อร์เส้าหน่ายนายกลับมาขอรับ”
เหอะ นี่มันเป็นความคิดของผู้ใดกัน ช่างคร่ำครึจริงๆ ทว่าหลินหลันรู้สึกปลื้มใจไม่น้อยทีเดียว “ดูพวกเจ้าทำเข้าสิ ทำที่นี่เป็นโรงเตี๊ยมไปได้ คนที่เขามาหาหมอไม่กล้าเข้าร้านหมดแล้ว” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หยินหลิ่วกล่าวภายใต้สีหน้ายิ้มแย้ม “ข้าน้อยคิดว่า ฉากนี้มันยังดูน้อยไปด้วยซ้ำนะเจ้าคะ”
หลินหลันชำเลืองมองนาง “หรือยังต้องจุดประทัดอีกสักหน่อยใช่หรือไม่”
ยังไม่ทันขาดคำ เสียงประทัดก็ดังขึ้น โม่จื่อโหยวจุดประทัดขึ้นมาจริงจัง หมอที่นั่งห้องตรวจวินิจฉัยเหล่านั้นต่างวิ่งออกมาร่วมสนุกด้วยเช่นกัน หลินหลันตกตะลึง นี่มันจะเกินไปแล้วกระมัง ทำเสมือนต้อนรับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่มาให้คำชี้แนะเกี่ยวกับการสู้รบไปได้
“พอได้แล้วๆ รีบหยุดเท่านี้เลย ขืนทำเช่นนี้อีก ข้าคงไม่กล้าเข้าไปในร้านแล้ว” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนพากันห้อมล้อมนายหญิงสะใภ้รองเข้าร้านด้วยความดีอกดีใจ
ยามนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ ภายในร้านจึงยังไม่มีคนป่วย หลินหลันมองดูร้านที่สะอาดเอี่ยมด้วยความรู้สึกสบายใจ โม่จื่อโหยวและหวังต้าไห่เชิญหลินหลันเข้าสู่ห้องรับแขกส่วนตัว โม่จื่อโหยวถือสมุดบัญชีออกมาด้วยสีหน้าระรื่นแล้วยื่นไปเบื้องหน้าหลินหลันอย่างภาคภูมิใจ “ศิษย์น้อง ดูเสียให้เต็มตา นี่เป็นรายรับในร้านหลังเจ้าจากไป”
หลินหลันรับมาไว้ พลิกเปิดไปสามสี่หน้า แล้วจึงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ไม่เลวเลยนี่! ข้ายังคิดว่าร้านนี้อยู่ในมือพวกท่านคงต้องขาดทุนย่อยยับเสียอีก!”
โม่จื่อโหยวกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “ศิษย์น้อยดูถูกพวกเราเกินไปแล้ว พวกเราตั้งใจมาก หลายเดือนมานี้กิจการหุยชุนถางของพวกเรานำหน้าเต๋อเหรินถางและร้านยาอื่นๆ ในเมืองหลวงไปแล้วก็ว่าได้ สุดยอดใช่หรือไม่!”
หลินหลันส่งเสียง จุ๊ๆ พลางพยักหน้า “สุดยอดจริงๆ เอ๋? พวกท่านมิได้ขายยาปลอมหรอกใช่หรือไม่”
โม่จื่อโหยวแทบกระอักเลือด
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาละๆ ไม่ล้อท่านเล่นแล้ว พวกท่านทำได้ดีมาก หลังจากนี้ก็ตั้งใจทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ไว้ถึงช่วงกลางปีข้าจะแบ่งเงินปันผลให้พวกท่าน”
โม่จื่อโหยวเผยสีหน้ายินดีปรีดาขึ้นมาทันใด “เช่นนั้นก็ขอขอบคุณศิษย์น้องไว้ล่วงหน้าเลยแล้วกัน”
ฝูอานยกน้ำชาเข้ามาให้ด้วยตนเอง
หลินหลันเอ่ยถามเขา “อวี้หลงสบายดีหรือไม่”
ฝูอานเผยรอยยิ้มซึ่งปนความเขินอายไว้เล็กน้อยและกล่าวอ้ำอึ้ง “อวี้หลง นาง…ตั้งครรภ์แล้วขอรับ ได้ยินว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายกลับมาแล้ว เดิมทีอยากมาพบเอ้อร์เส้าหนายนาย เพียงแต่ระยะนี้นางแพ้ท้องรุนแรง ท่านแม่ข้าเลยไม่วางใจให้นางออกจากบ้านน่ะขอรับ…”
ถือเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งอีกเรื่อง หลินหลันจึงกล่าวด้วยความดีใจ “ให้นางดูแลครรภ์ให้ดีๆ ไว้ข้ามีเวลาว่างแล้ว ข้าจะไปเยี่ยมนาง”
หลังพูดคุยสัพเพเหระไปพักหนึ่ง หลินหลันถือใบรายการยาออกมาแล้วยื่นให้โม่จื่อโหยว “ข้ากลับมาครั้งนี้ เพื่อเตรียมวัตถุดิบยาให้ทางชายแดนเป็นการเฉพาะ ทหารที่ชายแดนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก วัตถุดิบยาก็ดันขาดแคลนอย่างหนัก ท่านช่วยจัดหาตามใบรายการนี้ให้ทีสิ”
สีหน้าโม่จื่อโหยวห่อเหี่ยวทันทีที่มองดูใบรายการนั่น “ต้องการมากขนาดนี้เชียวหรือ ศิษย์น้องคงมิได้คิดจะบริจาคมากเพียงนี้หรอกใช่หรือไม่”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “นี่เป็นแค่สามส่วนจากที่ต้องการเท่านั้น อีกเดี๋ยวข้ายังต้องไปหาผู้ดูแลร้านเต๋อเหรินถาง เพื่อปรึกษาหารือกับนางเสียก่อน แล้วค่อยเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ หากทางราชสำนักออกเงินในการจับจ่าย ท่านก็คงเข้าใจอยู่แล้วนี่…”
โม่จื่อโหยวตกตะลึงไปชั่ววูบ จากนั้นจึงกล่าวด้วยความดีใจ “เช่นนั้นก็คือการค้าขายครั้งใหญ่สินะ ได้ ข้าจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย”
หลังจากนั้น หลินหลันมุ่งไปเต๋อเหรินถาง ฮว๋าเหวินยวนซึ่งเป็นผู้ดูแลเต๋อเหรินถางในตอนนี้ บุรุษแห่งตระกูลฮว๋าล้วนรับหน้าที่เป็นหมอหลวงทั้งสิ้น จึงต้องส่งมอบให้เต๋อเหรินถางฮว๋าเหวินเก๋อเป็นผู้ดูแล เมื่อได้ยินว่านายหญิงสะใภ้รองตระกูลหลี่มาพบ ฮว๋าเหวินยวนจึงออกมาต้อนรับทันที
“หมอหลิน ท่านกลับมาเมื่อใดหรือเจ้าคะ” ฮว๋าเหวินยวนกล่าวด้วยความดีใจปนประหลาดใจ
“เพิ่งกลับมาเมื่อวานนี้เจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องทางการต้องการปรึกษาหารือกับเจ้าน่ะ!” หลินหลันกล่าวถึงเหตุผลการมาเยือนอย่างตรงไปตรงมา
ฮว๋าเหวินยวนกล่าวด้วยความเต็มใจ “ความต้องการของชายแดนเป็นเรื่องที่ต้องตอบสนองก่อนเป็นธรรมดา ทว่าจำนวนวัตถุดิบยาครั้งนี้ไม่ใช่น้อยๆ ข้าคงต้องขอปรึกษาหารือกับท่านพี่ก่อน แล้วจะรีบให้คำตอบเจ้าโดยเร็วที่สุด”
“อืม ต้องให้เร็วหน่อยนะ หากทางราชสำนักมีพระราชโองการลงมา พวกเราจะได้จัดส่งสินค้าไปได้ในทันที” หลินหลันกล่าว
หลังเสร็จสิ้นเรื่องทางการ หลินหลันจึงไปบ้านตระกูลเยี่ยเพื่อรายงานความเรียบร้อยแก่ท่านลุง
นางฉีผู้เป็นป้าสะใภ้รองกลับเฟิงอานเพื่อฉลองปีใหม่ไปแล้ว หลินหลันรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้พบป้าสะใภ้รอง ผู้เป็นลุงและป้าสะใภ้ใหญ่ต่างก็โล่งอกโล่งใจ เมื่อได้ยินว่าหมิงอวินที่อยู่ทางด้านนั้นปลอดภัยดี
