ภาคที่ 2 บทที่ 241 ทำลาย

มู่หนานจือ

“นั่นเป็นเพราะข้าชอบปลอบเจ้านี่นา!” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาตรงหางตาให้นาง และเอ่ยเสียงเบาอีกครั้งว่า “เป่าหนิง ต่อไปเจ้าอย่าร้องไห้ส่งเดชเลย พอเจ้าร้องไห้ ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจ และเจ้าก็อย่าเดามั่วซั่วเช่นกัน เจ้าดูตัวเจ้าสิ ดีแค่ไหนกัน ธิดาขององค์หญิงต้าจั่ง คุณหนูใหญ่แห่งจวนเจิ้นกั๋วกง ท่านหญิงที่ได้รับเงินเดือนชินอ๋องสองเท่า…คนอื่นขอไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว แต่เจ้ากลับครอบครองครบทุกอย่างแล้ว เจ้ายังรู้สึกไม่ดีตรงไหนอีกหรือ?”

เจียงเซี่ยนอึ้งไป

นั่นสิ!

นางยังรู้สึกไม่ดีตรงไหนอีกหรือ?

ชาติก่อนนางยังเป็นฮองเฮามารดาของแคว้น ไทเฮาที่ว่าราชการหลังม่าน และกุมความเป็นความตายของเหล่าบุรุษในราชสำนักด้วย

ทว่านอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว นางยังเป็นอะไรอีก?

นางยังมีอะไรอีก?

ทันใดนั้นเจียงเซี่ยนก็เข้าใจที่ตนเองไม่สบายใจเวลาเผชิญหน้ากับหลี่เชียนตลอดเวลาที่ผ่านมาแล้ว

นอกจากรัศมีที่เพิ่มขึ้นบนตัวนางเหล่านี้แล้ว นางยังมีอะไรเป็นของตนเองอีก?

แต่หลี่เชียนกลับไม่เหมือนกัน

เขามาจากตระกูลรากหญ้า บิดาของเขาผลักดันเขามาถึงตำแหน่งแม่ทัพโหยวจีแห่งต้าถงก็ไม่มีกำลังที่จะช่วยเขาอีกแล้ว หลังจากนั้นเขาแบ่งแยกดินแดน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง ควบคุมตะวันตกเฉียงเหนือ ก็ล้วนเป็นความสามารถของตนเองทั้งนั้น ต่อให้เขาเคยหลอกให้นางดีใจ และช่วยเหลือเขา ทว่านั่นนางก็ยินดีทำเช่นกัน…

นางมีอะไรดี?

ถึงเข้าตาเขาได้!

นางพึมพำความสงสัยที่ก้นบึ้งของหัวใจออกมาโดยไม่รู้ตัว

หลี่เชียนตอบโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่า “เจ้าน่ารัก!”

น่ารักหรือ?!

เจียงเซี่ยนมองหลี่เชียนอย่างงุนงง

ชาติก่อนจ้าวอี้เคยด่าว่านางโหดเหี้ยม เฉาเซวียนเคยบอกว่านางเจ้าเล่ห์ เหล่าขุนนางเคยวิจารณ์ว่านางอำมหิต ท่านยายเคยชมว่านางเฉลียวฉลาด ท่านลุงใหญ่เคยชมว่านางรู้ความ ไป๋ซู่เคยสงสารที่นางเหงา…แต่ไม่มีใครเคยบอกว่านางน่ารักสักคน!

นางน่ารักหรือ?

“น่ารัก!” หลี่เชียนยิ้ม ในดวงตาเผยความทรงจำออกมาอย่างเบาบางโดยไม่รู้ตัว “เจ้ายืนมองข้าจากบนขั้นบันไดที่สูงมากอย่างเย่อหยิ่งและจองหองที่สุด แต่พอข้ามองไปทางอื่น เจ้าก็กระซิบกระซาบกับท่านหญิงชิงฮุ่ย แถมคุยไปก็ยังแอบมองข้าไปด้วย พอข้ามองเจ้าตรงๆ เจ้าก็เชิดหน้าขึ้น สายตาแน่วแน่และไม่มองข้าอีกแม้แต่นิดเดียว ตอนนั้นข้าก็อยากแกล้งให้เจ้ามองข้าอีกสักครั้ง…”

“เจ้าพูดจามั่วซั่ว! ข้าแอบมองเจ้าตอนไหนกัน?” เจียงเซี่ยนหน้าแดงเหมือนเมฆหลากสียามพระอาทิตย์ขึ้น

นางไม่ได้แอบมองเขาสักนิด…

ทว่าสีหน้าที่หนักแน่นของหลี่เชียน ก็ทำให้นางไม่ค่อยมั่นใจนัก

ช่างเถอะ! ต่อให้นางแอบมองเขา ก็เป็นเพราะนางฟื้นคืนชีพ แล้วจู่ๆ ก็เจอศัตรูในชาติก่อน จะไม่มองเขาสักครั้งได้อย่างไร

นางก้มหน้าและลู่ไหล่ลง เหมือนแมวน้อยที่เปียกฝนและเซื่องซึม

หลี่เชียนปวดใจมาก จึงรีบเอ่ยว่า “ตอนนั้นข้าก็คิดว่า ทำไมถึงมีผู้หญิงที่น่ารักขนาดนี้ แถมยังหน้าตาสวยขนาดนั้น…”

แกล้งหลอกนางอีกแล้ว

เจียงเซี่ยนเงยหน้าขึ้น และเอ่ยพลางถลึงตาว่า “ข้าสวยตอนไหน? เจ้าพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว!”

“ทำไมเจ้าถึงมักจะไม่เชื่อข้าล่ะ?” หลี่เชียนเอ่ยอย่างจนใจ พลางมองใบหน้าของเจียงเซี่ยนที่อยู่ใกล้เขามาก สายตาราวกับกลายเป็นมือที่มองไม่เห็น ลูบผ่านทีละอย่างจากแก้มที่ผิวเนียนนุ่มของนางถึงจมูกที่งดงามสูงโด่งและขนตาที่ยาวเป็นแพของนาง เสียงก็เปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำลงเช่นกัน และพึมพำข้างหูนางว่า “เป่าหนิง ครั้งแรกที่ข้าเจอเจ้าที่วังฉือหนิงก็คิดอยู่ว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน? ช่างขาวจริงๆ! เหมือนตุ๊กตาหิมะ นี่หากโดนแดดแล้ว ไม่รู้ว่าจะละลายหรือไม่? ดังนั้นมีครั้งหนึ่งข้าตั้งใจไปหาเจ้าตอนเที่ยงโดยเฉพาะ เจ้าแค่ยืนอยู่บนทางเดินและถูกแสงแดดสาดส่องเพียงครู่เดียว ผิวก็เปลี่ยนเป็นสีชมพู เหมือนดอกท้อในเดือนสาม ตอนนั้นข้าเสียดายมาก…แต่สิ่งที่สวยที่สุดคือจมูก สูงโด่ง งดงาม และตรง เผยให้เห็นความหยิ่งยโส ต่อให้ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ และยิ้มอย่างสุภาพเยือกเย็น ก็สามารถรู้สึกได้ถึงความทะนงตนในตัวเจ้าเช่นกัน แล้วยังผมของเจ้าที่ทั้งดำและตรง…”

เจียงเซี่ยนกระโดดออกมาและหนีหัวซุกหัวซุนเหมือนแมวน้อยที่ถูกเหยียบหาง

นางยอมแพ้!

หากหลี่เชียนหน้าด้านขึ้นมา เขากล้าบอกว่าเป็นที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าเป็นที่หนึ่ง

นางควรจะได้สติแบบนี้ตั้งนานแล้ว ทำไมยังพูดจาเหลวไหลไปกับเขาอีก

ความร้อนบนหน้าแผดเผาจนเจียงเซี่ยนสายตาพร่ามัว นางเกือบจะชนเสาที่ทาสีแดงเข้มข้างไผ่เหมาจู๋

หลี่เชียนชอบที่เจียงเซี่ยนดูเขินอายมาก

ลนลานเหมือนลูกแมวที่ตกใจ

ทว่าเขากลับไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว และยิ่งไม่กล้าไปรั้งนางไว้

เขากลัวว่านางจะพาลโกรธ จนทำหน้าขรึมต่อหน้าเขาตั้งแต่นี้ไป และไม่ยอมพูดคุยและหัวเราะกับเขาอีก

เจียงเซี่ยนวิ่งเข้าไปในทางเดินของโรงเตี๊ยม สายลมที่เย็นสบายของห้องโถงตรงประตูใหญ่ปะทะใบหน้าของนาง นางถึงรู้สึกตัวว่ายังไม่ได้ทำสิ่งที่ตนเองควรทำ นางอดที่จะหันกลับไปไม่ได้ และตะโกนใส่หลี่เชียนอย่างทั้งอายและโกรธว่า “เจ้าอย่าลืมบอกจินเซียว!”

