การเตรียมวัตถุดิบยาดำเนินไปอย่างราบรื่นอย่างยิ่ง ฮ่องเต้ยินดีให้เงินจำนวนมหาศาล และออกพระราชบัญชาในนามพระองค์ จึงเป็นธรรมดาที่เรื่องราวจะจัดการได้โดยง่าย ตอนนี้เรื่องที่หลินหลันเป็นกังวลคือเรื่องของตระกูลเยี่ย จึงให้แม่โจวไปถามไถ่ดูเสียหน่อย ผลปรากฏว่าแม่โจวกลับมาพร้อมข่าวคราวใหม่ซึ่งเป็นที่เรื่องลือกันให้หนาหู กล่าวว่าเยี่ยซินเอ๋อร์ไม่ค่อยเข้ากับสามีนางเท่าใดนัก คุณชายตระกูลหร่วนจับสาวใช้ขึ้นเตียง และถูกเยี่ยเซินเอ๋อร์จับได้คาหนังคาเขา ดังนั้นจึงตบตีสาวใช้คนนี้ปางตายต่อหน้าคุณชายตระกูลหร่วน จากนั้นขายออกไปให้ทางหอนางโลม ส่งผลให้คุณชายตระกูลหร่วนโกรธเกรี้ยวจนต้องการหย่าร้าง
หลินหลันนิ่งเงียบไปพักใหญ่หลังได้ยินข่าวคราวดังกล่าว เยี่ยซินเอ๋อร์ยังดื้อดึงไม่เลิกราจริงๆ ทว่า ในตอนแรกนางก็ใช้ลูกไม้เช่นนี้เพื่อใส่ร้ายป้ายสีหมิงอวินเช่นกัน นั่นทำให้เห็นว่านางเป็นคนหนึ่งที่กระทำเรื่องเลวร้ายได้ลงคอ
“นายท่านใหญ่แห่งตระกูลหร่วนมีความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติที่สนิทสนมกับหร่วนกงกง ตระกูลเยี่ยมีช่องทางเข้าสู่พระราชวังได้ ก็อาศัยตระกูลหร่วนนี่ละเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ทะเลาะกับคุณชายตระกูลหร่วนจนไม่เป็นสุข อีกทั้งคุณหนูใหญ่เพิ่งแต่งงานเข้าไปไม่ทันไร ก็ทะเลาะกับน้องสาวของสามีและมีปากเสียงกับแม่สามี ตระกูลหร่วนจึงไม่ปลื้มใจนางเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เห็นแก่ผลประโยชน์เหล่านั้นของตระกูลเยี่ย ก็คงให้เลิกรากันไปนานแล้วกระมัง เฮ้อ…คุณหนูใหญ่นี่นะ ทำอะไรของนาง! ตามจริงคุณชายตระกูลหร่วนก็ไม่เลวเลยนะเจ้าคะ ทว่าคุณหนูใหญ่เอาแต่ชักสีหน้าบึ้งตึงให้คนเขาตลอดทั้งวัน แล้วบุรุษที่ไหนจะรับไหวหรือ ตอนนี้ ตระกูลเยี่ยเกิดปัญหาเรื่องเข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการ นายท่านใหญ่จึงไม่มีหน้าไปขอความเห็นใจจากคนเขาถึงที่น่ะเจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหดหู่
มิน่าล่ะ ท่านลุงถึงได้กลัดกลุ้ม เดิมทียังพอขอความช่วยเหลือจากขันทีหร่วนผู้ใกล้ชิดฮ่องเต้ได้ ตอนนี้เป็นอันจบกัน ฮองเฮาเล่นไม่ซื่อ สายสัมพันธ์ที่อยู่ในพระราชวังก็ใช้ไม่ได้เพราะการกระทำของเยี่ยซินเอ๋อร์
“หากนางอยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปวันๆ ก็ไม่คงก่อเรื่องวุ่นวายเพียงนี้ ข้าว่านางคงอยากให้ตระกูลหร่วนตัดขาดนางออกจากตระกูลจนใจจะขาดเสียมากกว่า” หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เดิมยังคิดว่าเยี่ยซินเอ๋อร์ออกเรือนแล้วก็คงสงบจิตสงบใจได้ และใช้ชีวิตไปอย่างมีความสุข ผลสุดท้ายกลับ…
