สองวันนี้ หลินหลันยุ่งจนหัวหมุนก็ว่าได้ อาการป่วยของหญิงชราย่ำแย่ลงกะทันหัน โรคทางเส้นเลือดสมองส่งผลให้เป็นอัมพาตไม่ใช่ประเภทอาการป่วยที่นางถนัด นางจึงทำได้เพียงเรียนเชิญหมอฟ่านและฮว๋าเหวินไป่มาช่วยเหลือ หลังกู้ชีวิตกันไปพักใหญ่ ในที่สุดก็ฉุดหญิงชราขึ้นมาจากปากขุมยมโลกได้ ทว่าอาการเช่นนี้ ยังคงเกิดขึ้นได้อีกทุกเมื่อ และช่วงเวลาในการเกิดนับวันยิ่งบ่อยขึ้น เกรงว่าหากเกิดอาการในครั้งหน้า ก็คงหนีไม่พ้นได้กลับบ้านเก่าเป็นแน่ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ยามนี้ติงหลั้วเหยียนตั้งครรภ์ขึ้นมาเสียดื้อๆ วันทั้งวัร จึงหมดไปกับการนอนขดอยู่บนเตียง ดังนั้นเรื่องการดูแลจัดการงานภายในบ้านจึงไม่ต้องเอ่ยถึง ทั้งหมดล้วนตกมาอยู่ที่หลินหลันและหลี่หมิงเจ๋อไปโดยปริยาย ทั้งสองจึงเกิดความกังวลจนสมองแทบระเบิด เฮ้อ…ลุงใหญ่ที่มาจากบ้านเกิดของหญิงชราก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ว่ากันตามหลักควรมาถึงได้แล้ว
เรื่องราวมักบังเอิญเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน หลินหลันจึงยุ่งวุ่นวายจนแทบเอาตัวเองไม่รอด คาดไม่ถึงว่าโม่เอ๋อร์สาวใช้ของเฝิงหมิ่นซูจะหน้าตาตื่นมาหาถึงที่ กล่าวว่านายหญิงชราที่บ้านเกิดเฝิงฮูหยินล้มป่วย ฮูหยินจึงต้องกลับไปซูโจวบ้านเกิดสักครั้ง จากนั้นก็นำซานเอ๋อร์ฝากฝังไว้กับนาง ขอให้นางช่วยดูแลสักเดือนสองเดือน ไม่รอให้หลินหลันตั้งสติกลับมาได้ โม่เอ๋อร์ก็รีบเดินหนีจากไปอย่างลุกลี้ลุกลนโดยทิ้งซานเอ๋อร์ไว้
หลินหลันชำเลืองมองเจ้าเด็กน้อยหอยสังข์ผู้หน้าตาไร้เดียงสา แล้วมองไปยังห่อสัมภาระขนาดใหญ่หนึ่งห่อที่อยู่บนโต๊ะ นางรู้สึกเพียงว่าสมองกำลังบวมเป่งขึ้นเรื่อยๆ นี่มันเรื่องอะไรกัน เฝิงซูหมิ่นจะยัดเหยียดคนเขาให้นางเช่นนี้เลยหรือ ต้องดูแลหนึ่งถึงสองเดือน นี่คิดจะเอาชีวิตนางหรือไร สรุปแล้วเฝิงซูหมิ่นคิดจะมาไม้ไหนกันแน่
“ซานเอ๋อร์ ท่านยายเจ้าไม่สบายแล้วจริงๆ หรือ” หลินหลันโน้มตัวลง และเอ่ยถามซานเอ๋อร์อย่างจริงจัง
ซานเอ๋อร์เงยดวงหน้าเล็กๆ ของเขา พลางกะพริบตาปริบๆ จากนั้นพยักหน้าอย่างจริงจังไม่แพ้กัน
หลินหลันสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วกล่าว “ซานเอ๋อร์ เป็นเด็กเป็นเล็ก จะพูดปดมิได้นะ หากพูดปดจมูกเจ้าจะยื่นยาวออกมา”
ซานเอ๋อร์บ่นอุบอิบในใจ พี่หลันเอ๋อร์กำลังโกหกเด็กเห็นๆ หยวนซือที่ตายไปพร้อมกับการโกหกหลอกลวงทั้งวันทั้งคืน ไม่เห็นเขาจะจมูกยาวยื่นเลย แล้วยังนอนตายอย่างอนาถด้วยซ้ำ
ซานเอ๋อร์ลูบจมูก จากนั้นเผยท่าทางจริงจัง “พี่หลันเอ๋อร์ ท่านดูสิ จมูกซานเอ๋อร์ไม่เห็นจะยาวออกไปเลย ซานเอ๋อร์มิได้พูดปดขอรับ”
หลินหลันหันสบตากับหยินหลิ่ว ภายในใจรู้สึกถึงความอึดอัดยิ่งนัก เด็กน้อยในวัยนี้ล้วนฉลาดหลักแหลม ไม่ง่ายต่อการหลอกล่อเอาเสียเลย!
“หยินหลิ่ว เรียกตงจึเตรียมรถม้า”
หยินหลิ่วมองไปยังซานเอ๋อร์ จากนั้นส่งเสียง อ้อ ออกไป
หลินหลันจูงมือซานเอ๋อร์เดินมุ่งออกไปด้านนอก เฝิงซูหมิ่น ท่านนำซานเอ๋อร์มาทิ้งไว้ที่นี่ เพราะคิดจะให้พวกเราก่อร่างสร้างสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง จากนั้นก็ใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางสินะ ไม่มีทางเสียหรอก เรื่องอะไรข้าต้องเป็นแม่นมให้ท่านด้วย เรื่องอะไรข้าต้องสนใจไยดีตาผู้เฒ่าคนนั้นด้วย
“พี่หลันเอ๋อร์ พวกเราจะไปไหนกันหรือ” ขาสั้นๆ ของซานเอ๋อร์เกือบจะเป็นการวิ่งเหยาะๆ ถึงเดินตามฝีก้าวของหลินหลันได้
“พาเจ้ากลับบ้าน” หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย เมื่อก่อนได้ยินซานเอ๋อร์เรียกนางพี่สาว นางยังรู้สึกดีใจไม่น้อย เพราะนี่หมายถึงเด็กคนนี้ให้ความสนิทสนมกับนาง หมายถึงนางมีสัมพันธภาพที่ดี ส่งผลให้เด็กน้อยคนนี้ชอบตามติดนาง ทว่าตอนนี้ เมื่อได้ยินซานเอ๋อร์เรียกนางพี่ ภายในใจของนางกลับไม่รู้สึกอะไรเช่นนั้นอีก แต่กลับเป็นความรู้สึกบาดหูชอบกล แม้ว่านางไม่อยากยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าซานเอ๋อร์เป็นน้องชายแท้ๆ ของนางอย่างไม่ต้องสงสัย
“แต่ท่านแม่ข้าไม่อยู่บ้านนะขอรับ” ซานเอ๋อร์กล่าวย้ำเตือน
หลินหลันชะงักฝีก้าว จากนั้นก้มหน้ามองซานเอ๋อร์และกล่าวอย่างมั่นใจ “ท่านแม่เจ้าอยู่บ้านเป็นแน่”
ซานเอ๋อร์มุ่ยปาก และเผยสีหน้าราวกับไม่เชื่อก็แล้วแต่
รถม้าขับเคลื่อนไปจนถึงจวนแม่ทัพฮ๋วยหยวน จากนั้นหลินหลันให้ตงจึไปเคาะประตู
ผู้ดูแลทางเข้าออกบ้านเปิดประตูออกมา และกล่าวด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเป็นหมอหลินและคุณชายน้อย “คุณชายน้อย เหตุใดท่านถึงกลับมาหรือ ฮูหยินมิได้ให้ท่านอยู่บ้านตระกูลหลี่ไปสักระยะหรือขอรับ”
ซานเอ๋อร์ก้มหน้าก้มตาไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ
“ฮูหยินบ้านเจ้าล่ะ ให้นางออกมาหน่อยสิ” หลินหลันกล่าวด้วยเสียงเย็นชา
ผู้ดูแลประตูบ้านเผยสีหน้าตกตะลึงปนประหลาดใจหนักกว่าเดิม “หมอหลิน ฮูหยินมิได้บอกกล่าวท่านหรอกหรือว่า ฮูหยินกลับไปซูโจวแล้วขอรับ”
หลินหลันยังคงไม่เชื่อ “เช่นนั้นให้ข้าเข้าไปดูหน่อย”
ผู้ดูแลประตูบ้านรีบเอี้ยวตัวเพื่อเปิดทางให้ แล้วผ่ายมือแสดงท่าทางเชื้อเชิญ
หลินหลันย่างก้าวเข้าไป ซานเอ๋อร์กลับยืนอยู่ที่เดิม หลินหลันยื่นมือออกไป “ซานเอ๋อร์ เข้ามา”
ซานเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก “พี่หลันเอ๋อร์ ท่านเข้าไปดูเถอะ ซานเอ๋อร์เดินเหนื่อยแล้ว ซานเอ๋อร์จะรอพี่หลันเอ๋อร์ตรงนี้ละ”
เอ่อ! เจ้าเด็กน้อยหอยสังข์นี่คงมั่นใจสินะว่านางจะกลับมาอย่างคว้าน้ำเหลว
หลินหลันเริ่มเปลี่ยนความนึกคิด ในเมื่อเฝิงซูหมิ่นใช้ไม้นี้ แน่นอนว่าต้องวางแผนไว้อย่างรอบคอบ คนเขาคงไปหลบซ่อนแล้วเป็นแน่ และมั่นใจว่านางคงไม่ใจร้ายทิ้งซานเอ๋อร์ ไม่สนใจไยดี ฮึ! ครั้งนี้ต้องทำให้เฝิงซูหมิ่นรู้ว่าแผนการของนางมันเปล่าประโยชน์ นางเลยตัดสินใจว่าจะไม่สนใจไยดี
หลินหลันฉีกยิ้ม จากนั้นย่อตัวลงนั่งยองและกล่าวกับซานเอ๋อร์ “ซานเอ๋อร์ เจ้าเชื่อฟังข้านะ ท่านแม่เจ้าออกข้างนอก อีกประเดี๋ยวเดียวก็กลับมา ตอนนี้ข้ายุ่งมาก ไม่มีเวลาดูแลเจ้า ดังนั้นเจ้าอยู่ที่บ้านนี่ อย่าดื้ออย่าซน ไว้วันหน้าวันหลังค่อยมาเยี่ยมเจ้าอีกครั้ง” หลินหลันลุกขึ้นยืนหลังเอ่ยจบ จากนั้นหันไปกล่าวต่อผู้ดูแลประตูบ้าน “ฝากคุณชายน้อยไว้กับเจ้าด้วย”
ผู้ดูแลประตูถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก “หมอ…หมอหลิน นี่คงมิได้หรอกขอรับ ข้าน้อยดูแลไม่เป็นหรอกขอรับ…”
“เจ้าดูแลไม่เป็น สาวใช้ในบ้านก็คงต้องดูแลได้อยู่แล้ว ตกลงตามนี้ ข้าไปก่อนละ” หลินหลันย่างฝีก้าวเตรียมเดินจากไป เฝิงซูหมิ่นต้องการใช้ลูกไม้มัดมือชกกับนาง แต่ไม่คิดเสียหน่อยว่านางใช่ใครที่ยอมให้มัดมือชกกันง่ายๆ เสียที่ไหนเล่า
หยินหลิ่วเห็นคุณชายน้อยซานเอ๋อร์เบะปากคล้ายจะร้องไห้ออกมา จึงกล่าวเสียงกระซิบด้วยความไม่สบายใจ “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านจะไม่สนใจไยดีจริงๆ หรือเจ้าคะ เกิดหลินฮูหยินมีเรื่องต้องจัดการเลยไม่อยู่บ้านจริงๆ เช่นนั้นคุณชายน้อยซานเอ๋อร์…”
หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่ต้องกังวลไปหรอก หลินฮูหยินมิได้ไปไหนแน่นอน”
หยินหลิ่วชำเลืองมองด้านหลัง “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ตามมาแล้วเจ้าค่ะ”
เอ่อ! เด็กน้อยหอยสังข์นี่ช่างพูดไม่ฟังจริงๆ เมื่อหลินหลันหันไปมอง ซานเอ๋อร์ก็เป็นอันหยุดชะงักฝีก้าวและเบ้ปาก ขณะเดียวกันดวงตากลมโตของเขาเผยให้เห็นหยาดน้ำตาเอ่อคลอ จ้องมองหลินหลันด้วยหน้าตาที่แสนน่าสงสาร เสมือนกับเด็กน้อยตาดำๆ ที่ถูกทอดทิ้ง
หลินหลันกลั้นใจทำเป็นคนใจร้ายใจดำ โดยการจ้องเขม็งใส่ขณะกล่าวออกไป “ซานเอ๋อร์ รีบกลับไปเสีย…”
ซานเอ๋อร์เบ้ปากหนักกว่าเดิม เผยสีหน้าเสมือนต้องการร้องไห้แต่ยังคงอดกลั้นไว้ ชวนให้ผู้มองเห็นรู้สึกสลดใจ
หลินหลันเมินเฉยใส่เขา “หยินหลิ่ว เราไปกันเถอะ”
หลินหลันขึ้นรถม้า จากนั้นให้ตงจึรีบออกรถทันที
เสียงของผู้คุมประตูตะโกนขึ้น “คุณชายน้อย คุณชาย…”
หยินหลิ่วเลิกม่านของหน้าต่างบานหลังเพื่อมองออกไป คุณชายน้อยซานเอ๋อร์กำลังวิ่งตามรถม้าด้วยท่อนขาน้อยๆ ของเขา หยินหลิ่วอดรู้สึกปวดใจไม่ได้
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านดูสิเจ้าคะ…”
หลินหลันขมวดคิ้วทันที กลยุทธ์ทุกข์กายนี่ยิ่งแสดงยิ่งเข้าถึงเสียจริงเชียว แต่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าการต้องมองดูซานเอ๋อร์วิ่งตามรถม้าเช่นนี้ มันให้ความรู้สึกอันรุนแรงถาโถมเข้ามาจริงๆ หลินหลันคิดว่าตนเองไม่อาจอดทนได้อีกแล้ว
ตุบ! ซานเอ๋อร์หกล้มหน้าคะมำ
“หยุดรถ!” หลินหลันรีบบอกตงจึให้หยุดรถ จากนั้นนางจึงกระโดดลงจากรถม้าทันที
“ซานเอ๋อร์ เป็นอะไรหรือไม่ ไหนให้ข้าดูสิ เจ็บตรงไหนบ้าง เหตุใดเจ้าถึงไม่เชื่อฟังกัน…” หลินหลันอุ้มซานเอ๋อร์ขึ้นมา จากนั้นช่วยปัดฝุ่นบนเรือนร่างให้เขา
ซานเอ๋อร์ส่งเสียงร้องกะจองงอแงขึ้นมา หยาดน้ำตาไหลพรากไม่ขาดสาย เขาร้องห่มร้องไห้สลับกับเอื้อนเอ่ยออกมา “ท่านแม่ไม่อยู่…ท่านพี่ก็ไม่ชอบซานเอ๋อร์แล้ว…ไม่มีใครต้องการซานเอ๋อร์…”
หลินหลันถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อโดนหยาดน้ำตาของซานเอ๋อร์โจมตี “พี่มิได้ไม่ต้องการซานเอ๋อร์ พี่…”
ไม่ทันรู้ตัว ความตั้งใจเดิมของหลินหลันที่ต้องการหลีกเลี่ยง ดันเอ่ยคำว่า ‘พี่’ ออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ
ซานเอ๋อร์กลับยื่นมือออกไปผลักหลินหลัน จากนั้นวิ่งมุ่งไปเบื้องหน้า พลางปาดน้ำตา “ข้าจะไปหาท่านแม่ ท่านแม่…ท่านแม่…”
หลินหลันพ่ายแพ้เขาอย่างราบคราบ นางวิ่งตามไปติดๆ และรั้งซานเอ๋อร์ไว้ “ซานเอ๋อร์ ซานเอ๋อร์ ฟังพี่นะ…”
