“ทว่าเราทำให้ฮองเฮาเสียหน้า นางคงต้องเคียดแค้นอยู่ในใจเป็นแน่ ท่านลุง พวกเราต้องระมัดระวังไว้หน่อยนะเจ้าคะ อย่าให้ฮองเฮาหาข้อเอาความผิดกับเราได้ถึงจะดีเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวเตือนผู้เป็นลุงด้วยความหวังดี อย่าได้สุขใจจนเกินหน้าเกินตาไป
ผู้เป็นลุงกล่าวอย่างไม่แยแส “ไว้ผ่านสามปีนี้ไปได้ พวกนางอยากให้ลุงถวายให้ ลุงจะไม่ถวายให้ด้วยซ้ำ พวกเราขาดก็แค่ชื่อเสียง เมื่อเข้าสู่เครื่องราชบรรณาการแล้วจะได้คุยโวง่ายหน่อย”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยังอีกตั้งสองปีนะเจ้าคะ ถึงอย่างไรก็ต้องระมัดระวังไว้หน่อย ไม่เสียหายหรอกเจ้าค่ะ ฮ่องเต้ก็คงไม่อาจช่วยออกหน้าแทนพวกเราได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นกันเจ้าค่ะ”
ผู้เป็นลุงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลุงเข้าใจแล้วละ ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก ตระกูลหร่วนนั่นช่างพึ่งพาไม่ได้เลย จะร้ายจะดีก็เป็นตระกูลดองกันแท้ๆ…”
นี่จะโทษคนเขาได้หรือ ในเมื่อบุตรสาวตนเองก่อความวุ่นวายในบ้านเขาแล้วใครจะรู้สึกสบายใจอยู่ได้ อีกอย่าง ครั้งนี้ไม่ใช่ว่าต้องขอบคุณหร่วนกงกงที่ช่วยสนับสนุนหรอกหรือ หลินหลันรู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ขอพูดอะไรให้มากความจะดีกว่า ท่านลุงเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง เขาต้องคิดวิธีจัดการจงได้
หลังส่งผู้เป็นลุงเดินจากไปด้วยใบหน้าเบิกบานเป็นที่เรียบร้อย ฝูอานเดินเข้ามากล่าวรายงาน “เอ้อร์เส้าหน่ายนายขอรับ ตามคำสั่งการของท่าน ครอบครัวกูลเว่ยปักหลักเป็นที่เรียบร้อยแล้วขอรับ เว่ยชิงซานทำงานประเภทใช้แรงงานก่ออิฐฉาบกระเบื้องได้ จึงให้เขารับหน้าที่ซ่อมแซมภายในพื้นที่ไร่สวนขอรับ ส่วนภรรยาเขาตั้งครรภ์ จึงให้นางช่วยป้าไฉ่เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ไปพลางๆ ขอรับ และพอดีว่าทางร้านผ้าไหมตระกูลเยี่ยต้องการรับสมัครลูกศิษย์พอดี จึงให้ลูกสาวเขาไปเรียนเย็บปักถักร้อยที่โรงเย็บปักขอรับ…”
หลินหลันวางสมุดบัญชีลง และเม้มปากยิ้ม “ก็ว่าตามนี้ไปก่อนแล้วกัน ให้ท่านพ่อเจ้าคอยจับตามองไว้หน่อย หากเว่ยชิงซานเป็นคนอดทนขยันขันแข็ง ค่อยมอบหน้าที่สำคัญขึ้นมาหน่อยให้เขาอีกที!”
