“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย เราไปบ้านตระกูลเผยเพื่อเยี่ยมเยียนเผยฮูหยินหรือเจ้าคะ” หยินหลิ่วเอ่ยถามระหว่างเดินทาง
หลินหลันกำลังคิดเรื่องตระกูลเยี่ยอยู่ตลอด จึงกล่าวออกไปอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “อืม! ก็ต้องไปเยี่ยมเผยฮูหยินสักหน่อย”
หยินหลิ่วรู้สึกว่าเหตุใดนายหญิงสะใภ้รองถึงพูดจาแปลกชอบกล หรือนายหญิงไปบ้านตระกูลเผยเพื่อพบมหาบัณฑิตเผย? ก็จริง มหาบัณฑิตเผยปฏิบัติต่อนายน้อยรองอย่างดีมาโดยตลอด นายหญิงไปเยี่ยมเยียนมหาบัณฑิตเผยแทนนายน้อยก็เป็นเรื่องที่สมควรเช่นกัน แต่ปัญหาคือในมือของนางยังถือของขวัญแต่งงานของสะใภ้สามแห่งตระกูลเฉิน ซึ่งก็คือแม่นางเผย! ของขวัญแสดงความยินดีนี่ไม่เอาไปส่งบ้านตระกูลเฉิน หรือว่าต้องการให้ใต้เท้าเผยช่วยนำไปให้อีกที?
รถม้าเคลื่อนมาถึงจวนเผย ตงจึเดินไปยื่นบัตรแสดงตนผู้มาเยือน ไม่นานนักก็มีคนออกมาให้การต้อนรับ
“หยินหลิ่ว ถือของไปด้วย” หลินหลันบอกกล่าว
“ถือมาแล้วเจ้าค่ะ ทว่า ของสิ่งนี้เอ้อร์เส้าหน่ายนายไม่นำไปมอบให้สะใภ้สามตระกูลเฉินด้วยตนเองหรือเจ้าคะ” หยินหลิ่วยกกล่องขึ้น
ดวงตาคู่งามของหลินหลันมองขึ้นบนท้องนภา ลืมไปเสียสนิทเลย นางลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลยจริงๆ เผยจื่อชิ่งออกเรือนแล้ว แล้วจะยังอยู่บ้านตระกูลเผยได้อย่างไรกัน เฮ้อ! ภายใต้จิตสำนึกของนาง เผยจื่อชิ่งยังเป็นคุณหนูแห่งตระกูลเผยอยู่เลย!
“หลี่ฮูหยิน ฮูหยินบ้านข้าเรียนเชิญท่านเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลจวนเดินมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเพื่อเชิญหลินหลันเข้าสู่ด้านใน
หลินหลันรีบบอกกล่าวหยินหลิ่วด้วยเสียงกระซิบ “เอาของสิ่งนี้ให้ตงจึไว้ แล้วหยิบมาแค่ของบำรุงร่างกายก็พอ” โชคดีที่นางไม่ลืมเตรียมของขวัญไว้ให้เผยฮูหยินด้วยชุดหนึ่ง
หลังถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเผยฮูหยิน หลินหลันก็ขอตัวลาเพื่อไปยังบ้านตระกูลเฉิน
ในที่สุดก็ได้พบเจอเผยจื่อชิ่งเสียที หลินหลันจับมือนางขณะมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พอแต่งงานแล้วก็ดูเปลี่ยนไปไม่น้อยทีเดียว เจ้าดูงดงามขึ้นมาก เห็นทีว่าแต่ละวันคงอิ่มเอมใจอย่างมากเลยสินะ!”