ซานเอ๋อร์พยายามสลัดมือของหลินหลันทิ้งด้วยความโกรธเคือง พลางส่งเสียงร้องไห้โฮและกล่าวต่อหลินหลัน “ข้าไม่ต้องการให้ท่านมาสนใจข้า ท่านเป็นพี่สาวที่แย่มาก เป็นพี่สาวที่แย่มากๆ ทิ้งซานเอ๋อร์ได้ลงคอ ไม่ต้องการซานเอ๋อร์ เมื่อก่อนที่ท่านชมซานเอ๋อร์ บอกว่าชอบซานเอ๋อร์ ล้วนเป็นคำหลอกลวงทั้งนั้น จมูกท่านจะยาวยืด คอยดูสิ…ท่านแม่บอกว่าให้ซานเอ๋อร์ไปอยู่กับพี่สาว ซานเอ๋อร์ดีใจจนนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ข้าไม่ชอบท่านแล้ว…ไม่ชอบแล้ว…”
หลินหลันรู้สึกละอายแก่ใจอย่างยิ่ง จะว่าไปมันก็เป็นเรื่องราวระหว่างผู้ใหญ่ มิได้เกี่ยวข้องกับซานเอ๋อร์มิใช่หรือ ถึงอย่างไรซานเอ๋อร์ก็ยังเป็นเด็ก นางทำเช่นนี้ช่างเป็นการทำร้ายซานเอ๋อร์เข้าแล้วจริงๆ
“ซานเอ๋อร์ ฟังพี่พูดนะ พี่แค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง พี่กลัวว่าซานเอ๋อร์อยู่กับพี่สองวันก็เบื่อหน่ายแล้ว ดังนั้นเลยต้องทดสอบซานเอ๋อร์ว่าอยากอยู่กับพี่จริงหรือไม่ พี่มิได้ต้องการทอดทิ้งซานเอ๋อร์สักหน่อย พี่สาบานได้…” หลินหลันปลอบประโลมเด็กน้อย
ซานเอ๋อร์เบะปากด้วยความเสียใจ จ้องมองหลินหลันทั้งน้ำตา แล้วเอ่ยด้วยความโกรธเคือง “ท่านพี่โกหก”
“พี่ไม่ได้โกหกเจ้า ไม่ได้โกหกจริงๆ พี่จะพาเจ้ากลับไปด้วยอยู่นี่อย่างไร” หลินหลันอุ้มซานเอ๋อร์ขึ้นรถม้า ต่อให้เป็นการเตรียมการของเฝิงซูหมิ่น นางก็คงต้องยอมรับเสียแล้ว ใครใช้ให้นางใจอ่อนล่ะ! เห็นเด็กน้อยร้องห่มร้องไห้เสียใจเข้าหน่อยเป็นไม่ได้เชียว
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซานเอ๋อร์ถือผลไม้เคลือบน้ำตาลไม้หนึ่งอยู่ในมือซ้าย ส่วนมือขวาถือน้ำตาลที่ปั้นเป็นลักษณะคนสองคน เดินเข้าจวนหลี่ไปพร้อมกับหลินหลันอย่างสุขใจ ดวงหน้าน้อยๆ เต็มไปด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ เสมือนกำลังกล่าวว่า คิดจะสลัดข้าทิ้ง ท้ายที่สุดก็ยังต้องปลอบประโลมและพาข้ากลับมาอยู่ดี…
หลินหลันชำเลืองตามองท่าทางของซานเอ๋อร์ที่เบิกบานสำราญใจ อดนึกสงสัยไม่ได้ว่า ตนเองถูกเจ้าเด็กน้อยหอยสังข์นี่เล่นเล่ห์เหลี่ยมใส่เข้าแล้วใช่หรือไม่
หยินหลิ่วชื่นชอบซานเอ๋อร์อย่างยิ่ง ชอบจูงมือของซานเอ๋อร์ไว้ “ซานเอ๋อร์เส้าเหยีย ข้าน้อยพาท่านไปเลือกห้องพักนะเจ้าคะ”
ซานเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นและกล่าวเสียงดังฟังชัด “ไม่ ข้าจะพักห้องเดียวกับท่านพี่”
