ตอนที่ 151 พ่ายแพ้ยับเยิน

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

“ฮ่า ๆ ๆ” เสียงหัวเราะอันรื่นรมย์ดังออกมา ขณะที่แสงสีทองห่อหุ้มร่างซวนหยวนชิงอวิ๋น

มู่เฉียนซีหลบไปด้านข้าง นางนึกย้อนถึงการสนทนาระหว่างซวนหยวนชิงอวิ๋นและจักรพรรดิสงครามขวางอวิ๋น “จุดอ่อนรึ ? ผู้ที่ดูเฉยเมยดั่งชิงอวิ๋นก็มีจุดอ่อนกับเขาด้วยรึ ?”

ก่อนหน้านี้ มู่เฉียนซีไร้ซึ่งจุดอ่อน นางโดดเดี่ยวเดียวดาย เดินอยู่ในโลกอันมืดมิด  การจะช่วยชีวิตใครหรือฆ่าใครนั้น เป็นเพียงความคิดชั่ววูบ ไม่มีเรื่องใดสามารถผูกมัดได้ มาถึงตอนนี้ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านางมีจุดอ่อนจุดหนึ่ง จุดอ่อนนั้นคือญาติพี่น้องและผองเพื่อนของนาง

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น นางไม่เพียงไม่รู้สึกถึงความกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขสงบ กลับยิ่งมีพลังและความมั่นใจเพิ่มขึ้น

จักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋นกล่าวถูกต้อง “แม้คนเราจะมีจุดอ่อน แต่ขอแค่รู้ว่าในใจตนต้องการในสิ่งใดก็เพียงพอ หากรู้ใจตนเองจะสามารถไปได้ไกลกว่าเดิม แสงสีทองกระจายออกไป ซวนหยวนชิงอวิ๋นผู้เฉยเมย เวลานี้มีกระบี่คมกริบเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา  ความแข็งแกร่งผู้บำเพ็ญภูตระดับสามของเขา  เพิ่มขึ้นกลายเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับเก้า

มู่เฉียนซี “ชิงอวิ๋น ดูเหมือนว่าตำแหน่งอัจฉริยะอันดับหนึ่งของแคว้นจื่อเยี่ย ข้าคงต้องส่งมอบให้เจ้าแล้ว”

ซวนหยวนชิงอวิ๋นยิ้มจาง ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ต่อให้ข้ามีโอกาส ข้าก็จะยอมแพ้ให้เจ้าเหมือนเดิม  เฉียนซี เจ้าไม่มีโอกาสพ่ายแพ้แก่ข้าหรอก” มู่เฉียนซีเบะปาก นางกล่าวว่า “ถ้าเจ้าไม่อยากสู้ก็ไม่ต้องสู้  เจ้าคงจะไม่เอาข้ออ้างที่ว่าข้าเป็นคู่หมั้นองค์ชายเก้าซวนหยวนจิ่วเยี่ยมาอ้างอีกกระมัง”

ซวนหยวนชิงอวิ๋นส่ายศีรษะ “ไม่ ข้าเพียงแค่ไม่เคยคิดอยากเป็นศัตรูกับเจ้า”

มู่เฉียนซียิ้ม “ชิงอวิ๋น ตอนนี้เจ้าเป็นทายาทของจักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋นผู้ที่จะได้เป็นจักรพรรดิวิญญาณในอนาคต เจ้าไม่ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับข้า  ข้ามู่เฉียนซีเองก็เช่นกัน แต่ราชวงศ์ซวนหยวนของเจ้า…”

เป็นที่รู้กันดีว่าซวนหยวนจือเป็นผู้มีความทะเยอทะยาน การที่เขาละโมบโลภในสมบัติของตระกูลมู่ ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงวันสองวัน  แม้ว่าท่านอาเล็กของนางนั้นจะคอยกดดันเขาไว้ ทำให้เขาไม่กล้าลงมือชั่วคราว แต่นางกล้ารับประกันเลยว่า… เมื่อใดที่ซวนหยวนจือได้เปรียบ เขาจะลงไม้ลงมือกับตระกูลมู่แน่นอน นอกจากนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าซวนหยวนจิ่วเยี่ยมิใช่คนของราชวงศ์ แต่ซวนหยวนชิงอวิ๋น เขา… เกรงว่าเขานั้นคงจะใช่

ซวนหยวนชิงอวิ๋นยิ้ม ดวงตาของเขาเป็นประกายราวกับน้ำใส

“แม้ว่าเราจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่มู่เฉียนซี เจ้าคงรู้จักข้าอยู่บ้าง ทั้งราชวศ์ซวนหยวน ข้าสนใจเพียงคนเดียวคือน้องชายของข้า จิ่วเยี่ย ทั้งราชวงศ์จะเป็นอย่างไรนั้น ข้ามิสนใจมาแต่ไหนแต่ไร” “ข้าอดทนมาสิบกว่าปีเพื่อจะได้มีพลังเพียงพอที่จะยืนอยู่ตรงหน้าชายผู้นั้น ต้องการจะให้เขาบอกแก่ข้าว่าสรุปแล้วจิ่วเยี่ยยังอยู่หรือตายจากไปแล้ว ?”