เผยจื่อชิ่งอมยิ้ม “เพิ่งเจอหน้ากันก็หยอกล้อคนเขาเชียวนะ ไปเรียนรู้มาจากชายแดนหรือไรกัน”
หลินหลันเอียงศีรษะเล็กน้อยพร้อมเผยรอยยิ้มขณะจ้องมองนาง “นี่น่ะ เรียนรู้จากคนของเจ้าท่านนั้นต่างหาก เจ้าไม่รู้สึกหรอกหรือ”
เผยจื่อชิ่งกล่าวเชิงปกป้อง “จื่ออวี้ใสซื่อกว่าเจ้าตั้งเยอะ”
หลินหลันบ่นอุบอิบในใจ คนของเจ้าผู้นั้นใสซื่อหรือ! ก็แค่แสร้งทำเป็นใสซื่อไร้พิษสงต่อหน้าเจ้า พอหันหลังให้ เขาก็ไม่ต่างจากสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งดีๆ นี่เอง สุนัขจิ้งจอกที่แสนเจ้าเล่ห์
รั่วเอ๋อร์ยกน้ำชาเข้ามาให้
เผยจื่อชิ่งกล่าว “จื่ออวี้ยังพูดอยู่เลยว่าพวกเจ้าไปครั้งนี้ อย่างน้อยๆ ก็เกินครึ่งปีถึงจะได้กลับมา คาดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าจะกลับมารวดเร็วเพียงนี้ เห็นทีว่าภาระหน้าที่ครั้งนี้คงผ่านไปอย่างราบรื่นสินะ!”
หลินหลันเผยรอยยิ้มขมขื่น “จะว่าราบรื่นก็ถือว่าราบรื่นอยู่ แต่ก็อันตรายอย่างยิ่งเช่นกัน เจ้าคิดไม่ถึงแน่ว่าในส่วนของแนวหน้ามีความอันตรายเสียยิ่งอะไร เป็นไปได้ว่าจะเผชิญหน้ากับศัตรูได้ทุกเมื่อ และจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งได้ทุกเมื่อเช่นกัน โชคดีที่ราชวงศ์เรามีทหารเก่งกล้า บนเส้นทางการต่อสู้ผู้กล้าเท่านั้นที่เป็นฝ่ายชนะ ดังนั้นชาวทู่เจวี๋ยก็เลยเป็นฝ่ายแพ้ไป ครั้งนี้ ข้ากลับมาก็เพื่อจัดการเรื่องทางการ หมิงอวินยังอยู่ที่ชายแดนนู้น! การเจรจากับชาวทู่เจวี๋ยไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น หากทำให้จบลงในครึ่งปีได้ก็ถือว่าราบรื่นที่สุดแล้ว หากไม่ราบรื่น ก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องยืดเวลาออกไปนานเพียงใด…”
เผยจื่อชิ่งเผยสีหน้าอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง เรื่องที่หลินหลันได้พานพบล้วนเป็นอะไรที่นางไม่อาจสัมผัสได้ แม้ว่าจะอันตราย แม้จะลำบากตรากตรำ ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์เราไม่อาจหาได้ด้วยการอ่านตำรา ไม่เคยเห็นภูเขาลูกใหญ่และแม่น้ำสายกว้าง ไม่เคยเห็นทะเลทรายที่เคลือบไปด้วยหยาดโลหิต ชั่วชีวิตนี้ได้แต่อยู่ในบ้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สี่เหลี่ยม ไม่ได้ออกไปเจอโลกกว้าง ต้องคอยปฏิบัติตนตามวิถีของการเป็นสตรี วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ทำแต่สิ่งเดิมๆ ที่น่าเบื่อหน่าย
“เช่นนั้น เจ้ากลับมาครั้งนี้อยู่นานเท่าใดหรือ”
“คงไม่กลับไปแล้วละ นอกจากทางด้านชายแดนเกิดศึกสงครามขึ้นมาอีกครั้ง” หลินหลันจิบน้ำชาลิ้มรสชาติ นางรู้สึกถึงความหวานนุ่มของน้ำชาทันทีที่เข้าปาก “นี่มันน้ำเปลือกส้มผสมน้ำผึ้งนี่!”
