อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกสงสัยว่าอีกฝ่ายมีเรื่องอะไรถึงได้โทรหาเขาอย่างกะทันหันด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

หวังเหยียนคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจถามสถานะความสัมพันธ์ระหว่างอวี้ฮ่าวหรานและฟ่านซีเหยียนอีกรอบเพื่อยืนยันให้แน่ใจในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่

“น้องอวี้ คือฉันขอถามสักหน่อยจะได้ไหม…ฟ่านซีเหยียนเป็นภรรยาของนายจริง ๆ รึเปล่า?”

“หืม?”

อวี้ฮ่าวหรานงุนงงหนักกว่าเดิม เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ อีกฝ่ายถึงถามคำถามแบบนี้

“ไม่ใช่…ฟ่านซีเหยียนกับฉันแค่เคยเจอกันไม่กี่ครั้งเท่านั้น ส่วนข่าวที่ลงไปในสื่อต่าง ๆ เป็นเพียงข่าวที่ถูกกุขึ้นโดยนักข่าวคนหนึ่งซึ่งฉันสั่งสอนมันไปแล้ว”

เนื่องจากเขารู้สึกชอบใจหวังเหยียนอยู่ไม่น้อยดังนั้นเขาจึงตอบกลับพร้อมอธิบายออกไป

“เฮ้อ…ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย”

หวังเหยียนถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินคำตอบนี้ ในเมื่อฟ่านซีเหยียนไม่ใช่ภรรยาของอวี้ฮ่าวหราน ดังนั้นเรื่องนี้มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา

อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายทำตัวแปลกกว่าที่เคยดังนั้นเขาจึงถามกลับ

“ทำไม? มีอะไรเกิดขึ้นกับฟ่านซีเหยียน?”

จากที่เขารู้จักหวังเหยียน อีกฝ่ายคงไม่โทรมาหาเขาปุบปับแบบนี้แน่นอนหากไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

“คือแบบนี้น้องอวี้ เมื่อครู่นี้พวกฉันได้ข่าวมาว่าฟ่านซีเหยียนถูกจับตัวไปโดยคนของแก็งค์มังกรคราม แต่ในเมื่อเธอไม่ใช่ภรรยาของน้อง…”

“นายว่ายังไงนะ??”

อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วแน่นทันทีเมื่อได้ยินข่าวนี้

“เอ่อ…คือ…ฟ่านซีเหยียน ถูกแก็งค์มังกรครามลักพาตัวเมื่อชั่วโมงที่แล้ว…”

หวังเหยียนตอบคำถามอีกรอบแต่คราวนี้น้ำเสียงของเขางุนงง ด้วยไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงกลายเป็นโมโห?

ไม่ใช่ว่านายบอกเองว่าเจอกันไม่กี่ครั้งไม่ใช่เหรอ?

แล้วไอ้อาการแบบนี้มันคืออะไร?

“นายแน่ใจ?”

อวี้ฮ่าวหรานถามย้ำอีกครั้งหลังจากปรับอารมณ์จนเย็นลง

“ฉันแน่ใจแน่นอน! ข่าวนี้ฉันได้รับมาจากสายของเราที่แฝงตัวอยู่ในแก็งมังกรคราม และยิ่งไปกว่านั้น…วันนี้พวกแก็งค์มังกรครามเรียกระดมพลครั้งใหญ่อีกต่างหาก ดูเหมือนว่าวันนี้พวกมันจะต้องมีแผนอะไรสักอย่าง”

หวังเหยียนตอบกลับอย่างรวดเร็ว เขาสัมผัสได้ว่าอวี้ฮ่าวหรานจริงจังกับเรื่องนี้มาก

“บอกมาว่าพวกมันรวมตัวกันที่ไหน?!”

อวี้ฮ่าวหรานถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา

โชคดีที่ในเวลานี้ในออฟฟิศของเขาไม่มีใครอยู่ ไม่อย่างนั้นคนที่อยู่ด้วยคงตัวสั่นจากความกลัวกลิ่นอายสังหารที่แผ่ออกมาจากอวี้ฮ่าวหราน!

หวังเหยียนเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เย็นชาของอวี้ฮ่าวหราน เขาก็รีบบอกสถานที่ ๆ แก็งค์มังกรครามระดมพลกันทันที เขาพอจะเดาได้ว่าวันนี้แก็งค์มังกรครามเดือดร้อนหนักแน่…

“บาร์จินหยวน? ฮึ่ม! ได้!”

หลังจากรู้สถานที่ อวี้ฮ่าวหรานรีบวางสายอย่างรวดเร็ว

วันนี้เขาต้องให้แก็งค์มังกรครามชดใช้ด้วยเลือด!

แก็งค์มังกรครามสร้างความรำคาญให้เขาหลายรอบแล้ว แต่เขาไม่ได้คิดจะจัดการกวาดล้างให้เด็ดขาดเพราะว่าอวี้ฮ่าวหรานต้องการให้หยวนหลงเป็นเหมือนหินลับมีดให้ตน และไปสรรหาพวกของวิเศษมาจัดการกับเขา เพื่อที่เขาจะได้ยึดพวกมันมาเหมือนกับที่ยึดสร้อยมาจากคงเหอโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปตามหาพวกมันเอง

อย่างไรก็ตาม การที่คนพวกนี้มายุ่มย่ามกับคนรู้จักของเขามันเป็นการล้ำเส้นกันเกินไป!

แค่เพียงไม่นานหลังจากข่าวฉาวระหว่างเขาและฟ่านซีเหยียนถูกเผยแพร่ คนพวกนี้ก็ลักพาตัวคนที่พวกมันคิดว่าเป็นภรรยาของเขาซะแล้ว…

ไอ้พวกนี้มันรนหาที่ตาย!

พวกมันคิดว่าจะสามารถจับตัวภรรยาของเขาไปได้งั้นเหรอ!

หลังจากวางสายโทรศัพท์ไป อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถออกจากบริษัทและขับตาม GPS ไปยังบาร์จินหยวนทันที

ที่อีกด้านหนึ่ง หวังเหยียนมองที่โทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาเรียกลูกน้องของเขาให้ตามไปที่บาร์จินหยวนเช่นกัน

ไม่ว่ายังไง อวี้ฮ่าวหรานนับได้ว่าเป็นผู้มีพระคุณของแก็งค์พยัคฆ์เวหา ดังนั้นเขาจะยอมให้อีกฝ่ายไปที่นั่นคนเดียวได้อย่างไร?

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง…

ที่หน้าทางเข้าบาร์จินหยวน ขณะนี้เป็นเวลา 6 โมงเย็นแต่ที่หน้าทางเข้ากลับมีป้ายปิดร้านแขวนอยู่และยิ่งไปกว่านั้นยังมีชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ 8 คนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าขึงขัง

“เฮ้ย! นี่แกเป็นใครกันวะ? ใครอนุญาตให้แกเอารถมาจอดที่หน้าร้านของเราแบบนี้?”

เมื่อเห็นอวี้ฮ่าวหรานขับรถมาจอดหน้าร้านและลงจากรถ ชายฉกรรจ์หัวล้านร่างใหญ่คนหนึ่งจึงตะโกนข่มขู่ทันที

อวี้ฮ่าวหรานมองไปยังพวกชายฉกรรจ์ทั้งหลายที่น่าจะเป็นลิ่วล้อของพวกแก็งมังกรครามด้วยสายตาเย็นชา…

เขาไม่สนใจว่าพวกอีกฝ่ายจะพูดอะไร เขาเดินตรงปรี่เขาไปหากลุ่มตรงข้ามทันที

“เฮ้ย! นี่แกหูหนวกรึไงวะ? แกไม่ได้ยินที่ฉันบอกรึไง ไสหัวไปซะไม่งั้นแกได้เจ็บตัวแน่!”

ชายฉกรรจ์หัวล้านตะโกนขึ้นอีกรอบด้วยสีหน้าขึงขัง แต่คราวนี้เขาหยิบไม้เบสบอลเหล็กที่วางอยู่หน้าประตูขึ้นมาด้วยและเดินเข้าไปหาอวี้ฮ่าวหรานเพื่อข่มขู่

อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้มาที่นี่เพื่อเจรจาให้มากความอยู่แล้ว เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ เขาพลันถีบเข้าไปที่กลางลำตัวของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงทันที

“โครม!!”