หลินหลันถึงกับสมองอื้ออึงไปทันทีทันใด นี่นางต้องรับหน้าที่แม่เลี้ยงเด็กเต็มตัวเป็นเวลาสองเดือนจริงๆ หรือ
เมื่อผู้คุมประตูเห็นหมอหลินอุ้มคุณชายน้อยขึ้นรถไปแล้ว จึงเผยรอยยิ้มคิกคักขึ้นมา คุณชายน้อยคนนี้ก็เหลือเกินจริงๆ! ช่างรู้จักแสดงละครได้สมจริงสมจังเสียยิ่งอะไรดี
เฝิงซูหมิ่นไม่ได้ออกไปจากจวนแต่อย่างใด เพียงแต่ย้ายจากบ้านหลักบริเวณส่วนกลาง ไปบ้านส่วนหลังเท่านั้นเอง หลายวันมานี้ถือว่านางพอเข้าใจอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น เรื่องที่หลินหลันเป็นบุตรสาวของสามีนาง มันเป็นสิ่งที่จริงแท้ ไร้ข้อสงสัย หากนางแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ และไม่ทำอะไรสักอย่าง ไม่เพียงแต่สามีของนางจะกล่าวโทษนางเมื่อกลับมาแล้ว ภายภาคหน้าหากหลินหลันกับสามีของนางยอมรับซึ่งกันและกันแล้ว นางจะยิ่งทำตัวไม่ถูกไปกันใหญ่ ซึ่งไม่แน่ว่า หลินหลันอาจรังเกียจนางเช่นนี้ด้วยก็เป็นได้ แต่จะให้นางไปพูดจาประเหลาะหลินหลัน นางพูดไม่ออกจริงๆ ดังนั้น คิดไปคิดมา จึงให้ซานเอ๋อร์เป็นฝ่ายไปสร้างสัมพันธ์ดีงามกับนางไว้ก่อน การทำเช่นนี้เป็นผลดีต่อซานเอ๋อร์ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ ตามจริงเรื่องนี้ ลึกๆ แล้วในใจนางไม่ค่อยมั่นใจนัก เพราะหลินหลันเป็นคนฉลาดเฉลียวอย่างยิ่ง มีหรือจะหลงกลได้โดยง่าย
เฝิงซูหมิ่นนั่งอยู่ภายในห้องด้วยความกระวนกระวาย นางครุ่นคิดด้วยความหนักใจ หากถูกหลินหลันรู้ทัน ควรทำเช่นไรดี
“เมื่อครู่หมอหลินนำคุณชายน้อยมาส่งเจ้าค่ะ” โม่เอ๋อร์เข้ามารายงาน
“อ๋า…” เฝิงซูหมิ่นลุกขึ้นยืนด้วยความตระหนกตกใจ ก็ว่าแล้วว่าไม่อาจหลอกหลินหลันได้ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าหลินหลันจะลงมือรวดเร็วเพียงนี้ โดยการไม่ลังเลใจเลยสักนิดที่จะนำคนเขาส่งกลับมาคืน
“ทว่า หมอหลินก็พาคุณชายน้อยกลับไปแล้วเจ้าค่ะ” โม่เอ๋อร์กล่าวเสริม
เฝิงซูหมิ่นตกตะลึง “พาไปแล้ว?”
โม่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหล่าเคอผู้คุมประตูเอ่ยว่า คุณชายน้อยร้องห่มร้องไห้วิ่งตามรถม้า หมอหลินทนมิได้ จึงพาตัวคุณชายน้อยกลับไปด้วย แล้วยังปลอบประโลมกันอยู่พักใหญ่แน่ะเจ้าค่ะ”
เฝิงซูหมิ่นยกมือขึ้นตบหน้าอกอย่างเบาๆ พลางถอนหายใจเฮือกยาวออกมา ถือว่าผ่านด่านแรกไปได้เสียที