ตามนิสัยของอาจารย์ปู่ หากเขาโกรธขึ้นมาแม้แต่ลูกศิษย์ยังตี แต่กับอวี๋ซียังเป็นปีศาจ เขากลับใช้วิธีที่เปลืองแรง และต้องใช้ระยะเวลากว่าหมื่นปีในการกำจัดพลังปีศาจของอวี๋ซี ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมือนฝีมือของเขา
“ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น”
เยี่ยยวนดึงมือของอวิ๋นเจี่ยวเข้ามาด้วยความเคยชิน ในขณะที่เขากำลังจะดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป คิ้วของเขาขมวดขึ้น “อยากรู้ก็เข้ามาฟังเอง” พูดจบเขาก็สะบัดมือผ่านข้างตัวของอวิ๋นเจี่ยว
นาทีถัดมาได้ยินเพียงเสียงดังปัง มีอะไรบางอย่างกระเด้งออกจากตัวของอวิ๋นเจี่ยว ร่างสีขาวกระแทกลงบนพื้น
อวิ๋นเจี่ยวหันกลับไปมอง “อาจารย์อาตี๋!”
“เฮอะๆๆ …” ร่างนั้นหัวเราะแห้ง อีกฝ่ายคือตี๋ไฮ่ที่เพิ่งแยกย้ายกันไปไม่นานนี้ เขารีบคลานขึ้นมา ก่อนจะคุกเข่าไปทางเยี่ยยวน “อาจารย์”
อวิ๋นเจี่ยว “…” ไหนบอกว่าไม่กลับมา แต่ใช้จิตเกาะมากับตัวนางคืออะไรกัน
เยี่ยยวนสีหน้าเย็นลง “หลายปีมานี้เจ้าพัฒนาขึ้น?” บังอาจใช้จิตเกาะบนตัวของศิษย์หลาน!
“เข้าใจผิด อาจารย์!” ตี๋ไฮ่ตัวสั่น ก่อนจะอธิบาย “อาจารย์ท่านปิดผนึกการรับรู้ชิงหยางของลูกศิษย์ ถึงข้าอยากจะกลับมาก็กลับไม่ได้” ตอนนั้นเขาเคยคิดจะตามศิษย์หลานกลับชิงหยางทางข่ายพลังขนส่ง ทั้งที่เป็นข่ายพลังอันเดียวกัน แต่เขากลับไม่สามารถมาถึงชิงหยางได้ เขาจนปัญญาจึงใช้วิธีการนี้
สีหน้าของเยี่ยยวนยิ่งเย็นชาลง ในขณะที่กำลังจะลงมือนั้นก็ถูกอวิ๋นเจี่ยวรั้งเอาไว้ก่อน “อาจารย์ปู่ไม่ต้องรีบ ท่านพูดต่อ ตอนนั้นแท่นผนึกปีศาจเกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องใช้คาถาชำระล้างปีศาจ”
เขาวางมือลง ก่อนจะถลึงตาใส่ลูกศิษย์โง่เขลาของตน “นางเป็นคนขอ!”
“ฮะ?” ตี๋ไฮ่ผงะ หมายความว่าอย่างไร
“ตอนนั้น ข้าสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของพลังปีศาจ ข้าจึงเดินทางไปดู” เยี่ยยวนขมวดคิ้วราวกับนึกถึงเรื่องรำคาญใจบางอย่าง “นางถูกพลังปีศาจกลืนกิน ในขณะที่กำลังจะกลายเป็นปีศาจ นางกลับบอกว่าไม่อยากกลายเป็นปีศาจ ให้ข้าช่วยลูกในท้องของนาง”
“หมายความว่า อวี๋ซีนาง...นางไม่รู้ว่าตนเองเป็นกึ่งปีศาจ?” สีหน้าของตี๋ไฮ่เต็มไปด้วยความตกตะลึง
“อืม” เยี่ยยวนพยักหน้า แต่คิ้วของเขากลับขมวดแน่นขึ้น “ข้าทำตามที่นางขอ แต่…” สีหน้าของเขาปะทุความโกรธขึ้นมา “ตอนที่ข้าปรากฏกายท่องคาถา นางกลับบอกว่าจะเปลี่ยนมาแต่งงานกับข้า! ฮึ!” เขาหันไปมองอวิ๋นเจี่ยว ทั้งที่เป็นน้ำเสียงเดียวกัน แต่นางกลับรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่ฟ้องนางในนั้น
อวิ๋นเจี่ยว “…”
ตี๋ไฮ่ “…”
มองไปยังใบหน้าที่งดงามของเขา เหตุการณ์เช่นนี้ก็อยู่ในการคาดการณ์
“ดังนั้น…” ตี๋ไฮ่พูดขึ้น “วันนั้นอาจารย์จึงชำระล้างเหล่าปีศาจในแท่นผนึกปีศาจทั้งหมด เหลือไว้เพียงอวี๋ซี”
“…” เยี่ยยวนไม่ตอบ
ตี๋ไฮ่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนั้นแล้ว “เหตุใดอาจารย์ถึงไม่ได้พูดเรื่องนี้”
“เหตุใดข้าต้องพูด” พวกเจ้าไม่ได้ถามข้า พวกเจ้าไม่ใช่ศิษย์หลานเสียหน่อย
ตี๋ไฮ่ “…” เถียงไม่ได้
ตอนนั้น เขาเห็นตอนที่อวี๋ซีกลายเป็นปีศาจไปแล้ว นางได้รับผลกระทบจากพลังปีศาจ พร้อมทั้งยอมรับว่าตนเองปลอมตัวเข้ามาในชิงหยางเพื่อสร้างปีศาจ นางอาศัยช่วงที่เขากำลังสับสนลักพาตัวอาจารย์ไป ดังนั้นเขาจึงไม่เคยสงสัยเรื่องนี้มาก่อน อีกทั้งหลายปีนี้เขายังโทษตัวเองที่เป็นสาเหตุทำให้ศิษย์พี่น้องบาดเจ็บ อีกทั้งยังทำให้อาจารย์เดือดร้อน
ไม่คิดว่าความจริงจะเป็นเช่นนี้ เสี่ยวซีจริงใจต่อเขา ไม่เคยหลอกเขา! นอกจากถูกความงามของอาจารย์หลอก แต่เมื่อนึกถึงพี่สะใภ้เก่าของเหล่าศิษย์พี่ แต่ละคนล้วนถูกอาจารย์เสกคาถาลืมเลือนอาจารย์ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเป็นธรรมขึ้นมา
“ในเมื่อรู้แล้ว…” มองดูลูกศิษย์ที่กำลังยิ้มเหมือนคนบ้า ความรังเกียจบนใบหน้าของเยี่ยยวนยิ่งเพิ่มมากขึ้น เขาสะบัดมือหนึ่งที “เจ้าไปได้แล้ว!”
“เดี๋ยว อา…” ตี๋ไฮ่คิดจะพูดบางอย่างต่อ แต่นาทีถัดมาร่างของเขาก็หายไปจากที่เดิม
ในหุบเขาเว่ยหยวนที่ห่างออกไปพันลี้ ร่างที่นั่งอยู่บนเตียงล้มลงไปทางด้านหลังเสียงดัง ส่งผลให้เตียงบุบเข้าไปส่วนหนึ่ง สักพักเขาถึงได้ลุกขึ้นมานวดหน้าอกที่ราวกับจะระเบิดออก พร้อมกับถอนหายใจยาว เฮ้อ อาจารย์ลงมือไม่ไว้หน้าเหมือนเดิม!
จนกระทั่งลูกศิษย์โง่จากไป เยี่ยยวนถึงได้กอดคนตรงหน้าอย่างสบายใจ “เจี่ยวเจี่ยว...”
อวิ๋นเจี่ยว “…”
เขากำลังอ้อน? ทำไมรู้สึกเหมือนเลี้ยงลูกมากกว่าการมีความรัก
นางถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ปล่อยให้อีกฝ่ายกอดตามอำเภอใจ สักพักถึงได้พูดขึ้น “อาจารย์ปู่ไม่อยากให้อาจารย์อาตี๋ลำบากใจจึงช่วยเหลืออวี๋ซีแม่ลูกใช่หรือไม่”
ไม่ใช่ช่วยอวี๋ซี แต่เป็นเด็กคนนั้น
อวี๋ซีกลายเป็นปีศาจ ถึงแม้ลูกในท้องจะกำเนิดออกมาได้ แต่ก็ดูดซับพลังปีศาจบนตัวของนางตลอด หลังกำเนิดออกมาก็ย่อมเป็นปีศาจ อาจารย์ปู่ไม่อยากเห็นตี๋ไฮ่และลูกต้องเป็นศัตรูกันในอนาคต ดังนั้นจึงยับยั้งการเติบโตของเด็กเอาไว้ จากนั้นใช้คาถาชำระล้างปีศาจกำจัดพลังปีศาจบนตัวของอวี๋ซีทีละน้อย จนกระทั่งนางกลับมาเป็นคน เช่นนี้เด็กที่กำเนิดออกมาอย่างมากก็เป็นแค่กึ่งปีศาจ ไม่ใช่ปีศาจที่ไร้สติ
มือของเยี่ยยวนที่กอดนางเอาไว้กระชับแน่นขึ้น ไม่ได้ปฏิเสธ สักพักถึงได้พูดออกมา “พวกเขาไม่มีใครทำให้ข้าสบายใจได้ สู้ไป๋อวี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ” อย่างน้อยมีศิษย์หลานอยู่ อีกฝ่ายไม่แสดงความโง่เขลาต่อหน้าเขา
“…” แต่ท่านยังแย่งของกินกับเขาทุกวัน
“ไม่มีใครดีเท่าเจ้า” เขาพูดเสริม ก่อนจะถูไถแก้มของนางอย่างพึงพอใจ สักพักถึงได้พูดขึ้น “เจี่ยวเจี่ยว...”