“ตระกูลหร่วนไม่มีทางให้คุณหนูใหญ่เลิกราหรอกเจ้าค่ะ เกี่ยวดองกับตระกูลเยี่ย ก็เสมือนกับได้โอบกอดต้นเงินต้นทอง ตระกูลหร่วนถึงได้ทำใจตัดขาดมิได้ เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านไม่รู้ว่าเงินสินเดิมที่คุณหนูใหญ่นำติดเข้าไปด้วย มากพอให้พวกเขาตระกูลหร่วนได้ใช้หลายชั่วอายุคนก็ว่าได้เจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าว
“เช่นนั้นยิ่งแย่ไปกันใหญ่ ตระกูลหร่วนไม่ยินยอมเลิกรากับนาง นางก็คงได้แต่ตกอยู่ในนามนายหญิงสะใภ้ใหญ่แห่งตระกูลหร่วนเท่านั้น หาได้รับความรักใคร่ของสามีไม่ ถูกพ่อแม่สามีดูแคลน ถูกคนตระกูลหร่วนทั้งเบื้องบนเบื้องล่างไม่เห็นความสำคัญ ชีวิตของนางยิ่งทุกข์ระทมขึ้นไปอีก” หลินหลันกล่าวด้วยความอ่อนใจ เยี่ยซินเอ๋อร์หนอเยี่ยซินเอ๋อร์ สมองเจ้ามันมีแต่ขี้เลื่อยหรือไรกัน! เหตุใดถึงไม่ตาสว่างเสียทีล่ะ
แม่โจวส่ายหน้าพัลวัน “หากว่าตระกูลหร่วนเอาเปรียบนาง นายท่านลุงก็ยังออกหน้าให้นางได้ ตอนนี้เป็นนางที่ไม่ได้เรื่องเอง แล้วใครจะช่วยนางได้หรือเจ้าคะ”
“ช่างเถอะ ไม่พูดถึงนางแล้วดีกว่า ชีวิตใครชีวิตมัน ชะตาใครชะตามัน แต่ละคนมีความทะเยอทะยานเป็นของตัวเอง ดังนั้นหนทางที่ก้าวเดินก็ขึ้นอยู่กับตนเองจะเลือกเดิน นางก็ต้องยอมรับผลลัพธ์นั้นด้วยตนเองเช่นกัน ท่านว่า เรื่องเข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการ ท่านลุงจะมีแผนรับมือหรือไม่” หลินหลันโบกมือปัดๆ ด้วยความไม่อยากเอ่ยถึงเยี่ยซินเอ๋อร์คนผู้นี้อีก
“คงหวังพึ่งตระกูลหร่วนมิได้แล้วแน่ๆ ดังนั้นเรื่องนี้ก็คงจัดการได้ยากยิ่งเจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าวด้วยความกลุ้มใจ
ทางด้านเผยจื่อชิ่งนั้นดันมีข่าวคราวที่ไม่สู้ดีนักบอกกล่าวมา เอ่ยว่าเรื่องราวกำหนดไปเกือบทั้งหมดแล้ว โดยจะให้ตระกูลเฉินเป็นผู้มีคุณสมบัติในการนำผ้าใหม่เข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการ ซึ่งอีกไม่กี่วันก็จะมีพระราชโองการลงมา
หลินหลันพยายามคิดหาวิธีการอย่างหนัก ท่านลุงช่วยนางกับหมิงอวินไว้มากมายเพียงนั้น และเหตุการณ์ก็เกิดจากหมิงอวินเช่นกัน จะอย่างไรก็ต้องช่วยพวกเขาให้ได้สักครั้ง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลินหลันเข้าไปยังพระราชวัง ประการแรก เป็นการเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อถวายรายงานความคืบหน้าการตระเตรียมวัตถุดิบยา ส่วนประการที่สอง…
“ภายใต้กำชับของฮ่องเต้ ร้านยาแต่ละแห่งในเมืองหลวงล้วนให้การตอบรับอย่างดีเยี่ยมเพคะ สามส่วนของวัตถุดิบยาจึงได้มาจากการบริจาค ผู้จัดหาวัตถุดิบแต่ละรายก็แสดงท่าทีว่า จะจำหน่ายวัตถุดิบยาให้ในราคาต่ำสุด และนำวัตถุดิบยาที่ต้องการทั้งหมด ขนส่งมายังเมืองหลวงโดยเร็ว คาดว่าอีกประมาณสามถึงห้าวัน ก็จะเตรียมวัตถุดิบยาไว้เรียบร้อยแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้สดับฟัง รู้สึกปลื้มใจอย่างสุดซึ้ง “หมอหลินปฏิบัติภาระหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิผลยิ่งนัก!”