“ขอรับ!” ฝูอานโค้งลำตัวลงเล็กน้อยรับคำสั่ง
“ครั้งก่อนที่ข้าจ่ายยาให้อวี้หลง นางกินแล้วเป็นเช่นไรบ้างหรือ” หลินหลันเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
ฝูอานกล่าวด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “ได้ผลขอรับ ได้ผล ไม่แพ้ท้องแล้วขอรับ และก็กินข้าวปลาอาหารได้เต็มที่แล้ว หลายวันมานี้สีหน้าดีขึ้นมากเลยขอรับ”
หลินหลันพยักหน้าเล็กน้อย “ก็ดีแล้ว ให้นางดูแลครรภ์ให้ดีๆ อย่าเอาแต่คิดจะออกมาทำนู่นทำนี่ ลูกในท้องสำคัญที่สุด” หลินหลันชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นจึงกล่าว “เดิมทีข้าอยากให้เจ้าออกไปสถานที่ต่างถิ่นแดนสักหน่อย ตอนนี้เห็นทีว่า…ไม่ดีกว่า ข้างกายอวี้หลงต้องคอยมีคนอยู่ข้างๆ ตลอด เจ้าไปเรียกเหล่าอู๋มาทีสิ”
ฝูอานรีบกล่าวทันควัน “เอ้อร์เส้าหน่ายนายมีเรื่องอันใดสั่งการข้าน้อยมาได้เลยขอรับ ถึงอย่างไรที่บ้านก็มีท่านแม่ข้าอยู่ด้วยน่ะขอรับ!”
“ครั้งนี้ให้เหล่าอู๋ไปแล้วกัน เรื่องภายในร้านยา ภายภาคหน้าก็ยังต้องให้เจ้าเป็นผู้ดูแลอยู่ดี” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เรื่องไปเมืองตงอา เพราะสาเหตุนานาประการ จึงเลื่อนมาโดยตลอด ตอนนี้เรื่องของพ่อผู้ไร้ยางอายจัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงควรเดินหน้าลงมือเรื่องเออเจียวตามแผนการที่วางไว้เสียที
วันนี้ จ้าวจัวอี้ต้องออกเดินทางอารักขาวัตถุดิบยาส่งไปยังตอนเหนือ หลินหลันกำชับเขาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าต้องนำจดหมายส่งถึงมือหลี่หมิงอวินด้วยตัวเขาเองให้ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นภายในบ้านห้ามบอกกล่าวหมิงอวินเป็นอันขาด เพื่อที่หมิงอวินอยู่ทางด้านนั้นจะได้ไม่เป็นกังวล
จ้าวจัวอี้ขานรับทีละคำสั่ง จากนั้นจึงพาบรรดาพี่ๆ น้องๆ อารักขาวัตถุดิบยายี่สิบคันรถเดินทางออกจากเมืองหลวง
วันรุ่งขึ้น หลินหลันส่งเหวินซานกับเหล่าอู๋ออกเดินทางไปผ่านประตูเมืองทิศใต้ ครั้งนี้เป็นการไปเพื่อเสาะหาช่องทาง สังเกตการณ์สถานการณ์ทางด้านนั้นเสียก่อน การคมนาคมในสมัยโบราณไม่สะดวกสบาย จะทำเรื่องอะไรขึ้นมาก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ จะตรวจสอบดูสักครั้ง ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ก็สองเดือน จากนั้นค่อยวางแผนสำหรับลงมือจริง ซึ่งอย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน เฮ้อ…ทำได้เพียงต้องอดใจรอเท่านั้นเสียแล้ว