เผยจื่อชิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉินอู่หยางก็ชอบดื่มเจ้าสิ่งนี้ ข้าดื่มก็รู้สึกว่าไม่เลวเช่นกัน ก็เลยถูกปากเข้าเสียแล้ว”
“อืม น้ำเปลือกส้มผสมน้ำผึ้งนี้ รสเปรี้ยวอมหวาน ให้กลิ่นหอมธรรมชาติ บำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร แล้วยังช่วยบำรุงความงามได้อีกด้วย ถือว่าไม่เลวเลยละ” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าไม่รู้อะไรเหล่านี้หรอก ก็แค่รู้สึกว่ามันรสชาติไม่เลวเท่านั้น” เผยจื่อชิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
“จริงสิ ฉินอู่หยางยังสบายดีหรือไม่” หลินหลันเอ่ยถามอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย
เผยจื่อชิ่งนิ่งเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มขมขื่นขึ้นมาเล็กน้อย “นาง…จะพูดอย่างไรดีล่ะ”
“หากไม่สะดวกบอกเล่า เช่นนั้นก็ช่างเถอะ” หลินหลันฉีกยิ้มอย่างไม่ได้ติดใจอะไรเป็นพิเศษ แม้ว่านางจะประหลาดใจและอยากรู้อยากเห็นอย่างยิ่ง ทว่าคนเขาไม่ยินดีบอกเล่า นางก็ไม่อาจซักไซ้ไล่เรียงเช่นกัน
“ตอนนี้นางกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง ไท่โฮ่วคิดจะจับนางแต่งงานกับองค์รัชทายาทเจิ้นหนาน ทว่านางไม่ชอบเขา นาง…นางมี มีคนที่ชอบอยู่แล้ว” เผยจื่อชิ่งถอนหายใจออกมาอย่างบางเบา “ข้าก็ไม่รู้จะช่วยนางอย่างไร เจ้าก็รู้ว่าต่อให้เป็นบุตรสาวของชาวบ้านสามัญชนทั่วไป ไม่ว่าใครก็ต้องเชื่อฟังคำพูดของบิดามารดาหรือแม่สื่อ เกี่ยวกับการแต่งงาน แต่ไหนแต่ไรมาสตรีไม่อาจตัดสินใจด้วยตนเองได้ แล้วนับประสาอันใดกับผู้ที่มีฐานะเป็นถึงองค์หญิงลำดับสามของเชื้อพระวงศ์”
หลินหลันรู้สึกหดหู่ใจแทนฉินอู่หยางอย่างแท้จริง ฉินอู่หยางกลายเป็นอะไรกันแน่ ที่ว่าเป็นผู้ที่ไท่โฮ่วโปรดปราน เป็นองค์หญิงที่น่าภาคภูมิมากที่สุดในตระกูลฉิน หากให้พูดอย่างตรงไปตรงมาหน่อย นางก็ไม่ต่างจากหมากรุกตัวสุดท้ายในมือไท่โฮ่วเท่านั้นเอง เพื่อผลประโยชน์ของตระกูลฉิน จึงอยากจับนางแต่งงานกับใครต่อใครเขา เดี๋ยวหลี่หมิงอวิน เดี๋ยวเป็นองค์รัชทายาทเจิ้นหนาน ใครเคยคิดถึงความรู้สึกในจิตใจของฉินอู่หยางบ้างหรือไม่
“องค์รัชทายาทเจิ้นหนานเป็นมาอย่างไรหรือ” หลินหลันเอ่ยถามด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด การที่เข้าตาตระกูลฉินได้ คงต้องมีประโยชน์ต่อตระกูลฉินเป็นแน่
เผยจื่อชิ่งรินน้ำชาให้หลินหลันอีกจอก พลางกล่าว “องค์รัชทายาทเจิ้นหนานเป็นบุตรชายผู้ปกครองแคว้นทางตอนเหนือ ซึ่งกอบกุมอำนาจทางการทหาร”