“ข้ารู้แล้ว!” หลี่เชียนยิ้มพลางมองนาง ในดวงตาทอประกายระยิบระยับ ราวกับดาวทั้งท้องฟ้าสะท้อนกลับหัวอยู่ในนั้น

อบอุ่นและหล่อเหลา…

หน้าของเจียงเซี่ยนร้อนขึ้นมาอีกครั้ง

นางรีบเข้าไปในห้องส่วนตัวของตนเอง

พวกไป๋ซู่ต่างนั่งรอนางอยู่ข้างโต๊ะ พอเห็นนางวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าแดงก่ำเหมือนถูกแดดเผา ก็อดที่จะเอ่ยอย่างห่วงใยไม่ได้ว่า “เจอแม่ทัพหลี่หรือยัง? นี่เจ้าเป็นอะไรไป? ทำไมหน้าถึงแดงขนาดนี้? เป็นอะไรหรือเปล่า?” พูดไปก็ใช้มือแตะแก้มของเจียงเซี่ยน

ร้อนมาก!

ไป๋ซู่ร้อนใจเล็กน้อย จึงเอ่ยว่า “นี่เจ้าเป็นอะไรไป? ข้าไปเรียกหมอมาดูให้เจ้าหน่อยดีกว่า?”

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” เจียงเซี่ยนรีบเอ่ย หากเชิญหมอมาจริงๆ จะต้องทำให้คนหัวเราะแทบตาย นางกดไป๋ซู่ลงบนม้านั่ง และเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไร เมื่อครู่วิ่งมา รีบไปหน่อย” แล้วเปลี่ยนเรื่องเหมือนอยากปิดบังความจริง “เมื่อครู่ข้าเจอหลี่เชียนแล้ว ข้าบอกเรื่องราวทั้งหมดกับเขา และให้เขาไปจัดการเรื่องนี้แล้ว”

ท่าทางเหมือนตั้งแต่นี้ไปจะไม่ยุ่งอีกแล้ว

ฉีซวงรีบเอ่ยว่า “ทำได้หรือ?”

สงสัยในตัวหลี่เชียนมาก

“ทำไมจะไม่ได้!” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “เขาทำงานไว้ใจได้ที่สุดแล้ว”

ขอเพียงเป็นเรื่องที่รับปากนาง ก็ไม่เคยผิดคำพูด

แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ของพวกนางแย่ที่สุดก็ตาม

แน่นอนว่า นี่หมายความถึงเรื่องที่เขาเคยรับปากนาง เรื่องที่เขาไม่รับปากนางนั้น ต่อให้นางคิดทุกวิถีทาง เขาก็ไม่ทำอยู่ดี…

เจ้าคนสารเลวนี่!

เจียงเซี่ยนจิ้มผักกวางตุ้งในถ้วยอย่างแรง

ชาตินี้ต้องทำให้เขารับปากนางทุกเรื่องให้ได้!

นางนึกถึงภาพตอนที่เขากอดนางเมื่อครู่อย่างไม่สามารถอธิบายได้

ลมหายใจอันอบอุ่น เสียงที่ทุ้มต่ำ…แล้วยังความสุขที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ว่าเป็นความเข้าใจผิดตอนที่เขากอดนาง…ล้วนทำให้หัวใจของนางพองโต เหมือนอะไรบางอย่างฟูขึ้นที่อก ทำให้นางอึดอัดใจ ทว่ากลับรู้สึกมีความสุขและสบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เป็นเพราะนางรู้ว่าเขาชอบนางหรือ?

เจียงเซี่ยนแอบคิด แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างไม่รู้ว่าเป็นอะไร

ไป๋ซู่กับพี่น้องสกุลฉีมองนางอย่างตกใจ

เจียงเซี่ยนรีบเอ่ยอย่างระมัดระวังมากว่า “ไม่มีอะไร! ข้านึกถึงเรื่องหนึ่ง…”

เช่นนั้นสรุปว่ามีหรือไม่มีกันแน่เล่า?

พี่น้องสกุลฉีมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

แต่ไป๋ซู่กลับขมวดคิ้ว และเอ่ยว่า “เจ้ากินหมั่นโถวมังสวิรัติสักสองสามลูกเถอะ! เมื่อครู่ข้าให้หลิวตงเยว่ไปเฝ้าพวกเขาทำในห้องครัว ไว้กลับจวนแล้ว ค่อยให้คนครัวทำของอร่อยให้เจ้ากินสักหน่อย”

เจียงเซี่ยนพยักหน้าอย่างลวกๆ

ทว่าเมิ่งฟางหลิงกลับเม้มปากยิ้ม

เมื่อครู่ท่านหญิงพบแม่ทัพหลี่ จะต้องเกิดอะไรบางอย่างขึ้นอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นท่านหญิงคงจะไม่เดี๋ยวก็ทำหน้าเศร้า เดี๋ยวก็หัวเราะออกมา…เหมือนเด็กสาวที่มีคนรักแล้ว!