เพียงชั่วพริบตาหลังกลับมาเมืองหลวงก็เป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้ว ตลอดทั้งวันหลินหลันจะประจำอยู่สองแห่ง ไม่จวนหลี่ก็ร้านยา บางครั้งก็แวะเวียนไปเยี่ยมเผยจื่อชิ่งกับเฉียวอวิ๋นซี บรรดาสตรีชั้นสูงในเมืองหลวง เมื่อได้ยินว่านางกลับมาแล้ว ต่างก็ส่งบัตรเชิญมาให้ เพื่อเรียนเชิญนางไปเป็นแขก นางล้วนอาศัยข้ออ้างต่างๆ นานาเพื่อปฏิเสธ แม้ปีนี้ดูเหมือนจะสงบสุขดี ทว่าตามจริงกำลังเกิดคลื่นใต้น้ำอันรุนแรง นางจึงคิดว่าพยายามวางตนต่ำต้อยไว้หน่อยจะเป็นการดี นางอยู่ในนามหมอหลวง ทว่าภายในวังไม่ได้บังคับให้นางต้องเข้าไปปฏิบัติงานตามช่วงเวลาที่กำหนดแต่อย่างใด บรรดาพระสนมภายในวังก็ไม่มีผู้ใดต้องการให้นางตรวจดูอาการป่วย คนในวังเหล่านั้นล้วนฉลาดหลักแหลมเสียยิ่งอะไรดี มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง พวกนางล้วนรับรู้ทั้งนั้น ฮองเฮาไม่ลงรอยกับหลินหลัน แล้วยังจะมีใครกล้าเรียกนางเข้าไปตรวจอาการป่วยให้อีก หากทำเช่นนั้นจะไม่เท่ากับเป็นการหาเรื่องใส่ตัวไปเปล่าๆ หรือไร ดังนั้น หลินหลันจึงเข้าวังไปทั้งหมดเพียงสองครั้งเท่านั้น จากนั้นก็อยู่ทำอะไรต่อมิอะไรตามที่ตนเองต้องการได้อย่างอิสระ
ที่แปลกคือเฝิงซูหมิ่น ว่ากันตามหลัก คนอื่นล้วนรับรู้การกลับมาของนาง แล้วเฝิงซูหมิ่นจะไม่รู้ได้อย่างไรหรือ ด้วยนิสัยของเฝิงซูหมิ่น ควรต้องมาถามไถ่เกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้เฒ่านั่นตั้งนานแล้ว ในเมื่อเฝิงซูหมิ่นไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ เช่นนั้นคงมีความเป็นไปได้เดียวที่ว่า เฝิงซูหมิ่นรับรู้เรื่องนั้นแล้ว คาดว่าเฝิงซูหมิ่นเองก็คงรู้สึกอึดอัดใจและวางตัวไม่ถูกเช่นกัน จู่ๆ ดันมีบุตรสาวที่อายุห่างจากตนเองไม่กี่ปี และบุตรสาวผู้นี้ยังเคยเป็นสหายที่ดีต่อกันมาก่อน ลองใครได้เผชิญเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้เช่นกัน หรือบางที ในใจของนางยังมีความนึกคิดอื่นอยู่ด้วยก็เป็นได้ ไม่พบเจอกันคงเป็นการดีที่สุด ถึงอย่างไรนางก็ไม่อยากเจอเฝิงซูหมิ่นเช่นกัน
จ้าวจัวอี้เดินทางเป็นเวลาเดือนกว่าๆ ถึงเป็นอันเดินทางถึงเซิ่งโจว เขานำวัตถุดิบยาส่งมอบให้พื้นที่เก็บยา ฉู่จวินห้าวเห็นวัตถุดิบยาเต็มยี่สิบคันรถ ใบหน้าที่เย็นชาประดุจน้ำแข็งนั่นจึงเป็นอันเผยความอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
จ้าวจัวอี้ส่งมอบเรื่องทางการเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นจึงไปจัดการเรื่องส่วนตัวต่อโดยเร็ว
“ใต้เท้าหลี่ขอรับ นี่เป็นจดหมายที่พี่สะใภ้ให้ข้าน้อยนำมาส่งมอบให้ใต้เท้าขอรับ” จ้าวจัวอี้ยื่นกล่องขนาดย่อมให้
หลี่หมิงอวินพยายามอดกลั้นความรู้สึกภายในจิตใจ แสร้งทำทีรับกล่องดังกล่าวมาด้วยสีหน้าสุขุม และเอ่ยถาม “ในเมืองหลวงเรียบร้อยดีใช่หรือไม่”