ไม่ได้พบเจอกันหลายเดือน หลินหลันเห็นว่าป้าสะใภ้ใหญ่ดูผอมลงไปมาก และคิ้วนั่นก็ยังคงขมวดเข้าเป็นครั้งคราวอย่างไม่รู้ตัว ส่วนท่านลุง แม้จะดูอารมณ์ดีเช่นเดิม ทว่าระหว่างพูดคุยกลับดูจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว นางจึงลอบแอบครุ่นคิดไปว่า ตระกูลเยี่ยเผชิญเรื่องวุ่นวายอะไรเข้าแล้วหรือไม่
หลังออกพ้นบ้านตระกูลเยี่ย หลินหลันกลับไปหุยชุนถาง จากนั้นเรียกฝูอานมาถามไถ่
“ตระกูลเยี่ยมีปัญหาอันใดใช่หรือไม่”
ฝูอานตกตะลึง “เอ้อร์เส้าหน่ายนายรู้แล้วหรือขอรับ”
หลินหลันใจหายวูบ เกิดปัญหาขึ้นจริงๆ ด้วย
“เจ้าแค่บอกเล่ามาก็พอ”
ฝูอานกล่าว “ข้าน้อยก็ได้ยินมาจากท่านพ่อข้าอีกทีว่า เรื่องที่ผ้าไหมของตระกูลเยี่ยจะเข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการในปีนี้ เกรงว่าจะเป็นไปมิได้เสียแล้วขอรับ”
หลินหลันประหลาดใจ “ทำไมหรือ”
“ข้าน้อยก็ไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัดเช่นกัน ดูเหมือนเป็นเพราะพระสนมในวังไม่ชอบสีสันผ้าไหมของตระกูลเยี่ยหรืออย่างไรนี่ละขอรับ เอาว่าความหมายโดยรวมก็คือไม่ถูกใจน่ะขอรับ ตระกูลเฉินที่เข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการก่อนหน้า ตอนนี้เลยวิ่งวุ่นไม่หยุดหย่อน เพื่อไปหาช่องทางเชื่อมสัมพันธ์น่ะขอรับ” ฝูอานนำส่วนที่ตนเองพอรับรู้บอกเล่าให้นายหญิงรับฟัง
หลินหลันรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่มีคนจงใจสร้างความลำบากให้ตระกูลเยี่ย ผ้าไหมที่เข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการของตระกูลเยี่ยเมื่อปีที่แล้ว ไม่เห็นคนในวังจะพูดว่าไม่ดีแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นส่วนของคุณภาพหรือลวดลายสีสัน ล้วนดีงามกว่าของตระกูลเฉินอย่างมาก ตอนนี้ดันไม่ชอบเสียดื้อๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นความต้องการทำลายคุณสมบัติของตระกูลเยี่ยที่จะเข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการ ท่านลุงเยี่ยเปลืองแรงกายแรงใจไปไม่น้อยเพื่อการนำผ้าไหมเข้าสู่เครื่องราชบรรณาการ เพิ่งเข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการได้เพียงปีเดียวก็ถูกทำลายคุณสมบัติการเข้าร่วมเสียแล้ว หากแพร่งพรายออกไป กิจการของตระกูลเยี่ยคงได้รับผลกระทำอย่างใหญ่หลวงเป็นแน่ มิน่าล่ะ ท่านลุงถึงได้ดูหนักอกหนักใจ ท่านป้าก็ผอมลงไปมากทีเดียว
หากกล่าวว่านี่มีคนจงใจเล่นสกปรก เช่นนั้นคงต้องเป็นไท่โฮ่วกับฮองเฮาเป็นแน่ หมิงอวินสร้างความขุ่นเคืองให้ไท่โฮ่ว สร้างความขุ่นเคืองต่อตระกูลฉิน เวลานี้ไท่โฮ่วและฮองเฮาไม่อาจทำอะไรหมิงอวินได้ ทว่าการกลั่นแกล้งให้ร้ายตระกูลเยี่ย ถือว่าเป็นอะไรที่ง่ายดายเสมือนพลิกฝ่ามือ แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ หรือจะมองดูคนรอบข้างแย่งคุณสมบัติในการส่งสินค้าเข้าเครื่องราชบรรณาการไปหน้าตาเฉย? หลินหลันครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงตัดสินใจไปจวนสกุลเผย