หลินจื้อย่วนยิ่งคิดยิ่งนั่งไม่ติด เขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งไปยังห้องของหลี่หมิงอวิน
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตู
“หมิงอวิน...เปิดประตูที!”
หลี่หมิงอวินกำลังอ่านจดหมายด้วยความสุขใจ กลับได้ยินเสียงเคาะประตูจากพ่อตา จึงรีบนำจดหมายสอดไว้ใต้หมอนหนุนแล้วเดินไปเปิดประตู
“ท่านแม่ทัพมาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือขอรับ” หลี่หมิงอวินเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หลินจื้อย่วนส่ายหน้าเป็นอันดับแรกแทนการเอ่ยปาก จากนั้นเดินมือไพล่หลังเข้าไปด้านใน ดึงเก้าอี้มาตัวหนึ่งแล้วหย่อนตัวลงนั่ง “หมิงอวิน หลันเอ๋อร์ได้เอ่ยถึงเรื่องภรรยาข้ากับเจ้าบ้างหรือไม่” เขาเอ่ยถามด้วยความหนักใจ
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อย หลันเอ๋อร์ไม่เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยถึงนางเฝิงในจดหมาย เรื่องที่ชวนกังวลใจสักนิดก็ไม่ได้เอ่ยถึงเลยด้วยซ้ำ เขาไม่เชื่อว่าในบ้านจะสงบสุขไร้ปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น หลันเอ๋อร์เกรงว่าหากเขารู้จะเดือดเนื้อร้อนใจไปด้วย จึงบอกเล่าแต่เรื่องดีๆ ให้เขารับรู้อย่างเดียวเพื่อไม่ให้เขาเป็นกังวลก็เท่านั้น แต่เขาเชื่อมั่นว่า หลันเอ๋อร์ไม่เอ่ยถึงนางเฝิง เป็นเพราะทางด้านนางเฝิงนั่นไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ เป็นแน่
“ท่านแม่ทัพ ข้าคิดว่าเรื่องนี้ท่านคงต้องอดใจรอหน่อยจริงๆ ขอรับ ไว้รอท่านกลับเมืองหลวงแล้ว ค่อยปรึกษาหารือกันอีกทีน่าจะดีกว่านะขอรับ” หลี่หมิงอวินรู้ดีว่าพ่อตากำลังกลัดกลุ้มอะไรอยู่ เดิมคิดว่านางเฝิงกับหลันเอ๋อร์มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน จึงหวังว่านางเฝิงจะช่วยออกหน้าไกล่เกลี่ยความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตรสาวได้สักหน่อย แต่ใครจะรู้ว่า นางเฝิงกลับไม่หือไม่อือ ยามนี้นางเฝิงกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ ทว่าความรู้สึกอัดอั้นและวางตัวไม่ถูกของนางเฝิง คงเป็นอะไรที่พอคาดเดาได้
หลินจื้อย่วนมองไปยังกล่องขนาดย่อมกล่องหนึ่งที่เปิดอยู่บนโต๊ะ จึงแอบชำเลืองมองอย่างสำรวจ จากนั้นชำเลืองมองไปยังใต้หมอนหนุ่มที่ปรากฏกระดาษจดหมายจำนวนหนึ่งโผล่ออกมา นาทีนั้นเขารู้สึกอิจฉาเสียยิ่งอะไรดี คนเขาได้รับจดหมายเป็นฟ่อน เขากลับไม่ได้สักแผ่นเดียว หลันเอ๋อร์ไม่เขียนจดหมายให้เขาก็ว่าแย่แล้ว นี่นางเฝิงก็ไม่สนใจไยดีเขาไปด้วย เขาได้แต่แอบถอนหายใจ จากนั้นฝืนยิ้มแล้วเอ่ยถาม “เป็นจดหมายของหลันเอ๋อร์หรือ”
ถึงจะเห็นหลินจื้อย่วนเป็นคนประเภทห้าวหาญดูกระด้าง ทว่าตามในความหยาบกระด้างก็มีความละเอียดถี่ถ้วนอยู่ด้วย เพียงคาดเดาก็เป็นอันไม่ผิดเพี้ยน
หลี่หมิงอวินกล่าวเชิงถ่อมตน “แค่บอกเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวันเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นขอรับ”
หลินจื้อย่วนโน้มตัวเข้ามา แล้วเอ่ยถามเสียงบางเบา “ในจดหมายได้เอ่ยถึงข้าบ้างหรือไม่”
หลี่หมิงอวินครุ่นคิดอยู่ภายในใจ จะไม่มีได้อย่างไร ในจดหมายแทบทุกฉบับล้วนมีการกำชับเป็นพิเศษ เรียกว่าเป็นการเตือนอย่างพิเศษก็ย่อมได้ ว่าห้ามไม่ให้สนใจผู้เฒ่าคนนี้
เมื่อเห็นสีหน้าของหลี่หมิงอวิน หลินจื้อย่วนก็รู้ได้ทันทีว่า หลันเอ๋อร์คงต้องตำหนิเขาไว้ในจดหมายเป็นแน่ เขาจึงคิดว่ารีบไปจากตรงนี้จะเป็นการดีกว่า หลินจื้อย่วนแสร้งทำทีส่งเสียงกระแอมไอ จากนั้นลุกขึ้นยืน “เจ้าค่อยๆ อ่านไปแล้วกัน! ข้าไปก่อนละ”
หลี่หมิงอวินอยากให้เขารีบไปจะแย่ ในเมื่อยังอ่านจดหมายไม่หมดเลย! หลินหลันกำลังเอ่ยถึงเรื่องเออเจียว
“ใต้เท้าหลี่…” หยางว่านหลี่อยู่ด้านนอกมาขอพบ
หลี่หมิงอวินเดินไปเปิดประตู “หยางเซี่ยนเว่ย!”
หยางว่านหลี่เห็นแม่ทัพก็อยู่ด้วยเช่นกัน จึงเผยสีหน้าลังเลใจ
หลี่หมิงอวินมองแม่ทัพหลิน ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่อยากปิดบังพ่อตาเช่นกัน จึงกล่าว “หยางเซี่ยนเว่ย ท่านเข้ามาพูดคุยด้านในเถอะ!”
หยางว่านหลี่กล่าวตอบ “ทางด้านนั้นมีความเคลื่อนไหวขอรับ”
หลี่หมิงอวินเผยสีหน้าตื่นตัว “ท่านกล่าวอย่างละเอียดมาได้เลย”
หลินจื้อย่วนรู้สึกถึงความสำคัญของเรื่องนี้ สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนไปเคร่งขรึม และตั้งใจรับฟัง
“ขอรับ ข้าน้อยรับคำสั่งของใต้เท้าหลี่ ให้คอยแอบจับตามองใต้เท้าฉินไว้ ปรากฏว่าเป็นไปตามที่ใต้เท้าคาดการณ์ไว้ วันนี้คนที่คอยปรนนิบัติข้างกายใต้เท้าฉิน แอบไปยังโรงเตี๊ยมทางฝั่งตะวันตกของเมือง จากนั้นก็มีคนเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม คนของข้าน้อยคอยติดตามอยู่ตลอดเวลา เห็นคนผู้นั้นออกจากเมือง แล้วไปหยุดอยู่ที่บ้านคนเลี้ยงสัตว์ครอบครัวหนึ่ง ไม่นานนัก คนเลี้ยงสัตว์ผู้นั้นก็ต้อนแกะสามสี่ตัวออกไปกินหญ้า คนของข้าน้อยรอกระทั่งคนเลี้ยงสัตว์เดินออกไปไกลแล้ว ถึงได้จับตัวเขาไว้ แล้วค้นบนตัวของเขา จนเจอสิ่งนี้ขอรับ…” หยางว่านหลี่ถือกระดาษหนังแกะแผ่นหนึ่งออกมายื่นให้
หลี่หมิงอวินรับมาไว้แล้วอ่านดู จากนั้นจึงส่งให้หลินจื้อย่วน หลินจื้อย่วนเผยสีหน้าตื่นตกใจทันทีที่ได้อ่าน “นี่มันเป็นเวลาและเส้นทางที่เราวางแผนไว้สำหรับไปยังแม่น้ำมู่ถ่าเพื่อรับการยอมจำนนมิใช่หรือ แล้วยังมีแผนผังการป้องกันของกองทัพเราอีกด้วย…”