“อืม?” เปลี่ยนคำเรียกตั้งแต่เมื่อไหร่
“ข้าเตรียมพร้อมแล้ว”
“ฮะ?” เตรียมพร้อมอะไร
“เจ้าหวานหวานข้าได้แล้ว”
“…ไปให้พ้น!”
…
อวิ๋นเจี่ยวพึงพอใจกับการรับลูกศิษย์รอบสองของโรงเรียนเสวียนเหมินอย่างยิ่ง ลูกศิษย์ทั้งหมดมีการพัฒนาอย่างมาก แน่นอนว่าไม่ใช่เป็นเพราะผลจากการที่เหล่าเจ้าสำนักออกข้อสอบหลังเข้ากลุ่มส่งสาร
อวิ๋นเจี่ยวเคยเข้าไปในกลุ่มส่งสารอย่างเงียบๆ ตอนนี้ด้านในไม่มีการถกเถียงเรื่องของอาจารย์อวิ๋น แล้วแม้แต่น้อย ล้วนมีเพียงการถกเถียงเรื่องการบ้าน คำตอบของการบ้าน และคะแนนของการบ้าน
อืม…บรรยากาศการเรียนเพิ่มมากขึ้นแล้ว!
อาจเป็นเพราะกลุ่มส่งสารในครั้งนี้ อวิ๋นเจี่ยวได้พัฒนากลุ่มส่งสารร่วมกับผู้อาวุโสในสำนักเทียนซือ ผนวกเข้ากับการปลอมอาวุธ สร้างออกมาเป็นเครื่องมือการสื่อสารที่ประกอบไปด้วยหลากหลายประโยชน์ นอกจากสามารถส่งสารได้ตลอดเวลาแล้ว นางยังเพิ่มการบันทึกเสียง การย้อนกลับ การจับตำแหน่ง การบันทึกภาพ รวมไปถึงการแสดงตัวหนังสือออกมา มุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้เทียบเท่ากับโทรศัพท์มือถือในโลกของตน แน่นอนว่าทั้งหมดต้องใช้ชื่อของตนเอง! เช่นนี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะให้การบ้านผิดคน
ตอนแรกมีเหล่าลูกศิษย์บางส่วนไม่ยอมเปลี่ยนแปลง แต่หลังจากที่พบว่าอุปกรณ์ส่งสารแบบใหม่สามารถส่งเสียงได้โดยตรง อีกทั้งยังสามารถส่งการบ้าน คาถารวมไปถึงภาพการสอนระยะไกลแล้ว พวกเขาก็ยอมรับกลุ่มส่งสารสองจุดศูนย์อย่างรวดเร็ว
สำนักเทียนซือตั้งชื่อให้มันว่า กระจกบันทึกภาพพันลี้แห่งเสวียนเหมิน หรือ กระจกพันลี้
ระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน เหล่าลูกศิษย์เสวียนเหมินต่างครอบครองคนละบานแล้ว เจ้าสำนักสวีเสนอให้มีรุ่นย่อออกมา เพื่อให้เหล่าประชาชนทั่วไปสามารถเข้าใจเสวียนเหมินมากขึ้น อวิ๋นเจี่ยวมองดูส่วนแบ่งจากกระจกพันลี้ที่ทางสำนักเทียนซือส่งมา นางจึงตอบตกลง
โลกมนุษย์กำลังย่างก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการสื่อสาร การปิดกั้นวิชาทางเสวียนเหมินที่เคยเป็น…ไม่หลงเหลืออีกต่อไป!
╮(╯▽╰)╭