ซวนหยวนชิงอวิ๋นยิ้มขมขื่น “อา… แม้ข้าจะพยายามมาหลายปีก็ยังทําไม่ได้ ชายคนนั้นทั้งแข็งแกร่ง ทั้งน่ากลัว”

ผู้ที่ดูสงบนิ่งเรียบง่ายอย่างอวิ๋นอ๋อง เขามีความปรารถนาที่ง่าย ๆ เพียงเท่านี้เองหรือ ?

มู่เฉียนซี “ชิงอวิ๋น มันอาจไม่ได้แย่อย่างที่เจ้าคิด เผาทั้งวังวินาศวอดวาย อนุชาของเจ้า จิ่วเยี่ย อาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้”

ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าวเสียงต่ำทุ้ม “เพลิงที่ลุกมหาศาลเช่นนั้น เผาวังมอดทั้งวัง โอกาสที่น้องเก้าจะรอดมาได้มีน้อยมาก”

มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว กล่าวขึ้น “ข้าว่าจิ่วเจี่ยต้องไปล่วงรู้อะไรเข้าสักอย่าง”

ซวนหยวนชิงอวิ๋นขมวดคิ้วมุ่นไม่ต่างจากนาง “อืม ชายผู้นั้นเป็นคนเลือดเย็น เฉียนซี เจ้าจงอย่าได้เข้าไปอยู่ใกล้เขา เขาอันตรายมาก แล้วเรื่องที่เขาไม่อยากจะกล่าวถึง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่มีทางพูดมันออกมา” มู่เฉียนซี “ไม่ต้องกังวล ตอนนี้เขาป่วย อยู่ในความดูแลของข้า เขาไม่ทำร้ายข้าหรอก”

ซวนหยวนชิงอวิ๋นประหลาดใจ “ป่วยและอยู่ในความดูแลของเจ้ารึ ?”

“สถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน เอาเป็นว่าเวลานี้พวกเราคิดหาวิธีออกจากที่นี่กันก่อนเถอะ ?” มู่เฉียนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม นางรู้ดีว่าซวนหยวนชิงอวิ๋นเป็นคนรอบคอบถี่ถ้วน จึงยังไม่อยากจะสนทนาเรื่องจิ่วเยี่ยกับเขาต่อ

“ข้าเป็นผู้ได้รับมรดกของจักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋น ข้ารู้ว่าสุสานนี้มีทางออกอยู่ทางซ้ายของห้องโถงใหญ่นี้”

บัดนี้อวิ๋นอ๋องกลายเป็นเจ้าของสุสานแล้ว เขาโบกมือเปิดประตูมืดนั้นออกอย่างง่ายดายเพื่อเปิดทางให้เขาและนางเดินออกไป

“ซีเอ๋อร์ ในที่สุดพวกเจ้าก็กลับมา” มู่หรูเหยียนรีบกล่าวเมื่อเห็นพวกเขากลับมา ใบหน้านางเผยรอยยิ้มปีติยินดี

ทว่าซวนหยวนหลี่เทียนกลับกล่าวน้ำเสียงเย็นชา “มู่เฉียนซี เจ้าเข้าไปนานเช่นนั้น เจตนาจะให้อวิ๋นเอ๋อร์ตายหรืออย่างไร ?”

ใบหน้ามู่หรูเหยียนราวกับมีไฟแผดเผาขึ้นมาในทันใด เริ่มมีลมหายใจปล่อยออกมามากกว่าหายใจเข้า

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไม่แยแสสิ่งใด “พวกเราออกไปจากที่นี่กันดีกว่า”

บรรดาอาจารย์และเหล่าอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาทั้งแปด กำลังรอให้พวกเขาออกมาอยู่ที่ด้านนอก  อาจารย์ใหญ่เวินกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ดีมาก พวกเจ้านักเรียนจากสำนักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ย สามารถอดทนถึงตอนนี้ได้ ไม่เลวเลย แม้จะใช้วิธีการที่ไม่เป็นที่นิยมก็ตาม แต่พวกเจ้าคู่ควรแก่การยกย่องชื่นชม”

สองสำนักศึกษาที่ถูกพวกเขาใช้กลอุบายเข้าลอบโจมตี ถลึงตามองพวกมู่เฉียนซีอย่างโกรธเกรี้ยว

มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวขึ้น “อาจารย์ใหญ่เวิน ท่านเข้าใจผิดแล้ว พวกเราไม่ได้ออกมาเพราะโดนยึดป้ายหยกไปจึงต้องออกมา แต่พวกเราออกมาเพราะได้ชัยชนะครั้งใหญ่แล้วจึงออกมาต่างหาก”

— ฟึ่บ! —

กองป้ายหยกถูกหยิบออกมากองโดยมู่เฉียนซี

“นี่อย่างไรล่ะป้ายหยก ทั้งหมดมีแปดสิบป้าย อาจารย์ใหญ่ทุกท่านโปรดนับดูว่ามีขาดตกไปหรือไม่ ?”

เหล่าอาจารย์ใหญ่ตะลึงลาน หนึ่งในอาจารย์ใหญ่กล่าว “ทั้งหมดแปดสิบแผ่นป้าย! นั่นหมายความว่าสำนักศึกษาทั้งเจ็ดแห่งแคว้นชิงของเราพ่ายแพ้ยับเยิน นั่น… นั่นเป็นไปได้อย่างไร ?”

“ใช่ เหลือเชื่อมาก”

มู่เฉียนซีกล่าวเชิงหยอกล้อ “เหตุผลที่พวกเราสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย ก็ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากสำนักศึกษาแคว้นชิง ส่วนเรื่องรายละเอียดนั้น พวกท่านสามารถสอบถามเอากับอาจารย์ใหญ่เวินได้เลย  อ้อ สภาพของนักเรียนที่อยู่บนเกาะฝึกประสบการณ์ไม่สู้ดีนัก ขอให้อาจารย์ใหญ่ทุกท่านเร่งส่งคนเข้าไปช่วยเหลือให้ทันเวลาเถิด”

ใบหน้าของพวกเขาเหล่าอาจารย์ ประหนึ่งมีเพลิงลุกโชติช่วงดั่งงูที่โดนย่างบนเพลิงไฟ

“เป็นผึ้งปีศาจ มันเป็นเพราะผึ้งปีศาจ”

“รีบไปช่วยเร็ว! การถูกผึ้งร้ายนั่นต่อยเอาจะทำให้ผู้โดนต่อยทรมานจนตาย” การแข่งขันแบบกลุ่มจบลงด้วยการที่สำนักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ยได้อันดับหนึ่ง ทุกสํานักต่างคิดหาวิธีล้างพิษให้กับนักเรียนของพวกเขากันจ้าละหวั่น

สำหรับมู่หรูอวิ๋นนั้นยังอาการแย่อยู่  ซวนหยวนหลี่เทียนจึงออกไปตามหายาในที่ต่าง ๆ  แต่ก็น่าเศร้า พวกนักปรุงยาที่เขาไปสอบถาม ล้วนตอบกลับมาว่านางโดนพิษไปเยอะมาก ไม่อาจที่จะทำอะไรเพื่อการช่วยเหลือได้

ด้วยความจนปัญญา เขาจึงต้องไปที่หอหมอปีศาจ สุดท้ายถูกทางหอหมอปีศาจปฏิเสธ

มู่หรูอวิ๋นกล่าวด้วยเสียงหอบเหนื่อย “ท่านพี่หลี่เทียน ข้าใกล้ตายแล้วใช่หรือไม่ ? มู่เฉียนซีผู้นำตระกูลร้ายกาจนั่น ต้องการฆ่าข้าให้ตาย แม้ว่าข้าอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักหน่อยก็คงจะไม่ได้  อา… ข้ามู่หรูอวิ๋นได้ตายในอ้อมอกของท่านพี่หลี่เทียนก็พอใจแล้ว”

นางจับมือซวนหยวนหลี่เทียนไว้แน่น กล่าวต่ออีกว่า “ท่านพี่หลี่เทียน ท่านต้องสัญญากับอวิ๋นเอ๋อร์นะว่าอย่าไปแก้แค้นมู่เฉียนซี เป็นข้าเองที่ไม่ดี นางจึงไม่ยอมช่วยแม้ข้าจะต้องตาย”

ดวงตาซวนหยวนหลี่เทียนลุกเป็นไฟ “ไม่! หรูอวิ๋นเจ้าอย่าเพิ่งจากข้าไป  ข้าจะไปหามู่เฉียนซี  ดีร้ายอย่างไรเจ้าก็เป็นคนตระกูลมู่ ปู่ของเจ้าลงทั้งแรงกายแรงใจเพื่อรับใช้ตระกูลมู่อย่างเต็มที่ นางจะมาเห็นเรื่องเป็นเรื่องตายเป็นเรื่องเล่น ๆ แล้วเอาแต่ใจไม่ช่วยเจ้าได้อย่างไร ?!”

ในตอนที่ซวนหยวนหลี่เทียนกำลังจะพุ่งตัวออกไปนั้น ชายในชุดคลุมยาวสีทองเดินเข้ามา

.