หลินหลันกล่าวเชิงประจบประแจง “นี่เป็นเพราะหม่อมฉันจัดการเรื่องราวได้ที่ไหนกันเพคะ ล้วนเป็นเพราะฮ่องเต้ทรงใส่พระทัยต่อทหารที่แนวเขตชายแดน เพราะฮ่องเต้ใส่ใจปวงประชาประดุจลูกหลาน บรรดาประชาชนจึงซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง แล้วจะไม่ให้ความช่วยเหลือสุดแรงกายแรงใจได้อย่างไรเพคะ”
ฮ่องเต้ส่งเสียงหัวเราะร่า “หมอหลินไม่เพียงแค่ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิผล แต่ยังรู้จักพูดเสียด้วย”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันมิเคยพูดปดเพคะ ทุกคำพูดล้วนออกมาจากใจทั้งสิ้นเพคะ”
ฮ่องเต้ยิ่งสุขใจกว่าเดิม อดหยอกล้อไม่ได้ “เห็นได้ชัดว่า คำพูดของหมอหลินที่ออกมาจากใจ ชวนให้คล้อยตามได้มากกว่าใครไหนๆ เราชอบที่หมอหลินพูดออกมาจากใจ”
เห็นฮ่องเต้อารมณ์ดี หลินหลันจึงจงใจกล่าว “วันนี้ฮ่องเต้ทรงอารมณ์ดีสินะเพคะ! ฟังอันใดจึงรู้สึกรื่นหูไปทั้งหมดเพคะ”
ฮ่องเต้หรี่ตา ขณะตรัสด้วยรอยยิ้ม “แล้วยังถูกเจ้าคาดเดาได้ตรงเผงอีกด้วย วันนี้ได้รับสาน์สของใต้เท้าหลี่ การเจรจากับทู่เจวี๋ยมีความคืบหน้าไปอย่างมาก”
“จริงหรือเพคะ” หลินหลันรู้สึกตื่นเต้นและดีใจ
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “ใต้เท้าหลี่มิได้บอกกล่าวเจ้าหรอกหรือ”
หลินหลันมุ่ยปาก “เขาหรือจะมัวคะนึงถึงหม่อมฉัน ในใจเขามีแต่เรื่องบ้านเมืองเท่านั้นละเพคะ”
ฮ่องเต้จงใจสูดดมกลิ่นฟืดฟาด “หร่วนฝูเซียง ในตำหนักนี่เทน้ำส้มสายชูไว้หรือไร”
หร่วนกงกงเผยสีหน้าตกตะลึง และสูดดมกินอย่างเป็นจริงเป็นจัง “ฮ่องเต้พะย่ะค่ะ ไม่เห็นจะได้กลิ่นเลยนะพะย่ะค่ะ”
หลินหลันหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย นี่ฮ่องเต้กำลังล้อเล่นนางอยู่ต่างหากล่ะ
ฮ่องเต้มองดูท่าทีเขินอายของนางนั้น จึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ไม่ได้กลิ่นหรอกหรือ เหตุใดเราถึงได้กลิ่นนำส้มสายชูเช่นนี้ล่ะ” ฮ่องเต้ตรัสพลางมุ่ยปากไปทางด้านหลินหลัน
หร่วนกงกงถึงเป็นอันเข้าใจได้ จึงจงใจกล่าว “นั่นสิพะย่ะค่ะ! เหตุใดถึงได้กลิ่นไปได้ล่ะพะย่ะค่ะ!”