ว่าแล้วเชียว ตอนนี้ตระกูลฉินต้องการมากที่สุดก็คืออำนาจทางทหาร มิเช่นนั้น จะต่อสู้กับองค์ชายสี่ได้อย่างไรกัน! ตอนนี้นับวันฮ่องเต้ยิ่งเห็นความสำคัญทางกองกำลังทหารมากขึ้น ตระกูลฉินจึงจำเป็นต้องมีอำนาจทางด้านนี้ ตราบใดที่รวบรวมอำนาจทางทหารได้มากขึ้น ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็จะมั่นคงได้
“เช่นนั้น…เรื่องงานแต่งกำหนดไว้เรียบร้อยแล้วหรือไม่”
“คงใกล้แล้วกระมัง ดังนั้นอู่หยางถึงได้กลัดกลุ้มอย่างยิ่ง ตอนนี้ตระกูลฉินจับตามองนางอย่างเข้มงวด เรื่องจะพ้นออกจากบ้านไปไหนต่อไหน เลิกคิดไปเลยได้”
อ้อ…เดิมหลินหลันยังอยากให้เผยจื่อชิ่งช่วยสืบถามข่าวคราวจากฉินอู่หยาง ตอนนี้เห็นทีว่าคงไม่ได้เสียแล้ว ทว่าดูเหมือนเผยจื่อชิ่งจะมีสัมพันธ์สนิทสนมกับพระชายาองค์ชายสามเช่นกัน แน่นอนละว่า ดูเหมือนเฉียวอวิ๋นซีมีความสนิทสนมกับพระชายาองค์ชายสามมากกว่า เพียงแต่ ตอนนี้จิ้งปั๋วโหว์กำลังเป็นเป้าสายตา ทุกการกระทำของเขาล้วนมีผู้คนจำนวนมากจับตามอง จวนจิ้งปั๋วโหว์จึงจัดว่าเป็นสถานที่อ่อนไหว ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดยังไม่ไปรบกวนพวกเขาจะเป็นการดีกว่า
“จื่อชิ่ง มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากรบกวนให้เจ้าช่วยถามไถ่ให้หน่อย” หลินหลันกล่าว
เผยจื่อชิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อันใดหรือ”
“ข้าได้ยินว่าสำนักพระราชวังต้องการพิจารณาสิทธิ์ของการนำเข้าผ้าไหมสู่เครื่องราชบรรณาการในปีนี้ใหม่ สิทธิ์การเข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการ ว่ากันตามธรรมเนียมปฏิบัติก่อนหน้า ล้วนกำหนดเป็นทุกๆ สามปีครั้ง ข้ากำลังคิดว่า ในนี้มีอันใดไม่ชอบมาพากลหรือไม่ เจ้าก็รู้เรื่องครั้งก่อน ตระกูลเยี่ยถือว่าสร้างความไม่พึงพอใจให้ตระกูลฉินด้วย…” หลินหลันกล่าว
ลวดลายปีศาจมังกรทองบนกระถางธูป แหล่งแพร่กระจายกลิ่นหอมของธูปมัลลิกา ควันธูปที่เกิดจากการเผาไหม้ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลทั่วทั้งห้อง เผยจื่อชิ่งนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าว “มีความเป็นไปได้อย่างที่สำนักพระราชวังตัดสินสิทธิ์ในการส่งสินค้าเข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการครั้งนี้ ท้ายที่สุดจะถูกตัดสินโดยฮองเฮา เพียงแค่ฮองเฮากล่าวออกมาเหตุผลเดียว…ก็ทำลายคุณสมบัติการเข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการนี้ได้อย่างง่ายดาย”
หลินหลันขมวดคิ้วขณะกล่าว “หากว่ากันตามนี้ ตระกูลเยี่ยก็ไม่มีโอกาสแล้วหรือ หากคุณสมบัติในการเข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการของตระกูลเยี่ยถูกให้ร้าย มันคงมีผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อกิจการผ้าไหมของสกุลเยี่ย แต่อย่างน้อยๆ ก็ต้องให้ครบสามปีเต็มมิใช่หรือ”