หลินจื้อย่วนเบิกดวงตาจ้องเขม็งด้วยความโกรธเกรี้ยวพลางกัดฟันแน่น “ไอ้สารเลวนี่กล้าสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูเพื่อขายประเทศชาติบ้านเมือง ข้าก็บอกไว้แท้ๆ ในวันนั้นว่าต้องกีดกันเขา แต่เจ้าก็ยังให้เขาเข้าร่วมภารกิจทางการทหารอีก”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเลือนราง “กีดกัน จะกีดกันไปได้ถึงเมื่อไหร่เชียวขอรับ มิสู้ล่อเหยื่อในติดกับดัก แล้วล่องูออกจากพงหญ้ายังดีเสียกว่าขอรับ”
หลินจื้อย่วนเข้าใจกระจ่างแจ้งได้ในทันทีทันใด “ที่แท้เป็นความตั้งใจของเจ้านี่เอง”
“ฉินเฉิงว่างมาตอนเหนือในครานี้ มิได้ต้องการเอาหน้าแต่อย่างใด ในเมื่อการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในคุณงามความดีมันง่ายดายเพียงนั้น เขามาที่นี่เพื่อทำลายการเจรจาสงบศึกต่างหากขอรับ หรือไม่ก็ต้องการทำข้อตกลงบางอย่างกับทู่เจวี๋ย ท่านลองคิดดูสิขอรับ หากท่านและข้าถูกดักซุ่มโจมตีระหว่างเดินทางไปแม่น้ำมู่ถ่า ผลลัพธ์หลังจากการถูกพวกทู่เจวี๋ยกำจัดทิ้งจะเป็นอย่างไร” หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อยขณะจ้องมองหลินจื้อย่วน
หลินจื้อย่วนขมวดคิ้วขณะกล่าววิเคราะห์ “หากเจ้ามีอันเป็นไป เช่นนั้นหน้าที่ในการเจรจาก็จะตกไปอยู่ที่เขา หากข้ามีอันเป็นไป ทหารในกองทัพข้าคงต้องระส่ำระสาย ชาวทู่เจวี๋ยมีแผนป้องกันกองทัพของข้าอยู่ในมือ จึงเข้ามาโจมตีกองทัพของข้าอย่างกะทันหันอีกครั้ง และมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่ากองทัพข้าจะร่นถอย เมื่อถึงตอนนั้น ฉินเฉิงว่างจะเป็นผู้เสนอหน้า และจัดเตรียมกำลังพลของเขาเพื่อพลิกสถานการณ์ ซึ่งนั่นจะเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ คนของเขาใช้โอกาสนี้เพื่อการยึดอำนาจทางทหารในตอนเหนือ…”
หลี่หมิงอวินส่งเสียง จุ๊ๆ แล้วกล่าวชื่นชม “ท่านแม่ทัพเป็นผู้กล้าที่ชาญฉลาดยิ่งจริงๆ ขอรับ ตามที่ข้าเข้าใจ หลังฉินเฉิงว่างอ้างว่าป่วย แล้วถอยกลับมายังเซิ่งโจว เขาได้ไปที่ไต้โจวมาครั้งหนึ่ง ผู้รักษาการณ์ของไต้โจวเป็นผู้ใด ท่านแม่ทัพก็น่าจะรู้จักดีนะขอรับ”
หลินจื้อย่วนสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ผู้รักษาการณ์ไต้โจวคือผู้ใต้บังคับบัญชาของสมัยจงหย่งในตอนนั้น ซึ่งเป็นอำนาจของตระกูลฉิน ฉินเฉิงว่างมาเยือนในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ต้องการคุณงามความดี แต่ยังต้องการก่อร่างสร้างอำนาจให้ตนเองด้วย หลินจื้อย่วนบีบนวดขมับ “นี่มันเสี่ยงชัดๆ! เรื่องนี้มันมีความเสี่ยงจริงๆ ข้าก็ว่าเหตุใดทูตพิเศษแห่งทู่เจวี๋ยถึงตอบตกลงอย่างง่ายดายเพียงนั้น โชคดีที่เจ้ามีการยกระดับการป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ”
หลี่หมิงอวินรำพึงรำพันในใจ จะไม่ยกระดับการป้องกันได้หรือ ในเมื่อเรื่องมันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย เขายังต้องรักษาชะตาชีวิตน้อยๆ กลับไปใช้ชีวิตกับหลันเอ๋อร์!