ใบหน้าของหลินหลันแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม มักคิดเสมอว่าราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่ย่อมเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง คงไม่รู้จักยิ้มแย้มหรือพูดติดตลก และย่อมเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงจริงจัง คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ผู้นี้กลับไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไปที่ดูใจดีและเรียบง่าย แล้วยังรู้จักพูดจาหยอกล้อกับเหล่าขุนนางอีกด้วย
เมื่อสนทนาเรื่องทางการเป็นอันเรียบร้อย หลินหลันจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา โดยอาศัยช่วงที่ฮ่องเต้กำลังอารมณ์ดี “ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันขอบังอาจถามฮ่องเต้หนึ่งคำถามนะเพคะ”
“อ้อ? เจ้าว่ามาได้เลย” ฮ่องเต้เผยสีหน้าอารมณ์ดีอย่างยิ่ง
“ฝ่าบาทคิดว่า ผ้าไหมที่เข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการของตระกูลเยี่ยเมื่อปีที่แล้วเป็นเช่นไรบ้างเพคะ” หลินหลันเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเจื่อน
ฮ่องเต้เผยรอยยิ้มและพยักหน้า “ไม่เลวเลย คุณภาพไหมละเอียดนุ่ม ลวดลายสีสันสดใส ดีงามกว่าปีก่อนๆ มาก”
หลินหลันย่อเข่าลงพร้อมโค้งลำตัวลงเล็กน้อยในท่าคาราวะด้วยความดีใจ “ขอบพระทัยฝ่าบาทสำหรับคำเชยชมเพคะ”
ฮ่องเต้รออยู่ชั่วขณะ ด้วยอยากฟังคำกล่าวต่อไป ทว่าหลินหลันกลับไม่เอื้อนเอ่ยอันใดอีก หร่วนฝูเซียงกลับเป็นฝ่ายเข้าใจความหมายของหลินหลัน เดิมเรื่องนี้เขาก็ไม่อยากพูดอะไรให้มากมาย บุตรสาวตระกูลเยี่ยช่างไม่เอาไหน ทว่า จะพูดอย่างไรดีล่ะ ตระกูลเยี่ยกับตระกูลหร่วนก็เป็นเครื่อญาติที่เชื่อมสัมพันธ์กันด้วยการแต่งงาน ผนวกกับฮ่องเต้ทรงโปรดปรานทูตพิเศษหลี่อย่างยิ่ง ในเมื่อหมอหลินเกริ่นนำขึ้นมาเช่นนี้แล้ว เขาก็คงต้องช่วยเหลือสักหน่อยกระมัง!
“สามารถเข้าสายพระเนตรของฮ่องเต้ได้ นั่นคงต้องดีเยี่ยมที่สุดเป็นแน่” หร่วนฝูเซียงกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
หลินหลันทอดถอนหายใจออกมากะทันหัน “แต่น่าเสียดายที่หลังจากนี้ฮ่องเต้คงมิได้ใช้แล้วละเพคะ”
ฮ่องเต้กล่าวด้วยความสงสัย “ด้วยเหตุใดหรือ”
“ได้ยินว่าสำนักพระราชวังต้องการพิจารณาคุณสมบัติการเข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการของผ้าไหมจากตระกูลเยี่ยใหม่อีกครั้งเพคะ”
ฮ่องเต้เผยสีหน้าประหลาดใจ เขาถือฝาน้ำชาไว้และกล่าวอย่างใจเย็น “หากเราจำไม่ผิด การคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการจะดำเนินทุกสามปีครั้ง แล้วเหตุใดถึงต้องเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเพียงนี้ด้วย”
ยามที่พูดประโยคดังกล่าว สายตาของฮ่องเต้ชำเลืองมองไปที่หร่วนฝูเซียง