จ้าวจัวอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มระรื่น “ใต้เท้าอ่านจดหมายของพี่สะใภ้ก็รู้แล้วมิใช่หรือขอรับ ข้าน้อยไม่รบกวนเวลาอ่านจดหมายของใต้เท้าแล้วละกันนะขอรับ” เขารีบถอยออกไปทันทีที่กล่าวจบ คนเราต้องรู้จักรู้งาน พี่สะใภ้บอกไว้แล้วว่า ให้รายงานได้แต่ข่าวดีเท่านั้น ห้ามไม่ให้รายงานสิ่งที่ชวนเป็นกังวล เพื่อแสดงถึงความซื่อสัตย์ เขาเลยไม่ขอพูดอะไรเลยจะเป็นการดีกว่า
ทันทีที่จ้าวจัวอี้ออกไป หลี่หมิงอวินปิดประตูแล้วเดินไปอ่านจดหมายอย่างเงียบๆ ลำพัง ตัวอักรที่งดงามกลับร่ายเรียงข้อความทะเล้น ท่าทีอย่างผู้ชนะของหลินหลันโลดแล่นอยู่เต็มหน้ากระดาษ ไม่ใช่เอ่ยถึงเรื่องกิน ก็เป็นการเอ่ยถึงสิ่งที่ชวนขำขัน จงใจยั่วเขา จงใจทำให้เขาอิจฉาริษยา หลี่หมิงอวินที่กำลังอ่าน ทั้งรู้สึกโกรธทั้งรู้สึกขำขัน อยากเหินฟ้ากลับไปบีบแก้มของนางเสียตอนนี้ใจจะขาด จากนั้นจะกดนางลงบนเตียงนอนแล้วเริ่มบทลงโทษให้เข็ดหลาบ
จ้าวจัวอี้เพิ่งเดินพ้นประตูออกไปไม่ทันไร ก็ถูกแม่ทัพหลินที่รออยู่บริเวณใกล้เคียงเรียกตัวไป
“จดหมายถึงแล้วใช่หรือไม่” หลินจื้อย่วนกล่าวอย่างใจเย็น
“เรียนท่านแม่ทัพ ข้าน้อยปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน นำจดหมายส่งถึงมือของฮูหยินแล้วขอรับ”
หลินจื้อย่วนทอดสายตามองออกไปในระยะไกลขณะพยักหน้าเล็กน้อย ทันใดนั้น เขาเอ่ยปากถามด้วยเสียงกระซิบ “แล้ว…หมอหลิน ไม่รู้ใช่หรือไม่!”
“ข้าน้อยกล้ารับประกันได้เลยว่าหมอหลินไม่รู้เรื่องจดหมายที่แม่ทัพฝากนำไปให้ฮูหยินขอรับ”จ้าวจัวอี้กล่าวด้วยความมั่นใจ
“เช่นนั้น ฮูหยินได้ตอบจดหมายมาหรือไม่”
จ้าวจัวอี้ส่ายหน้า “ก่อนข้าน้อยออกจากเมืองหลวง ได้แวะไปที่จวนท่านแม่ทัพเป็นการเฉพาะด้วย ทว่าฮูหยินมิได้ให้ข้าน้อยนำจดมาอันใดมามอบให้ขอรับ”
“ฮูหยินได้พบเจอหมอหลินบ้างหรือไม่”
จ้าวจัวอี้ส่ายหน้าอีกครั้ง “ดูเหมือนจะไม่นะขอรับ ทว่าข้าน้อยก็มิได้ติดตามหมอหลินตลอดเวลา เรื่องนี้ ข้าน้อยไม่กล้ารับประกันขอรับ”
หลินจื้อย่วนเผยสีหน้าตรึงเครียดขึ้นมา พลางบ่นพึมพำ “ไม่ได้เรื่อง”
จ้าวจัวอี้รู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ท่านแม่ทัพ ก็ท่านมิได้ให้ข้าน้อยติดตามหมอหลินตลอดเวลา ห้ามปล่อยให้ขาดสายตานี่! แล้วจะมาโทษเขาได้อย่างไรกัน
หลินจื้อย่วนโบกมือปัดอย่างหงุดหงิด “เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
จ้าวจัวอี้พยักหน้าขานรับ แล้วรีบถอยออกไปอย่างว่องไว
หลินจื้อย่วนขมวดคิ้ว ฮูหยิน นี่มันหมายความว่าอันใดหรือ บุตรชายคนโตและบุตรสาวของเขาหวนกลับมาแล้วแท้ๆ หรือว่านางไม่ดีใจด้วย เขายังหวังอยู่ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากภรรยาอีกแรง ใครจะรู้ว่า…สตรี ก็มักจะใจแคบเช่นนี้ หรือว่าเรื่องนี้ยังต้องรอให้เขากลับไปเมืองหลวงถึงแล้วค่อยจัดการด้วยตนเอง? เขาไม่อยากจะรอแม้แต่วันเดียวแล้วด้วยซ้ำ