เผยจื่อชิ่วกล่าวด้วยเสียงกระซิบ “ก็ไม่ใช่เสมอไปหรอก เรื่องราวมันขึ้นกับฝีมือมนุษย์เสียมากกว่า”
“แต่หากฮองเฮามีประสงค์เล่นงานตระกูลเยี่ย เช่นนั้นตระกูลเยี่ยก็คงไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาชนะได้เลยสักนิด!” หลินหลันกล่าวด้วยความกังวล หากเรื่องราวมันแก้ไขกันได้ง่ายๆ ท่านลุงเยี่ยคงไม่กลัดกลุ้มถึงเพียงนั้น
เผยจื่อชิ่งชำเลืองตามองนางและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปกติแล้วเจ้ามีลูกไม้ไม่น้อยมิใช่หรือ เหตุใดยามนี้ถึงหน้านิ่วคิ้วขมวดคิดไม่ออกไปเสียแล้ว เอาเช่นนี้แล้วกัน! ข้าจะไปถามไถ่จากทางพระชายาองค์ชายสามดูก่อน แล้วไว้ค่อยปรึกษาหารือกันอีกที”
ที่ต้องการก็คือประโยคนี้ หลินหลันจึงกล่าวด้วยความดีใจ “เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าด้วย เฮ้อ…ข้ามาในวันนี้ ยังมีอีกเรื่องสำคัญ”
เผยจื่อชิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “สรุปแล้วเจ้ายังมีอีกกี่เรื่องกันแน่ ช่วยพูดออกมาให้หมดในคราเดียวจะได้หรือไม่”
หลินหลันฉีกยิ้มระรื่น “ข้าวยังต้องกินทีละคำ ธุระก็ต้องพูดกันทีละเรื่องจริงหรือไม่! หยินหลิ่ว นำของเข้ามาเร็วเข้า”
หยินหลิ่วรีบก้าวเดินขึ้นมา แล้วนำกล่องขนาดย่อมวางลงบนโต๊ะ
เผยจื่อชิ่งมองดูกล่องขนาดย่อมแล้วมองไปยังหลินหลัน “นี่คือ…”
หลินหลันดันกล่องดังกล่าวไปอยู่เบื้องหน้าเผยจื่อชิ่ง “นี่เป็นของขวัญแสดงความยินดีที่ข้าและหมิงอวินมอบให้ เจ้าก็เห็นนี่ว่า เจ้ากับจื่ออวี้แต่งงานกัน ข้ากับหมิงอวินล้วนไม่ได้ดื่มสุรามงคลให้พวกเจ้า ไว้รอพวกเขาทั้งสองปฏิบัติหน้าที่เสร็จและกลับมาเรียบร้อยแล้ว พวกเราสองครอบครัวค่อยมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันสักครั้ง แน่นอนว่า สุรานี่คงต้องให้พวกเจ้าเป็นฝ่ายเลี้ยงด้วย”
เผยจื่อชิ่งเผยสีหน้าแดงระเรื่อ และกล่าวเชิงตำหนิ “ของขวัญของเจ้า ท่านลุงตระกูลเยี่ยส่งมาให้แทนพวกเจ้าแล้ว เจ้ายังจะเกรงใจกันเพียงนี้อีก”
“นั่นไม่เหมือนกันนี่ พวกเจ้าเป็นใครลืมไปแล้วหรือ จื่ออวี้เป็นน้องชายที่ดีของหมิงอวิน เจ้าเป็นน้องสาวที่ดีของข้า ของขวัญของพวกเจ้า ข้าจึงจำเป็นต้องส่งมอบด้วยตนเองถึงจะถูก” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังออกจากจวนเฉิน หลินหลันมองไปยังทิศเหนือ ท้องนภาสีฟ้าครามสดใส เห็นเพียงก้อนเมฆสีขาวล่องลอยอยู่ และค่อยๆ เคลื่อนออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ อากาศดีจริงๆ หากไม่มีเรื่องชวนวุ่นวายใจมากมายเพียงนี้ ก็คงดีไม่น้อย…
