หลินหลันนำซานเอ๋อร์ฝากไว้กับหยินหลิ่ว จากนั้นตนเองจึงมุ่งไปโถงจาวฮุย
หลี่หมิงเจ๋อที่กำลังเดินออกมาพร้อมกับฮว๋าเหวินไป่ เมื่อเห็นหลินหลัน หลี่หมิงเจ๋อจึงกล่าว “น้องสะใภ้ เจ้ามาพอดีเลย ฮว๋าย่วนสื่อกำลังต้องการพูดคุยกับเจ้าเกี่ยวกับอาการป่วยของท่านย่าอยู่พอดี”
หลินหลันย่อตัวเล็กน้อยในท่าทางคารวะ “พี่ใหญ่เชิญท่านตามสบายนะเจ้าคะ ทางนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าเองเจ้าค่ะ”
ระยะนี้หลี่หมิงเจ๋อเหน็ดเหนื่อยเอาการ เขาเติบโตภายใต้การเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมของนางฮาน ไม่เคยต้องเป็นกังวลต่อเรื่องยิบย่อยในชีวิตประจำวันมาก่อน หน้าที่เดียวของเขาก็คือการศึกษาเล่าเรียน และทำตัวในแบบฉบับคุณชายอย่างเขา โดยการใช้ชีวิตสัพเพเหระไปวันๆ ทว่ายามนี้ พ่อผู้ไร้ยางอายและนางฮานล้วนไม่อยู่แล้ว หมิงอวินก็ไปอยู่ชายแดนที่ห่างไกล เขาในฐานะบุตรชายคนโตของตระกูลหลี่ ปัดความรับผิดชอบไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือ อีกไม่นานเขาก็ต้องเป็นพ่อคนแล้ว ดังนั้น แม้ไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร ก็ต้องเรียนรู้ให้ได้ แม้ไม่อยากกระทำมันก็ต้องบังคับตนเองให้กระทำมันให้ได้
“เช่นนั้นทางด้านนี้ขอฝากน้องสะใภ้เลยแล้วกัน” หลี่หมิงเจ๋อหันไปยกสองมือขึ้นคารวะฮว๋าเหวินไป่ จากนั้นจึงเดินจากไปทันที
รอกระทั่งหลี่หมิงเจ๋อเดินจากไปไกลแล้ว หลินหลันจึงกล่าวขออภัย “รบกวนท่านจริงๆ เจ้าค่ะ”
นางรู้ดีว่าฮว๋าเหวินไป่ก็ยุ่งวุ่นวายมากเช่นกัน โรงหมอหลวงมีเรื่องต่างๆ มากมายไม่ขาดสาย ซึ่งจะให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้แม้เพียงนิดเดียว ใบจ่ายยาที่บรรดาหมอหลวงจ่ายออกไปทั้งหมด ล้วนต้องผ่านการตรวจสอบและอนุมัติจากเขาทั้งสิ้น วัตถุดิบยาทั้งหมดที่นำเข้าสู่พระราชวัง ก็ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วยังต้องประชุมกับบรรดาหมอหลวงเป็นครั้งคราวเพื่อหารือเกี่ยวกับอาการป่วยของบุคคลชนชั้นสูงทั้งหลาย โดยเฉพาะระยะนี้ อาการป่วยของไท่โฮ่วทรุดลงไปเรื่อย หมอหลวงจึงยุ่งวุ่นวายมากขึ้น ตามที่ฮว๋าเหวินยวนกล่าว บ่อยครั้งที่เขาไม่ได้กลับบ้าน กลับบ้านทีก็มืดค่ำดึกดื่น พอเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็ต้องเข้าวัง แม้เป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ยังเจียดเวลามาให้ น้อยคนนักที่จะทำอะไรแบบนี้ได้
ฮว๋าเหวินไป่เผยรอยยิ้มอ่อน “อาการหลอดเลือดทางสมองเป็นอาการป่วยที่ข้าต้องการศึกษามาโดยตลอด ข้าจึงถือนี่เป็นการรักษาดูแลที่ได้ทั้งประโยชน์ส่วนรวมและประโยชน์ส่วนตน”
หลินหลันยิ้มเล็กยิ้มน้อย นางรู้ดีแก่ใจว่าฮว๋าเหวินไป่กล่าวเช่นนี้ก็เพื่อทำให้นางสบายใจเท่านั้น หลินหลันเชื้อเชิญเขาไปนั่งในโถงรับแขกส่วนหน้า
“ตอนนี้ดวงตาของท่านย่ามองไม่เห็นแล้ว สติสัมปชัญญะก็เลอะเลือนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ…” ฮว๋าเหวินไป่กล่าวด้วยความรู้สึกหดหู่เล็กน้อยหลังหย่อนตัวลงนั่ง ”หมอหลิน เจ้าควรเตรียมพร้อมไว้แต่เนิ่นๆ ถึงจะถูก”
หลินหลันนิ่งเงียบ ก่อนกล่าวขึ้นด้วยความเศร้าโศก “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ…” เรื่องพิธีงานศพของหญิงชรากำลังอยู่ในการเตรียมการ ไม่ว่าจะเป็นโลงศพหรือเสื้อผ้าอะไรพวกนี้ ซึ่งตามจริงก็ได้เตรียมไว้ตั้งแต่ยามที่นางล้มป่วยเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ทำได้แค่รอลุงใหญ่เดินทางมาถึงให้ทันการณ์ หลายปีเพียงนี้ หญิงชราคอยปกป้องให้ท้ายนางฮานมาโดยตลอด ผลสุดท้าย อาการป่วยกลับเกิดขึ้นเพราะนางฮาน และอาการป่วยทวีรุนแรงขึ้นก็เพราะนางฮาน ไม่รู้เช่นกันว่า ยามที่หญิงชรามีสติสัมปชัญญะครบถ้วน จะแค้นเคืองโกรธนางฮาน และโกรธตนเองที่มองคนผิดไปหรือไม่ จะรู้สึกละอายใจต่อนางเยี่ยหรือไม่ ภายในใจหญิงชราจะคิดเช่นไร ตอนนี้ไม่มีผู้ใดรับรู้ได้เสียแล้ว และมันก็ไม่สำคัญแล้วเช่นกัน พวกเขาเหล่านี้ในฐานะคนรุ่นหลัง ทำได้เพียงพยายามสุดความสามารถเพื่อทำให้นางได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้นานขึ้นไปอีกหน่อยก็เท่านั้น พยายามอย่างเต็มที่ให้สมกับคำว่า ‘กตัญญูกตเวที’
ประเด็นนี้ให้ความรู้สึกหนักอกหนักใจเล็กน้อย ฮว๋าเหวินไป่เป็นแค่ผู้ถ่ายทอดคำพูดที่ตนพอรับทราบเท่านั้น จึงได้แต่มองดูหลินหลันที่กำลังหดหู่ และไม่รู้เช่นกันว่าควรปลอบประโลมเช่นไร หลังตกอยู่ในภาวะเงียบงันไปชั่วขณะหนึ่ง เขาจึงหาหัวข้อสนทนาหนึ่งเอ่ยขึ้นมา “ระยะนี้อาการปวดศีรษะข้างเดียวของไท่โฮ่วรุนแรงอย่างยิ่ง บ่อยครั้งที่ปวดจนไม่ได้หลับได้นอน และรับประทานอาหารไม่ลง วิธีการที่หมอหลวงใช้โดยการขับลม ขับเสมหะ บำรุงตับและบำรุงเลือดได้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฮ่องเต้ทรงเป็นกังวลใจต่อเรื่องนี้อย่างยิ่ง ไม่ทราบว่าหมอหลินพอจะมีข้อเสนอแนะอันใดบ้างหรือไม่”
หลินหลันครุ่นคิด อาการปวดศีรษะข้างเดียวเกิดจากลมภายในปะทะลมปราณเส้าหยาง หรือไม่ก็อันเนื่องจากภาวะตับบกพร่อง หรือเสมหะสะสมในปอด วิธีการรักษาตามแบบฉบับหมอหลวงจึงไม่ใช่ว่าไม่เหมาะสมแต่อย่างใด ทว่าอาการป่วยของไท่โฮ่วกลับไม่ลดระดับความรุนแรงลง แต่ดันทวีความรุนแรงขึ้น คงเป็นสาเหตุจากตัวไท่โฮ่วเองที่กังวลครุ่นคิดมากเกินไป หลายเรื่องราวไม่ราบรื่น แล้วไท่โฮ่วจะสงบจิตสงบใจอยู่ได้หรือ หากยามนี้ฮ่องเต้รับประกันว่าในภายภาคหน้า เมื่อตนเองเสด็จสวรรคต ตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์จะเป็นขององค์รัชทายาทอย่างแน่นอน คาดว่าอาการป่วยของไท่โฮ่วคงได้หายเป็นปลิดทิ้งทันที แน่นอนละ ฮ่องเต้ไม่อาจให้คำมั่นสัญญาเช่นนี้ได้แน่นอน ดังนั้น อาการป่วยของไท่โฮ่วจึงไม่อาจหายดีได้
“ท่านพี่ฮว๋า วิธีการทั้งหมดที่ใช้ล้วนเป็นวิธีรักษาโรคปวดศีรษะข้างเดียวที่ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ หากเป็นข้า ก็คงใช้วิธีการประเภทนี้เช่นกัน อาการปวดศีรษะข้างเดียวเป็นอาการป่วยที่เรื้อรัง มิใช่จะรักษาให้หายขาดได้ในช่วงเวลาอันสั้น” หลินหลันกล่าวเชิงอ้อม เรื่องของไท่โฮ่ว นางไม่ขอแทรกแซงจะเป็นการดีกว่า
ฮว๋าเหวินไป่ขมวดคิ้วขณะกล่าว “นั่นสินะ! พลิกตำราแพทย์ทั้งเล่ม ก็ยังหาวิธีการที่เหมาะสมกว่านี้มิได้ เฮ้อ! ข้าได้ยินว่าเจ้าใช้วิธีการฝังเข็มช่วยรักษาอาการปวดศีรษะข้างเดียวของเผยฮูหยิน ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งทีเดียว หรือไม่…”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาการของเผยฮูหยินแตกต่างกับไท่โฮ่วเจ้าค่ะ ประการแรก อาการปวดศีรษะข้างเดียวของเผยฮูหยินไม่รุนแรงเท่าไท่โฮ่ว ประการที่สอง…ความอัดอั้นตันใจของเผยฮูหยิน ข้ายังพอช่วยพูดคุยคลายความเครียดได้ ทว่าอาการป่วยทางจิตใจของไท่โฮ่ว จะมีผู้ใดขจัดได้ล่ะเจ้าคะ วิธีการฝังเข็มก็แค่การบรรเทาอย่างหนึ่งเท่านั้น หากอยากรักษาให้ถึงแก่นแท้ คงต้องรักษาจากต้นสายปลายเหตุของอาการป่วย ท่านพี่ฮว๋า เรื่องบางเรื่อง มิใช่ข้าหรือท่านพยายามสุดความสามารถก็จะก่อให้เกิดผลสำเร็จได้เสมอไปหรอกเจ้าค่ะ”
ฮว๋าเหวินไป่รู้สึกเข้าใจกระจ่างแจ้งทันทีทันใด จึงเผยรอยยิ้มสดใสขึ้นมา ยังคงเป็นหลินหลันที่เก่งกาจ ในคำพูดดังกล่าว หมายถึงอาการป่วยของไท่โฮ่วเกิดจากภาวะทางจิตใจ เขาจึงไม่อาจช่วยขจัดได้
หลังส่งฮว๋าเหวินไป่กลับไปเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันอยากไปเยี่ยมติงหลั้วเหยียนสักหน่อย และจะได้ปรึกษาหารือกับนางเกี่ยวกับเรื่องพิธีศพของหญิงชราว่าควรทำเช่นไร เรื่องประเภทนี้ หลินหลันไม่ถนัดจริงๆ สองชั่วชีวิต นางเคยได้ส่งนางเฉินมารดาผู้ล่วงลับเท่านั้น ทว่าการจัดพิธีศพของคนยากจนไม่ได้พิถีพิถันอะไรเพียงนั้น และตอนนั้นนางก็ยังเป็นเด็ก ทั้งหมดล้วนเป็นผู้อาวุโสในหมู่บ้านและพี่ใหญ่เป็นคนจัดการ นางทำเพียงร้องห่มร้องไห้เท่านั้น
เมื่อเดินไปถึงเรือนเวยอวี่ เผอิญเจอะเจอเฉียวจวนพอดิบพอดี เฉียวจวนเอ่ยว่า นายท่านหญิงแห่งตระกูลติงมาเยือน และกำลังพูดคุยกับนายหญิงสะใภ้ใหญ่บนอาคาร หลินหลันกับติงฮูหยินมีความไม่พึงพอใจต่อกันมาก่อน การเผชิญหน้ากันจะพาลให้เพิ่มความอึดอัดใจไปเปล่าๆ จึงกำชับเฉียวจวนไว้ว่า เมื่อติงฮูหยินไปแล้วให้มาบอกกล่าวนาง
เมื่อกลับไปถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย หรูอี้และคนอื่นๆ ต่างหายหน้าไปหมด เห็นเพียงอวิ๋นอิงนั่งอยู่บนระเบียงทางเดิน กำลังฝึกฝนเย็บปักถักร้อย ขณะที่ทางห้องปีกตะวันออกมีเสียงพูดคุยหยอกล้อดังออกมาเป็นระยะๆ
อวิ๋นอิงเห็นนายหญิงสะใภ้รองกลับมาแล้ว จึงรีบละมือจากงานเย็บปักถักร้อย แล้วเดินเข้ามาต้อนรับ “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย…”
หลินหลันชี้ไปทางด้านห้องปีตะวันออกพลางเอ่ยถาม “ทำอันใดกันอยู่ด้านในหรือ”
อวิ๋นอิงกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “พี่หยินหลิ่ว พี่หรูอี้และพี่จิ่นซิ่ว แล้วยังมีแม่โจวอีกคน ทั้งหมดกำลังอาบน้ำให้คุณชายซานเอ๋อร์เจ้าค่ะ!”
หลินหลันตกตะลึง เด็กน้อยหอยสังข์คนเดียวต้องให้คนปรนนิบัติอาบน้ำมากมายเพียงนี้เชียวหรือ
ไม่ทันไรหลินหลันก็เข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ภายในห้องปีกตะวันออก ซานเอ๋อร์กำลังเล่นสนุกสนานอยู่ในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ของหลินหลัน เสมือนปลากระดี่ได้น้ำอะไรอย่างนั้น เขาเคลื่อนตัวไปมา ด้วยความที่อ่างอาบน้ำใหญ่พอตัว พวกหยินหลิ่วจึงจับตัวเขาไม่ได้ ทว่า หลินหลันคิดว่า พวกนางไม่ได้ตั้งใจจะจับตัวเด็กน้อยเจ้าเล่ห์เจ้ากลผู้นี้ขึ้นมาจากอ่างเลยด้วยซ้ำ แล้วยังเล่นสาดน้ำอยู่ด้านข้างอย่างสนุกสนาน แม้กระทั่งแม่โจวก็ร่วมวงสนุกอยู่ในนั้นด้วย
“ไอหยา! คุณชายน้อยของข้า! รีบเลิกเล่นได้แล้วเจ้าค่ะ ขืนเล่นน้ำต่อไปอีกจะหนาวเย็นเอาได้นะเจ้าคะ…” ใบหน้าแม่โจวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเอ็นดู
“ให้ข้าได้เล่นต่ออีกหน่อยเถอะนะ!” ซานเอ๋อร์สาดน้ำกระเซ็นไปยังทิศทางหยินหลิ่ว ส่งผลให้ทั้งเรือนร่างของหยินหลิ่วเปียกชื้น หยินหลิ่วไม่แสดงถึงความหงุดหงิดเลยสักนิด แต่กลับสาดน้ำโต้กลับเขา
ซานเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก ใบหน้าดวงน้อยที่มีเนื้อนุ่มนิ่มบัดนี้เต็มไปด้วยหยดน้ำ เรือนร่างที่ขาวจ้ำม่ำเคลื่อนไหวเสมือนเซี่ยงไฉตงจื้อ เด็กน้อยผู้มั่งคั่งด้วยสมบัติเงินทองในภาพวาด ช่วงชวนให้ผู้คนรักใคร่เอ็นดูยิ่งนัก
“อ่ะแฮ่ม…” หลินหลันส่งเสียงกระแอม
ทุกคนถึงได้หันเหความสนใจมายังการมีตัวตนอยู่ของหลินหลัน จากนั้นรีบชะงักมือ และยืนก้มหน้าก้มตาด้วยสีหน้าสลด
ซานเอ๋อร์รีบหดตัวลงไปในน้ำ ทำทีท่าเสมือนกำลังตั้งใจอาบน้ำอย่างจริงจัง
หลินหลันกวาดสายตามองไปทีละคน เห็นใบหน้าและเรือนร่างของพวกนางแต่ละคนเต็มไปด้วยน้ำจนเปียกชื้น มันช่างเป็นสถานการณ์ที่ชวนกระอักกระอ่วนใจเสียจริง นางได้แต่แอบถอนหายใจ นี่เพิ่งวันแรกแท้ๆ ก็ทำเอาคนในบ้านของนางพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเสียแล้ว ไม่อยากคิดเลยจริงๆ ว่า หากซานเอ๋อร์อยู่ที่นี่เป็นเวลาถึงสองเดือน เรือนหลั้วเซี๋ยจายของนางจะถูกเขาก่อกวนจนกลายเป็นสภาพเช่นไร จะถูกเขาทำลายจนยับเยินหรือไม่ หลินหลันจึงคิดว่าควรตั้งกฎระเบียบต่อซานเอ๋อร์เสียแล้ว
“ซานเอ๋อร์ ข้าให้เวลาเจ้าสิบห้านาที หลังสิบห้านาที หากเจ้ายังไม่แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วออกมา ข้าจะพาเจ้าส่งกลับไป” หลินหลันปั้นหน้าเคร่งขรึมขณะกล่าว เมื่อสิ้นประโยคจึงหันหลังให้และเดินจากไป
ซานเอ๋อร์แลบลิ้นทำสีหน้าทะเล้นใส่แผ่นหลังของหลินหลัน แม่โจวชี้นิ้วไปที่ซานเอ๋อร์ เป็นการตักเตือนเขาอย่างไร้เสียง จากนั้นทั้งสี่คนจึงเดินเข้าไปประชิดอ่างน้ำแล้วพาตัวซานเอ๋อร์ขึ้นมา
หลินหลันนั่งดื่มน้ำชาอย่างสงบนิ่งภายในบ้าน พางมองดูนาฬิกาหยดน้ำที่แขวนอยู่บนมุมกำแพง
ไม่ถึงสิบห้านาที แม่โจวจูงมือซานเอ๋อร์ที่สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยเดินเข้ามา
ดูเหมือนซานเอ๋อร์ไม่รู้สึกรู้สาเลยสักนิดว่าตนเองทำให้คนเขาโมโห ถึงได้วิ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของหลินหลันหน้าตาเฉย แล้วยังยืนมือน้อยๆ จ้ำม่ำวางลงใต้จมูกของหลินหลัน พลางส่งเสียหัวเราะระรื่น จากนั้นกล่าวออดอ้อนตามประสาเด็กน้อย “พี่หลันเอ๋อร์ ท่านลองดมดูสิ ซานเอ๋อร์หอมหรือไม่ขอรับ”
ท่อนแขนน้อยๆ เสมือนรากบัวหลวงกวัดแกว่งไปมาเบื้องหน้าหลินหลัน หลินหลันอยากคว้ามันมาแล้วกัดแรงๆ เข้าไปสักหนึ่งที เจ้าเด็กน้อยหอยสังข์นี่ ยังจะทำน่ารักใส่นางอยู่อีกหรือ ทว่า กลีบปากแดงๆ ตัดกับผิวขาวจ้ำม่ำ ดวงตากลมโตเปล่งประกายระยิบระยับ ผนวกกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่แฝงอารมณ์ประจบสอพลอเอาไว้เล็กน้อย ช่างเป็นอะไรที่น่ารักน่าเอ็นดูเกินไปจริงๆ!
หลินหลันอดคิดไม่ได้ หากซานเอ๋อร์เป็นเด็กแปลกหน้า จู่ๆ มีคนบอกกล่าวนางว่า นี่เป็นบุตรที่เกิดจากพ่อผู้ไร้ยางอายกับอนุภรรยา เป็นน้องชายแท้ๆ ของนาง นางจะรับซานเอ๋อร์หรือไม่ ด้วยนิสัยของนาง เกรงว่าคงไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำไป เรื่องที่ว่าเด็กเปรียบเสมือนผ้าขาวบริสุทธิ์ที่ไร้เดียงสาอะไรนั่นคงยิ่งไม่ต้องพูดถึง เฮ้อ…สิ่งที่เป็นความรู้สึกประเภทนี้ มักเข้ามาเป็นใหญ่เสมอ นางถูกชะตากับซานเอ๋อร์ ความเอ็นดูที่มีต่อซานเอ๋อร์ไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นในวันนี้ และไม่ใช่ความรู้สึกประเภททำๆ ไปเช่นนั้น นางรู้สึกถูกชะตาและชื่นชอบมากจริงๆ รวมไปถึงหรงเอ๋อร์ของตระกูลเฉียวอวิ๋นซีก็ด้วย ดังนั้น แม้ว่าตอนนี้รับรู้ว่าซานเอ๋อร์เป็นน้องชายนาง นางก็ไม่อาจผลักไสไล่ส่งเขาได้
เรือนร่างเล็กจิ๋วนุ่มนิ่มที่เอนกายซบอยู่ในอ้อมกอดของนางเช่นนี้ ทำให้คนที่แม้อยากโกรธเพียงใดก็โกรธไม่ลง หลินหลันพยายามปั้นหน้านิ่งและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ซานเอ๋อร์ วันหลังอาบน้ำห้ามมิให้เกินครึ่งชั่วโมง เกิดโดนความเย็นมากๆ เข้าแล้วไม่สบายก็ต้องกินยา เจ้าอยากกินยาขมๆ หรือไร”
ซานเอ๋อร์ส่ายหน้าทันที
“อยู่กับพี่ที่นี่ ก็ต้องเชื่อฟังคำพูดของพี่ มิเช่นนั้น พี่จะโกรธ” หลินหลันยังคงปั้นหน้าเคร่งขรึม
ซานเอ๋อร์พยักหน้าอีกครั้ง “ซานเอ๋อร์จะเชื่อฟังขอรับ”
หลินหลันถึงได้คลายสีหน้าอ่อนลง แล้วลูบศีรษะกลมๆ ของซานเอ๋อร์ “เด็กที่ว่านอนสอนง่าย ผู้ใหญ่ถึงชื่นชอบ รีบไปเตรียมตัวเร็วเข้า อีกเดี๋ยวเราไปกินข้าวกัน”
ซานเอ๋อร์เขยิบใบหน้าเข้ามาหาใบหน้าของหลินหลัน พลางเผยรอยยิ้มอย่างเอาอกเอาใจ “พี่หลันเอ๋อร์ช่างดีจริงๆ ขอรับ”
หลินหลันเผยสีหน้าประหลาดใจ เจ้าเด็กน้อยหอยสังข์นี่ เข้าใจประจบสอพลอคนอื่นเขาจริงๆ
ดวงตาของแม่โจวจับจ้องไปที่เรือนร่างของซานเอ๋อร์ไม่วางตา พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในบ้านมีเด็กน้อยสักคน ช่วยให้ครึกครื้นขึ้นมากเลยนะเจ้าคะ”
หลินหลันตบมือลงบนเรือนร่างซานเอ๋อร์อย่างเบามือ และบอกให้เขาออกไปหาหยินหลิ่ว
ซานเอ๋อร์ส่งเสียงขานรับ จากนั้นท่อนขาน้อยๆ ก็วิ่งออกไป แม่โจวเกรงว่าเขาจะล้ม จึงตั้งท่าตามไปประครองเขา
“แม่โจว ท่านอยู่ก่อน ข้ามีคำพูดจะพูดคุยกับท่าน”
แม่โจวทำได้เพียงยืนนิ่ง แต่ยังไม่วายส่งเสียงบอกกล่าวซานเอ๋อร์ “คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ ท่านอย่าวิ่งจนเร็วเกินไปนะเจ้าคะ…”
หลินหลันให้แม่โจวปิดประตู แม่โจวจึงกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบานขณะเอื้อมมือไปปิดประตู “คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ผู้นี้ช่างน่าเอ็นดูจริงๆ เลยนะเจ้าคะ”
“ซานเอ๋อร์เป็นน้องชายข้า” หลินหลันกล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่าบานประตูปิดสนิทแล้ว เรื่องนี้ นางไม่อยากกะโตกกะตากไป ทว่าจำเป็นต้องบอกกล่าวแม่โจว ให้แม่โจวรับทราบไว้แต่เนิ่นๆ
แม่โจวเผยสีหน้าตะลึงงัน จากนั้นจึงค่อยๆ คลายสีหน้าอ่อนลง นางจ้องมองนายหญิงสะใภ้รองอย่างเหลือเชื่อ เมื่อเห็นนายหญิงสะใภ้รองมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง จึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นมาเช่นกัน “น้องชายต่างมารดาสินะเจ้าคะ”