หลังมื้อค่ำเฝิงซูหมิ่นตั้งใจเชิญหลินต้าฟางมาพูดคุยเป็นการเฉพาะ
“ป้าใหญ่พออยู่อาศัยได้หรือไม่”
“ไอหยา! พวกเราชาวบ้านนอก อยู่อาศัยในบ้านอิฐและนอนบนเตียงแข็งกระด้างจนเคยชิน ครานี้พอได้มาอยู่ในบ้านหลังคนร่ำคนรวย เลยยังไม่ค่อยคุ้นชินเท่าใดนัก ทว่า น้ำใจของน้องสะใภ้นี้ ต่อให้ไม่คุ้นชินก็ต้องคุ้นชินมิใช่หรือ” หลินต้าฟางเผยสีหน้าอันเต็มไปด้วยยิ้มระรื่น
เฝิงซูหมิ่นฉีกยิ้มเจื่อน “ท่านพี่บ่นถึงป้าใหญ่อยู่ตลอด เอ่ยว่าอยากรับป้าใหญ่มาเมืองหลวงเพื่อเสพความสุขสบายสักระยะหนึ่งเจ้าค่ะ”
“ไอหยา! น้องสามช่างเป็นคนมีน้ำใจงามจริงๆ แล้วยังใส่ใจพี่สาวคนนี้อย่างข้าอีกด้วย เจ้าไม่รู้อะไร น้องสามน่ะสนิทสนมกับข้ามาตั้งแต่เล็กๆ คอยเดินตามข้าต้อยๆ ตลอดทั้งวัน…จะว่าไปแล้ว ต่อให้น้องสามมีน้ำใจงามเพียงใด ก็ต้องให้น้องสะใภ้มีความประสงค์ด้วยถึงจะได้” หลินต้าฟางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เฝิงซูหมิ่นเผยท่าทีไม่ค่อยปลาบปลื้มเท่าใดนัก สนิทหรือ? ไม่เห็นจะเป็นเช่นนั้นเลย เพราะตามจริงผู้เป็นสามีนางเอ่ยถึงพี่สาวน้อยครั้งมาก
“หากป้าใหญ่รู้สึกว่ามีส่วนใดไม่เหมาะสม แค่มาบอกข้าก็เป็นพอ ข้าจะให้คนไปจัดการให้” เฝิงซูหมิ่นกล่าวอย่างให้ความเกรงใจที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นจริง
หลินต้าฟางโบกมือด้วยหน้าชื่นตาบาน “ไม่ๆ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”
หลังนิ่งเงียบไปชั่วขณะ เฝิงซูหมิ่นก็กล่าวขึ้น “ตามจริง การเชิญป้าใหญ่มาครั้งนี้ มีเรื่องหนึ่งที่อยากถามป้าใหญ่”
หลินต้าฟางหัวเราะร่า “เรื่องอันใดหรือ เจ้าถามมาได้เลย”
“เกี่ยวกับภรรยาคนก่อนของท่านพี่น่ะเจ้าค่ะ…”
หลินต้าฟางกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ “นางเฉินเสียชีวิตไปตั้งหลายปีแล้ว น้องสะใภ้เอ่ยถึงนางขึ้นมาทำไมหรือ”
เฝิงซูหมิ่นจ้องมองนางอย่างสงบนิ่ง “ป้าใหญ่มั่นใจว่านางเฉินเสียชีวิตแล้วหรือ”
หลินต้าฟางเผยสีหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ “มั่นใจสิ เรื่องนี้จะพูดเป็นเล่นได้อย่างไรหรือ นางเฉินตายไปนานแล้ว ตายไปตั้งแต่ตอนที่อดยากปากแห้งกันในปีนั้น เฮ้อ…นางเฉินเป็นคนดีมีศีลธรรมคนหนึ่ง แล้วยังมีเด็กน้อยคู่นั้นที่น่าสงสารอีก ตอนแรกข้าก็เกลี้ยกล่อมพวกนางแล้วว่าอย่าไปๆ ต่อให้ลำบากเพียงใด ข้าผู้เป็นป้าใหญ่ผู้นี้จะยอมดูพวกเขาอดตายหน้าตาเฉยหรือ จะไม่ยอมช่วยพวกเขาได้หรือ ทว่านางไม่ฟังข้า! ผลสุดท้ายก็เลยอดตายในต่างบ้านต่างเมือง แล้วยังพาลให้เด็กน้อยคู่นั้นต้องรับเคราะห์ไปด้วย โชคดีที่คนบ้านเกิดของหมู่บ้านเดียวกับพวกเขาช่วยจัดการศพสามแม่ลูกนั่นให้…เฮ้อ! น่าเวทนาเสียจริง!” หลินต้าฟางส่งเสียงทอดถอนลมหายใจ
เฝิงซูหมิ่นได้ฟังนางจนจบ จึงเอ่ยถามอีกครั้ง “เป็นคนบ้านเกิดท่านไหนหรือที่ช่วยเก็บร่างของพวกเขาให้”
หลินต้าฟางกล่าวอย่างอ้ำอึ้ง “ก็เหล่าอู๋ผู้นั้นที่อยู่ในหมู่บ้าน…ไอหย่า บอกเจ้าไปเจ้าก็ไม่รู้จักอยู่ดี”
“เหล่าอู๋ผู้นั้น ตอนนี้ยังอยู่ที่นั่นหรือไม่”
“ตายแล้ว ตายไปหลายปีแล้ว” หลินต้าฟางกล่าวตอบ หัวใจหลินต้าฟางเต้นระรัวประหนึ่งกลองที่กำลังถูกกระหน่ำตี ตอนนั้นนางแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย นางเฉินที่น่ารังเกียจผู้นั้น อยากให้นางตายๆ ไปยิ่งไวยิ่งดี หากไม่ใช่นางเฉินยุแยง น้องสามจะเกิดความแตกแยกกับนางผู้เป็นพี่สาวใหญ่คนนี้หรือ เมื่อก่อนจะขออะไรจากน้องสามก็ได้ทั้งนั้น แต่พอนางเฉินเข้ามาอยู่ในบ้าน น้องสามก็ไม่เห็นนางเป็นพี่สาวคนโตเสียแล้ว ให้หลังต่อมา เฟิงเอ๋อร์กลับมายังหูโจวเพื่อถามไถ่ข่าวคราวบิดาของเขา นางก็เลยตอบไปเช่นนั้น หลังจากนั้น หลายปีมานี้ พวกเฟิงเอ๋อร์ก็ไม่กลับมาอีกเลย เรื่องนี้ นางคิดว่ามันคงผ่านพ้นไปเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่า วันนี้ดันถูกน้องสะใภ้เอ่ยขึ้นมา คำพูดที่กล่าวออกไปแล้วไม่อาจเรียกคืนกลับได้ ตอนนี้นางจึงทำได้เพียงยืนกรานว่าสามแม่ลูกนั่นเสียชีวิตไปแล้ว มิเช่นนั้น หากให้น้องสามรับรู้ว่านางโกหกเขา คงต้องไม่ให้อภัยเป็นแน่ ถึงอย่างไรเหล่าอู๋ผู้นั้นก็เสียชีวิตไปตั้งหลายปีแล้ว พวกเจ้าจะขุดเขาขึ้นมาถามไถ่หรือไร ต่อให้ขุดขึ้นมาทั้งครอบครัวจริง ก็ต้องให้คนที่เสียชีวิตไปแล้วเอ่ยปากได้ ถึงจะได้คำตอบ ยามนี้น้องสาม เดิมทีนามว่าซานเอ๋อร์ เปลี่ยนไปอยู่ในนามหลินจื้อย่วน ได้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ นางไม่เชื่อหรอกว่า นางเฉินจะตามหามาถึงที่นี่ได้ ใต้หล้านี้มันมีเรื่องที่บังเอิญได้ขนาดนั้นเสียที่ไหนกัน ไม่ใช่นิทานปรัมปราเสียหน่อย หลินต้าฟางนึกคิดเช่นนี้ จึงค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ป้าใหญ่ ท่านมั่นใจหรือ” เฝิงซูหมิ่นซักไซ้ไล่ความ
หลินต้าฟางเบิกดวงตาโต “แน่นอน ข้าจะโกหกเจ้าทำไมหรือ น้องสะใภ้ สรุปแล้วจู่ๆ เจ้าถามเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมหรือ”
เฝิงซูหมิ่นเผยรอยยิ้ม “ไม่มีอันใดหรอก ก็แค่อยากรู้น่ะเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่านางเฉินผู้นั้นเป็นคนเช่นไร”
หลินต้าฟางเผยสีหน้าอันแสดงให้เห็นถึงการดูถูกเหยียดยาม “นางหรือจะเทียบเจ้าได้! สตรีบ้านนอก จะว่ารูปลักษณ์งดงามก็ไม่ขนาดนั้น จะว่ามีความรู้สติปัญญาก็ไม่ถึงขั้นนั้น เฮ้อ นางตายไปแล้ว เจ้าก็อย่าได้เอ่ยถึงนางไปเลย”
เฝิงซูหมิ่นเป็นอันเข้าใจกระจ่างแจ้ง เห็นได้ชัดว่าป้าใหญ่ไม่ค่อยถูกชะตานางเฉินเท่าใดนัก ระหว่างพี่สาวสามีกับน้องสะใภ้ที่จะอยู่กันอย่างกลมเกลียวได้ ยังถือว่ามีให้เห็นน้อยคนนัก นางเฉินเป็นคนเช่นไร นางไม่ขอเอ่ยถึง ทว่าป้าใหญ่ผู้นี้ไม่ใช่คนดีเด่อะไรแน่นอน แม้ว่าป้าใหญ่พูดอย่างเป็นตุเป็นตะ แล้วยังมีพยานบุคคล ทว่าพยานบุคคลที่ว่านี้เสียชีวิตไปแล้ว เช่นนั้นจะเป็นพยานได้อย่างไรหรือ นางเชื่อว่าสามีของตนคงไม่มีทางจำผิดแม้กระทั่งบุตรของตนเองไปได้ อีกอย่าง นิสัยของหลินหลัน นางก็รู้จักเป็นอย่างดีเช่นกัน หลินหลันไม่ใช่คนประเภทยอมรับใครมาเป็นบิดาได้อย่างเรื่อยเปื่อย เพื่อยกระดับตนเอง หลี่หมิงอวินมีความสามารถโดดเด่นผู้อื่น อนาคตในหน้าที่การงานภายภาคหน้าคงต้องรุ่งโรจน์ไร้ที่สิ้นสุด หลินหลันไม่จำเป็นต้องหาขุนนางสักคนมาเป็นบิดาให้ตนเอง แล้วนับประสาอะไรกับหลินหลันที่ไม่ได้แสดงความประสงค์ว่าต้องการรับเขาเป็นบิดาเลยสักนิด มิเช่นนั้น สามีของนางก็คงไม่เขียนจดหมายขอความช่วยเหลือจากนางอย่างจริงจังให้ไปสร้างความเข้าใจกับหลินหลัน และมิเช่นนั้น ทั้งๆ ที่กลับมาเมืองหลวงนานเนเพียงนี้แล้ว ทว่าหลินหลันกลับไม่แวะเวียนมาหานางเลย เฝิงซูหมิ่นคิดไม่ตก
หลินต้าฟางได้ยินน้องสะใภ้เอ่ยเช่นนี้ ภายในใจจึงรู้สึกประหนึ่งถูกก้อนศิลายักษ์ใหญ่หล่นใส่ คาดว่าคงเป็นเพราะน้องสามยังคะนึงถึงนางเฉิน น้องสะใภ้จึงรู้สึกไม่สุขใจ ส่งผลให้เอ่ยถามออกมาเช่นนี้
“น้องชายข้ายังรบราอยู่ที่ชายแดนนั่นหรือไม่” หลินต้าฟางแสดงความห่วงใยน้องชายขึ้นมา
เฝิงซูหมิ่นพยักหน้าและกล่าว “ท่านพี่มิได้กลับบ้านมาหลายปี จนซานเอ๋อร์แทบจะจำท่านพ่อเขามิได้แล้วด้วยซ้ำ และไม่รู้เช่นกันว่าจะกลับมาได้เมื่อใด”
หลินต้าฟางถอนหายใจ “น้องสะใภ้ก็ลำบากเช่นกันสินะ ต้องเลี้ยงดูซานเอ๋อร์ตามลำพังจนเติบใหญ่ น้องชายข้าได้แต่งเจ้ามาเป็นภรรยา นั่นเป็นกุศลที่สั่งสมมาแต่ชาติปางก่อนก็ว่าได้ ไว้รอเขากลับมา ข้าจะต้องสั่งสอนเขาให้ดีๆ หน่อย ห้ามมิให้รังแกเจ้า หากเขากล้ารังแกเจ้า เจ้าก็มาบอกกล่าวข้า พี่สาวคนนี้จะช่วยจัดการเขาแทนเจ้าเอง” นางเอ่ยพลางหยิบขนมอบในจานชิ้นหนึ่งขึ้นมารับประทาน “ขนมในเมืองหลวงนี้ ช่างทำได้รสชาติอร่อยดีจริงๆ ที่ชนบทพวกเรานั่น มีพวกขนมเข่งให้กินก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
เฝิงซูหมิ่นอดขมวดคิ้วไม่ได้ ขณะมองดูเศษขนมที่ร่วงหล่นบนหน้าอกของนาง
ตามจริงนางพอรู้อยู่แก่ใจแต่แรกแล้วว่าเมื่อเรียกป้าใหญ่มา ผลลัพธ์ก็คงเป็นเช่นนี้ เพียงแต่นางไม่อาจปล่อยวางได้ จะอย่างไรก็ต้องถามไถ่ต่อหน้าให้ได้ถึงจะวางใจ ทว่ายามนี้ หลังได้ถามไถ่ไปแล้ว ภายในใจกลับยิ่งรู้สึกสับสน จากจดหมายของสามี เห็นได้ชัดว่าสามีเห็นความสำคัญของบุตรคู่นี้ และอยากให้บุตรยอมรับในตัวเขามากมายเพียงใด หากนางไม่ทำตามประสงค์ของสามี เกรงว่าสามีจะเกิดความนึกคิดอันใดต่อนางเอาได้ แต่หากทำตามประสงค์ของสามี นาง…นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะเผชิญหน้าหลินหลันอย่างไร
เฝิงซูหมิ่นกลับเข้าไปในห้องด้วยจิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่าย ระหว่างนั้นซานเอ๋อร์เข้ามาเพื่อทักทายยามค่ำ
“ท่านแม่ ท่านไม่สบายใจหรือขอรับ” มือน้อยๆ ของซานเอ๋อร์เอื้อมขึ้นไปลูบคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของมารดา “วันนี้ท่านอาจารย์กล่าวชมซานเอ๋อร์ด้วยขอรับ กล่าวว่าซานเอ๋อร์ท่องจำตำราเรียนได้ยอดเยี่ยมขอรับ”
เฝิงซูหมิ่นบีบแก้มนุ่มนิ่มของซานเอ๋อร์อย่างเบามือ ซึ่งนั่นช่วยให้ความกังวลใจของนางสงบลง
“แม่มิได้ไม่สบายใจหรอก ซานเอ๋อร์ฉลาดเฉลียวและว่านอนสอนง่ายเพียงนี้ แม่ดีใจอย่างยิ่ง”
ซานเอ๋อร์เงยดวงหน้าน้อยนิด กะพริบตาโตปริบๆ ภายใต้ใบหน้าที่ใสบริสุทธิ์ “ท่านแม่ ซานเอ๋อร์ชอบพี่หลันเอ๋อร์มากๆ เลยขอรับ ท่านแม่ไม่ชอบนางหรือขอรับ”
เฝิงซูหมิ่นตกตะลึง “เหตุใดซานเอ๋อร์ถึงถามเช่นนี้”
ซานเอ๋อร์กล่าวด้วยท่าทางเป็นจริงเป็นจัง “ซานเอ๋อร์รู้ว่าเหตุใดท่านแม่ถึงไม่สบายใจ พี่หลินหลันเป็นพี่สาวแท้ๆ ของซานเอ๋อร์ ซานเอ๋อร์ยังรู้อีกว่าซานเอ๋อร์มีพี่ชายคนหนึ่ง ท่านแม่ไม่อยากให้พี่หลินหลันเป็นพี่สาวของซานเอ๋อร์”
เฝิงซูหมิ่นกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ซานเอ๋อร์ นี่ผู้ใดเป็นคนบอกเจ้าหรือ”
ซานเอ๋อร์เผยสีหน้าประมาณว่า ท่านจะดูถูกข้าเกินไปแล้ว “ซานเอ๋อร์อ่านหนังสือออก จดหมายของท่านพ่อ ซานเอ๋อร์เห็นแล้วนะขอรับ”
เอ่อ! เด็กน้อยนี่ ตาไว้เพียงนี้เชียวหรือ เฝิงซูหมิ่นลูบศีรษะของซานเอ๋อร์ “ซานเอ๋อร์อย่าพูดไปเรื่อย แม่มิได้ไม่ชอบพี่หลินหลัน เพียงแต่…เรื่องบางเรื่อง ซานเอ๋อร์ยังเด็ก จึงไม่อาจเข้าใจได้”
ซานเอ๋อร์มุ่ยปาก “ซานเอ๋อร์ไม่เด็กแล้ว ซานเอ๋อร์หกขวบแล้วนะขอรับ”
เฝิงซูหมิ่นหลุดหัวเราะออกมา พลางยื่นมือลูบดวงหน้าเล็กจั้มมั้มของซานเอ๋อร์ “ใช่ ซานเอ๋อร์ไม่เด็กแล้ว ซานเอ๋อร์เป็นเด็กน้อยที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว”
ซานเอ๋อร์หัวเราะชอบใจ แขนสั้นๆ โอบรอบคอของมารดา ตามด้วยแนบใบหน้าน้อยๆ สบลงไป และเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ท่านแม่ พี่หลินหลันมิได้มาเล่นที่บ้านเรานานแล้วนะขอรับ”
เฝิงซูหมิ่นกอดบุตรชายขณะยิ้มขมขื่น ตอนนี้ ต่อให้นางไปเชิญหลินหลัน หลินหลันก็คงไม่มาเป็นแน่
หลินต้าฟางกลับถึงที่พัก เห็นเพียงจ้าวเชวียนกำลังกัดตะเกียบเงินคู่หนึ่งที่ถืออยู่
“เอ้…นี่เจ้าทำอันใดหรือ”
จ้าวเชวียนส่ายตะเกียบเงินในมือ พลางเผยรอยยิ้มจนตาหยี “นี่มันทำจากเงินแท้ๆ เอาไปเปลี่ยนเป็นเงินคงได้หลายตำลึงเชียวละ!”
หลินต้าฟางเดือดดาล “นี่เจ้าขโมยมาหรือ”
จ้าวเชวียนหัวเราะเจื่อน “เหตุใดเจ้าถึงพูดจาได้ไม่น่าฟังเยี่ยงนี้ ขโมยอะไรกันละ ข้าเพียงแค่เก็บไว้ดูก็เท่านั้น แค่เอาไว้ดูน่ะ”
หลินต้าฟางเดินเข้ามาฉกฉวยตะเกียบเงินไปแล้วกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “จ้าวเชวียน เจ้าช่วยทำตัวให้มันดีๆ หน่อย อย่าให้คนเขาเอาเรื่องเอาราวเพราะการขโมยเล็กขโมยน้อยของเจ้า นี่เป็นบ้านน้องชายข้า หากสร้างปัญหาให้น้องสะใภ้ข้า เราชดใช้ไม่ไหวแน่ อนาคตของคังหนิงและคังผิงต้องหวังพึ่งพิงน้องชายข้า! เจ้าหยุดเพิ่มปัญหาให้ข้าเสียทีเถอะ”
จ้าวเชวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “ก็แค่ดูเท่านั้นเอง! เจ้าจะโวยวายอะไรหนักหนา”
หลินต้าฟางกล่าวอย่างหงุดหงิด “เจ้ามันสันดานเสียแก้ไม่ได้ รู้แต่แรกไม่พาเจ้ามาด้วยก็ดี”
จ้าวเชวียนพึมพำ “ลูกเมียข้ามากันหมด แล้วเรื่องอะไรข้าจะมามิได้…”
หลินต้าฟางจ้องเขม็งใส่เขา จ้าวเชวียนจึงหุบปากอย่างจำใจ จากนั้นจึงไปลูบคลำกาน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะ “กาน้ำลายครามนี่ประณีตเสียเหลือเกิน คงได้ราคาไม่น้อยเช่นกันกระมัง…”