ยามราตรี หลินหลันเขียนจดหมายให้หมิงอวินอีกครั้ง
เสี่ยวอวินจื่อ รู้หรือไม่ เฉินจื่ออวี้พ่อหนุ่มนั่นไปเกาลี่ในฐานะทูต ทอดทิ้งภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันหมาดๆ เสียได้ เหล่าเหยียจื่อ (เจ้าคงเข้าใจได้นะ) ก็ช่างใจร้ายเหลือเกิน คนเขาเป็นข้าวใหม่ปลามันแท้ๆ จื่ออวี้พอหนุ่มน้อยนั่นคงต้องบ่นทั้งวี่ทั้งวันเป็นแน่ จริงสิ อวี้หลงใกล้จะได้เป็นแม่คนแล้วละ ฝูอานพ่อหนุ่มนั่นช่างมีน้ำยาจริงๆ! ข้ากำลังคิดว่า จะเริ่มจับคู่หยินหลิ่วให้ศิษย์พี่รองเมื่อไหร่ดี ทว่าข้าก็คิดไม่ตกเช่นกัน หากหยินหลิ่วแต่งกับศิษย์พี่รอง เช่นนั้นจะไม่เท่ากับว่านางจะกลายเป็นพี่สะใภ้ของข้าหรอกหรือ เช่นนั้นภายภาคหน้า นางเรียกข้าเอ้อร์เส้าหน่ายนาย หรือว่าข้าต้องเรียกนางว่าพี่สะใภ้ล่ะ ปวดหัวชะมัด…เรื่องที่มีแต่ขาดทุนนี่ ข้าคงต้องไตร่ตรองให้ดีๆ หน่อยถึงจะถูก
เมื่อเขียนจดหมายเสร็จสิ้น หลินหลันจึงนำมาเก็บใส่กล่องขนาดเล็ก ไว้รอวัตถุดิบยาเตรียมเรียบร้อย เดาว่าคงเต็มกล่องขนาดเล็กนี่พอดี
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย แม่นางตระกูลฮว๋ามาขอพบเจ้าค่ะ” จิ่นซิ่วกล่าวรายงาน
หลินหลันประหลาดใจ มืดค่ำเพียงนี้แล้ว ฮว๋าเหวินยวนยังมาขอพบอีกหรือ
“รีบเชิญเข้ามาเร็วเข้า!”
ฮว๋าเหวินยวนกล่าวทันทีที่พบเจอ “ขออภัยที่เสียมรรยาทนะ มืดค่ำขนาดนี้แล้วยังมารบกวนเจ้าจนได้ ทว่า ข้าคิดว่าเจ้าคงต้องรอคอยคำตอบข้าอยู่ จึงต้องเสียมรรยาทเช่นนี้”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มิเป็นไรๆ เจ้าจะมาเมื่อใดก็ได้ทั้งนั้น ข้าล้วนยินดีต้อนรับเสมอ”
“ต้องโทษพี่ใหญ่คนเดียว วันนี้ไท่โฮ่วไม่สบาย บรรดาหมอหลวงของโรงหมอต้องคอยเฝ้าดูอาการทั้งวันทั้งคืน พี่ใหญ่กว่าจะกลับมาก็เกือบมืดค่ำแล้ว เรื่องที่เจ้ากล่าวไว้ ข้าได้พูดคุยกับพี่ใหญ่แล้ว พี่ใหญ่กล่าวว่า เต๋อเหรินถางพร้อมให้ความร่วมมือเต็มกำลัง ดังนั้น พรุ่งนี้ข้าจะเรียกผู้จัดหาวัตถุดิบยาในเมืองหลวงมารวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือ พี่ใหญ่ยังถามอีกว่าเมื่อไหร่เจ้าจะเข้าวัง เขาจะได้เข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้พร้อมกับเจ้า” ฮว๋าเหวินยวนกล่าว
หลินหลันกล่าวด้วยความดีใจ “เยี่ยมไปเลย ได้ความร่วมมือของเต๋อเหรินถางของพวกเจ้าอย่างเต็มกำลัง เรื่องจะก็ง่ายขึ้นเยอะ”
ฮว๋าเหวินยวนอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เรื่องของหุยชุนถางพวกเจ้า เต๋อเหรินถางพวกเราเคยไม่สนับสนุนอย่างเต็มที่ด้วยหรือ”