หยางว่านหลี่เอ่ยถาม “แม่ทัพหลิน ใต้เท้าหลี่ แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรกันดีขอรับ”
หลินจื้อย่วนกล่าว “มีทั้งหลักฐานบุคคลและหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันขนาดนี้ คุมตัวส่งไปเมืองหลวง แล้วให้ฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสิน”
หลี่หมิงอวินกล่าว “ท่านรีบไปควบคุมตัวใต้เท้าฉินเอาไว้ ตัดขาดการติดต่อของเขากับโลกภายนอก จำเป็นต้องล้วงความเป็นจริงทั้งหมดจากองครักษ์ที่อยู่ข้างกายเขาให้ได้ เมื่อมีคำสารภาพเป็นลายลักษณ์อักษร ค่อยนำหลักฐานพร้อมคำสารภาพส่งกลับไปยังเมืองหลวงพร้อมกัน”
หยางว่านหลี่เผยสีหน้าขึงขัง และกล่าวเสียงดังฟังชัด “ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ผู้เป็นลุงใหญ่ของตระกูลหลี่ยังเดินทางมาไม่ถึงเมืองหลวง ทว่าผู้เป็นป้าใหญ่ของตระกูลหลินกลับหอบทั้งครอบครัวเดินทางมาถึงเมืองหลวงอย่างหน้าชื่นตาบานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เฝิงซูหมิ่นอดทนอึดอัดใจมาเป็นเวลากว่าสองเดือน ในที่สุดพี่สาวของสามีก็เดินทางมาถึงเสียที เดิมทีอยากถามไถ่เรื่องนี้ให้กระจ่างชัดแจ้ง คาดไม่ถึงว่าพี่สาวสามีกลับเผยท่าทีราวกับต้องการหลงหลักปักฐานที่เมืองหลวง
ป้าใหญ่นามว่าหลินต้าฟาง เดิมยังมีป้าเล็กอีกคน หลินเสี่ยวฟาง ซึ่งยังไม่ทันได้ออกเรือนก็ล้มป่วยเสียชีวิตไปแล้ว
“จุ๊ๆๆ เมืองเป่ยจิงช่างสมกับเป็นเมืองหลวง ดูเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าเสียเหลือเกิน น้องชายข้าเอ่ยไว้ตั้งนานแล้วว่าต้องการรับพวกเรามาอาศัยอยู่ที่เมืองหลวง แต่ข้าเอ่ยว่า พวกเราล้วนเป็นครอบครัวชาวไร่ชาวสวน การมาเมืองหลวง สถานที่ซึ่งเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง เกรงก็แต่ว่าจะทำตัวไม่ถูกน่ะ! อาศัยอยู่ในชนบท เป็นอิสระมันก็เป็นอิสระอยู่ ทว่าข้าก็เหลือน้องชายแท้ๆ เพียงคนเดียว จึงอดคะนึงถึงเขาไม่ได้! ในเมื่อน้องสะใภ้มีน้ำใจถึงเพียงนี้ พวกเราก็เกรงใจเกินกว่าจะปฏิเสธเช่นกัน…” หลินต้าฟางมองนั่นมองนี่ทันทีที่พ้นประตูเข้ามา มองดูคฤหาสน์หลังใหญ่ที่แสนโอ่อ่างดงาม สองดวงตาเป็นประกายพร่างพราว แม้กระทั่งปากยังหุบไม่ลงเลยด้วยซ้ำ “คังหนิง คังผิง ยังไม่รีบคารวะน้าสะใภ้เจ้าอีก” นางรีบเรียกลูกๆ ทั้งสองทักทายเฝิงซูหมิ่น