หร่วนฝูเซียงโน้มลำตัวลงเล็กน้อยและกล่าวตอบทันควัน “ได้ยินว่าฮองเฮาไม่ชื่นชอบผ้าไหมของตระกูลเยี่ยพะย่ะค่ะ ทรงตรัสว่าคุณภาพไม่ดี ลวดลายสีสันโบราณพะย่ะค่ะ”
หลินหลันอดชำเลืองมองหร่วนกงกงไม่ได้ สมกับที่อยู่ในพระราชวังมาเนิ่นนาน การพูดประโยคดังกล่าวจัดว่ามีชั้นเชิงไม่น้อยทีเดียวเชียว คำพูดของฮองเฮาย้อนแย้งกับที่ฮ่องเต้กล่าวเมื่อครู่นี้ แล้วฮ่องเต้จะยอมรับว่าตนเองตาไม่ถึงเช่นนั้นหรือ แน่นอนว่าเป็นไปมิได้
ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ “ความหมายของหมอหลิน เราเข้าใจแล้ว ในเมื่อฮองเฮามีสายตาเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ก็ให้นางเลือกของนางไปเอง หร่วนฝูเซียง เรื่องนี้เจ้าช่วยไปจัดการให้ด้วย”
หลินหลันรู้สึกดีอกดีใจอย่างยิ่ง “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันก็ว่าแล้วว่าฮ่องเต้ทรงเป็นผู้มีพระปรีชาสามารถและชาญฉลาดมากที่สุด” นางไม่ใช่คนโง่เขลา ในคำกล่าวของฮ่องเต้แฝงไว้ด้วยการทิ่มแทงเหยียดหยามอย่างเห็นได้ชัด ครานี้คาดว่าฮองเฮาคงได้อับอายขายหน้าเป็นแน่
หลังออกจากวัง หลินหลันมุ่งไปยังตระกูลเยี่ย ให้ท่านลุงเยี่ยหยิบผ้าไหมในแบบใหม่ของปีนี้ออกมาดู
“นี่เป็นผ้าไหมทอลวดลายที่ออกใหม่ในปีนี้ เป็นผลงานการทอที่ยุ่งยากซับซ้อนทีเดียว จึงมีความประณีตอย่างยิ่ง ลวดลายส่วนใหญ่ล้วนเป็นที่นิยมในปัจจุบันนี้ ผ้าหนึ่งหลาราคาตั้งสองร้อยตำลึงเงินแน่ะ! แล้วยังมีลวดลายดอกไม้ ลายเมฆ และลายดิ้นทองนี่อีก อย่าว่าลุงหลงตัวเองเลยนัก จนถึง ณ ปัจจุบันนี้ ยังไม่มีร้านผ้าแห่งหนใดที่ผลิตเนื้อผ้าไปดีไปกว่าร้านตระกูลเยี่ยเลยด้วยซ้ำ” ผู้เป็นลุงกล่าวด้วยความมั่นใจ จากนั้นถอนหายใจออกมาอีกครั้งหลังกล่าวจบ “น่าเสียดาย ต่อให้ใครต่อใครชมว่าดีงาม มันก็ไร้ประโยชน์ เพราะประโยคเดียวของฮองเฮา เนื้อผ้าระดับนี้ดันกลายเป็นขยะไปเสียได้”
หลังหลินหลันได้เห็นเนื้อผ้า จึงเกิดความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ท่านลุง ท่านอย่าเพิ่งหมดหวังไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องราวยังมิได้กำหนดชัดเจน ตราบใดที่ตั้งไม่ถึงบทสรุป ผู้ใดจะเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาได้เจ้าค่ะ!” นางกล่าวปลอบใจ
ผู้เป็นลุงเผยรอยยิ้มขมขื่นและกล่าว “หลานสะใภ้ เจ้าอย่าปลอบใจข้าเลย ข่าวแพร่สะพัดออกมาจากทางพระราชวังแล้วว่า เกินกว่าครึ่ง สิทธิ์การเข้าร่วมรายการเครื่องราชบรรณาการตกไปอยู่ที่ตระกูลเฉินแล้ว เมื่อวานเฉินเหล่าเหยียก็จัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตที่โรงเตี๊ยมอี้เซียงจู บรรดาผู้ทำกิจการร้านผ้าไหมในเมืองหลวงที่มีชื่อเสียงหน่อย ต่างก็ไปร่วมด้วย มันน่าโมโหจริงเชียว! แพ้ให้ตระกูลอื่นใจข้ายังพอรับได้บ้าง แต่ดันเป็นตระกูลเฉิน สิ่งของตระกูลเขาเมื่อเทียบของเรา