“เพล้ง!!”

ด้วยความรุนแรงของลูกถีบ ชายฉกรรจ์หัวล้านตัวลอยละลิ่วถอยไปทะลุประตูกระจกของบาร์จินหยวนจนแตกละเอียด!

ความรุนแรงของลูกถีบนี้ทำให้พวกนักเลงที่เหลือถึงกับตะลึงงัน!

“น…นี่มันบ้าอะไรวะ?!”

“พี่เฟย…พี่เฟยโดนถีบจนตัวลอยแบบนั้นได้ยังไง?”

พวกนักเลงทุกคนต่างทำหน้าทำตาสยดสยอง ต้องรู้ว่าชายฉกรรจ์หัวล้านร่างใหญ่มีน้ำหนักตัวไม่ต่ำกว่า 100 กิโลกรัม แต่อีกฝ่ายที่ตัวเล็กกว่ามากกลับถีบจนร่างกระเด็นไกลถึง 4-5 เมตรได้แบบสบายๆ!

อวี้ฮ่าวหรานกวาดสายตามองพวกนักเลงที่เหลือด้วยแววตาเย็นชาก่อนที่จะตะคอกใส่ “ไสหัวไปให้พ้นหน้าฉันถ้าไม่อยากตาย!”

“ส…สัตว์ประหลาดชัด ๆ เลย!”

“ว๊ากกก…ฉันไม่เอาแล้วโว้ย! ฉันไปก่อนล่ะ!”

“ผ…ผมจะไปเดี๋ยวนี้!”

เมื่อรู้ตัวว่าพวกตัวเองไม่ใช่คู่ต่อกรกับคนที่มีพละกำลังเหนือมนุษญ์อย่างอวี้ฮ่าวหรานแน่นอน พวกนักเลงที่เฝ้าหน้าประตูที่เหลือจึงต่างวิ่งแยกย้ายหนีตายกันอย่างจ้าละหวั่น

“บ้าเอ๊ย! เสียงเอะอะโวยวายอะไรกันนักหนาวะ?”

พวกนักเลงที่อยู่ด้านในบาร์เดินออกมาดูด้วยสีหน้าสงสัย

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเห็นภาพของชายฉกรรจ์หัวล้านนอนแน่นิ่งหายใจรวยรินพร้อมกับมีเศษกระจกบาดทั่วร่าง พวกเขาก็อึ้งไปตาม ๆ กัน

เกิดอะไรขึ้น…พี่เฟยโดนรถชนแล้วกระเด็นมาตรงนี้รึไง?!

แต่แล้วในขณะที่พวกนักเลงด้านในกำลังสงสัย อวี้ฮ่าวหรานก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาในบาร์ด้วยสีหน้าเย็นชา

“แกเป็นใครกันวะ?”

หนึ่งในพวกนักเลงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง

จู่ ๆ ไอ้หนุ่มนี่เดินเข้ามาที่นี่ทำไม?

อวี้ฮ่าวหรานยิ้มอย่างเย็นชาเมื่อได้ยินคำถามของนักเลงแก็งค์มังกรคราม จากนั้นเขาเตะไปที่หัวของชายฉกรรจ์หัวล้านจนร่างกระเด็นออกไปพ้นทาง ซึ่งแน่นอนว่าจากความรุนแรงของแรงเตะ ชายฉกรรจ์หัวล้านคอหักตายทันที!

“ฉันคือคนที่กำลังจะเอาชีวิตพวกแกในวันนี้!”

อวี้ฮ่าวหรานค่อย ๆ เดินเข้าหากลุ่มนักเลงด้วยสีหน้าเย็นชา สีหน้าของเขาไม่ได้ดูรู้สึกอะไรเลยกับการเพิ่งฆ่าคนตายไปหมาดๆ!

พวกนักเลงสิบว่าคนที่เห็นภาพเช่นนี้ต่างขนลุกไปทั่วทั้งร่าง พวกเขาต่างรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้น่ากลัว!