เด็กผู้ชายทั้งสองคนโค้งลำตัวพร้อมยกสองมือขึ้นคาราวะเฝิงซูหมิ่น “หลานคารวะท่านน้าสะใภ้ขอรับ”
เฝิงซูหมิ่นกล่าวอย่างสุภาพ “ไม่เจอกันหลายปี คังหนิง คังผิงล้วนโตเป็นหนุ่มน้อยหมดแล้ว” ขณะที่ดวงตาชำเลืองมองป้าใหญ่อยู่ตลอด ผู้ที่นามว่าจ้าวเชวียน เห็นเขาเอาแต่ยื่นมือไปลูบคลำนู่นนี่นั่นไปเรื่อย ภายใต้นัยน์ตาที่แสดงให้เห็นถึงความละโมบ เฝิงซูหมิ่นอดเกิดความรู้สึกรังเกียจอยู่ภายในใจไม่ได้
“สามี สามี…” หลินต้าฟางเห็นว่าน้องสะใภ้ดูเหมือนไม่ค่อยพึงพอใจนัก จึงเดินไปดึงจ้าวเชวียนมาแล้วแอบหยิกเขา พลางกล่าวด้วยเสียงกระซิบ “ช่วยทำตัวให้มันดีๆ หน่อย อย่าทำให้คนเขาดูถูกเอาได้”
จ้าวเชวียนรีบพยักหน้าพร้อมกับฉีกยิ้มให้เฝิงซูหมิ่นทันที “น้องสะใภ้…”
เฝิงซูหมิ่นฝืนฉีกยิ้มและพยักหน้าให้ ถือเป็นการทักทายกันไป นางไม่ได้รังเกียจที่ป้าใหญ่พวกเขาเป็นคนชนบท เพียงแต่ป้าใหญ่ผู้นี้ นางรู้สึกไม่ถูกโฉลกด้วยจริงๆ มีคำกล่าวที่ว่า แค่มองตาก็รู้แล้วว่าภายจิตใจกำลังคิดสิ่งใด คนผู้นี้หน้าตาเจ้าเล่ห์เจ้ากล แค่มองเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์และสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัว
“ป้าใหญ่ ลุงเขยใหญ่ พวกท่านเดินทางกันมาเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว แม่หวัง เจ้าช่วยพาพวกป้าใหญ่ไปเข้าที่พักทีสิ ให้พวกเขาพักที่บ้านบริเวณมุมตะวันตกแล้วกัน” เฝิงซูหมิ่นบอกกล่าว
แม่หวังรีบนำพาคนเหล่านั้นไปทันที
หลินต้าฟางยิ้มระรื่นจนตาหยี “น้องสะใภ้ช่างมีน้ำใจจริงๆ เช่นนั้นข้าไปลงหลักปักฐานก่อนละ ไว้อีกเดี๋ยวมาหาน้องสะใภ้พูดคุยกัน”
หลังเดินไปได้เพียงสองฝีก้าว หลินต้าฟางนึกบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน จากนั้นจึงค้นห่อสัมภาระของนาง “เกือบลืมไปแล้วเชียว ข้านำของประจำถิ่นบ้านเกิดมาให้น้องสะใภ้ด้วย นี่คือหน่อไม้แห้ง ส่วนนี่แปะก๊วยอบแห้ง…ของเหล่านี้ล้วนเป็นของที่หลินซานชอบกินที่สุด” นางหยิบของออกมาทีละชิ้นขณะกล่าว ซึ่งแต่ละอย่างเป็นห่อขนาดเล็กๆ
เฝิงซูหมิ่นฝืนยิ้มอีกครั้ง นางให้แม่หวังรับไว้ ขณะที่ภายในใจเต็มไปด้วยความกังวล การเชิญคนประเภทไม่รู้จักวางตนให้สงบเสงี่ยมมันเป็นเรื่องง่าย แต่การจะเชิญคนประเภทนี้ออกไปมันเป็นเรื่องยากเสียยิ่งอะไรดี เดิมทีอยากขจัดปัญหา ครานี้ กลายเป็นปัญหายิ่งมากขึ้นเสียแล้ว