ย่ำแย่กว่าหลายเท่าตัวด้วยซ้ำไป”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากมิได้เกรงว่าการที่ผ้าไหมตระกูลเยี่ยถูกยกเลิกจากการเข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการ จนนำมาซึ่งความเสียหายทางกิจการของตระกูลเยี่ย ข้าก็อยากเห็นบรรดาเหนียงเหนียงไม่พึงพอใจที่เห็นสภาพตนเองสวมใส่ชุดที่มีเนื้อผ้าไม่สู้สตรีชั้นสูงทั่วไปเหล่านั้นด้วยซ้ำ ท่านลุง ท่านวางใจเถอะเจ้าค่ะ! แม้แต่ฮ่องเต้ยังเชยชมผ้าไหมของตระกูลเยี่ยว่าดีเลยเจ้าค่ะ”
ผู้เป็นลุงเผยสีหน้าประหลาดใจ “ฮ่องเต้ตรัสเช่นนั้นหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิเจ้าคะ! ฮ่องเต้ตรัสว่า คุณภาพไหมละเอียดนุ่ม ลวดลายสีสันสดใส ดีเยี่ยมเจ้าค่ะ” หลินหลันเอ่ยด้วยร้อยยิ้มระรื่น
ผู้เป็นลุงรู้สึกดีใจเป็นอันดับแรก ก่อนเปลี่ยนไปอยู่ในอิริยาบถเคร่งขรึมอีกครั้ง และกล่าวเชิงดูถูกตนเอง “ต่อให้ฮ่องเต้ตรัสว่าดี แต่จะช่วยอันใดได้หรือ พวกเราจะหยิบออกมาป่าวประกาศได้หรือไร คนเขาจะพากันพูดว่า ในเมื่อฮ่องเต้กล่าวชมว่าดี แล้วเหตุใดคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการของตระกูลเยี่ยพวกเจ้ายังถูกยกเลิกไปเสียแล้ว เก็บไว้ไปหลอกเด็กเถอะ!”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “ท่านลุงเลอะเลือนไปแล้วหรือเจ้าคะ ฮ่องเต้ตรัสถึงเพียงนี้แล้ว ท่านยังไม่เข้าใจความหมายของฮ่องเต้อีกหรือเจ้าคะ”
ผู้เป็นลุงเผยสีหน้าตกตะลึง และกล่าวด้วยท่าทีไม่แน่ใจ “ความหมายของเจ้าคือ…เรื่องนี้มีโอกาสแปรเปลี่ยน?”
หลินหลันพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “ท่านลุงรอคอยอย่างสบายใจเถอะเจ้าค่ะ!”
หลังผ่านพ้นไปสองวัน ทางสำนักพระราชวังให้ตระกูลเยี่ยนำผ้าชุดใหม่ของปีนี้รีบเข้าไปถวายโดยเร็ว
ผู้เป็นลุงวิ่งมาหาหลินหลันที่หุยชุนถางด้านความดีอกดีใจ
“หลานสะใภ้ สำเร็จแล้ว”
หลินหลันไม่ประหลาดใจเลยสักนิด ฮ่องเต้มีความตั้งใจช่วยเหลือ ไม่สำเร็จสิถึงจะแปลกน่าดู
“หลานสะใภ้ พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาช่างเป็นอะไรที่น่าสนใจจริงๆ ได้ยินว่า ฮ่องเต้นำเนื้อผ้าของตระกูลเฉินกับเนื้อผ้าของตระกูลเยี่ยที่ระบุชื่อชัดเจนให้ฮองเฮาเลือก เป็นที่แน่นอนว่าฮองเฮาต้องเลือกของตระกูลเฉิน ฮ่องเต้จึงตรัสถาม เนื้อผ้าของตระกูลเฉินดีตรงไหนหรือ ฮองเฮาจึงสาธยายความงามชุดใหญ่ ผลสุดท้ายฮ่องเต้ตรัสว่า เนื้อผ้าที่ฮองเฮากล่าวชมเมื่อครู่เป็นผ้าของตระกูลเยี่ย เห็นทีว่าฮองเฮาจะกลัวการเปรียบเทียบสิ่งของไปอีกนาน…ฮ่า ฮ่า นี่มันตลกเสียจริง ข้านึกถึงท่าทางอับอายของฮองเฮาแล้วก็อยากหัวเราะขึ้นมาทุกที” เยี่ยเต๋อฮ๋วยฟาดมือลงไปบนโต๊ะและหัวเราะเสียงดังลั่น “แล้วยังมีตระกูลเฉินนั่นอีก เลี้ยงแขกเหรื่อไปแล้วแท้ๆ ทั้งยังโพนทะนาไว้ทั่วเมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย ครั้งนี้กลับคว้าน้ำเหลวเสียดื้อๆ ข้าจะดูสิว่าเขายังมีหน้าอยู่เมืองหลวงต่อไปได้อีกสักเท่าใด…”