ภาคที่ 2 บทที่ 242 สงสัย

มู่หนานจือ

ในที่สุดเมิ่งฟางหลิงก็วางใจ หลังจากที่เป็นกังวลมาตลอดตั้งแต่รู้ว่าเจียงเซี่ยนจะแต่งงานกับหลี่เชียน

ดูเหมือนท่านหญิงจะชอบคนที่ชื่อหลี่เชียนนี้จริงๆ

ไทฮองไทเฮาพยายามจับคู่การแต่งงานนี้อย่างสุดกำลัง ก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์ โดยไม่มีอะไรผิดพลาดแล้วเช่นกัน

ไว้นางกลับถึงวังแล้ว จะคุยจ้อกับไทฮองไทเฮา จะได้ทำให้ไทฮองไทเฮาวางใจ แล้วยังไทฮองไท่เฟยที่ก่อนนางจะจากมานั้นกินมังสวิรัติอยู่ตลอด โดยหวังว่าพระพุทธเจ้าจะคุ้มครองให้ท่านหญิงแคล้วคลาดปลอดภัยและสมปรารถนา

เวลานี้ลงเอยด้วยดี ไม่แน่อาจจะเป็นเพราะไทฮองไท่เฟยทำให้พระโพธิสัตว์ซาบซึ้งใจจริงๆ ก็ได้!

เมิ่งฟางหลิงรู้สึกมีความสุข จึงยิ้มพลางคีบเห็ดหูหนูดำผัด

ทว่าชีกูกลับมั่นใจว่าจะต้องเกิดอะไรบางอย่างขึ้นตอนที่ท่านหญิงพบนายท่านของพวกนางเมื่อครู่

ไม่อย่างนั้นท่านหญิงก็คงจะไม่เป็นเช่นนี้

ก็ไม่เสียแรงที่นายท่านของพวกนางทุ่มเททุกอย่างให้ท่านหญิงเช่นกัน

นางยิ้มและไปชงชาเข้ามา

เจียงเซี่ยนความคิดตีกันยุ่งเหยิง จนนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าหลังจากพวกนางออกจากโรงเตี๊ยมแล้วไปที่ใดอีกบ้าง และกลับมาอย่างไร รู้แค่ว่าตอนที่ไป่เจี๋ยยกข้าวต้มลูกเดือยปลิงทะเลน้ำแกงไก่ที่คนครัวของกองบัญชาการทำมาให้นางกิน นางเกือบจะทำข้าวต้มคว่ำลงบนพื้น และลวกไป่เจี๋ยแล้ว

“นี่เจ้าเป็นอะไรไป?” ไป๋ซู่ที่กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องได้ยินเสียงจึงรีบมา นางให้ไป่เจี๋ยออกไปพักแล้วมานั่งลงบนเตียงอุ่นหลังใหญ่ตรงข้ามเจียงเซี่ยน นางใช้ช้อนคนข้าวต้ม พลางเอ่ยว่า “หลังจากเจ้าพบใต้เท้าหลี่ก็จิตใจเหม่อลอย เขาพูดอะไรกับเจ้าหรือเปล่า? ก่อนหน้านี้อยู่ต่อหน้าแม่นมเมิ่งกับคุณหนูฉีทั้งสอง ข้าถามไม่ได้ ตอนนี้มีแค่พวกเราสองคนแล้ว เจ้ามีเรื่องอะไรที่บอกข้าไม่ได้หรือ?”

เขาชมว่านางสวย…

เจียงเซี่ยนคิดอยู่ในใจ ทว่าปากกลับเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรจริงๆ! พวกเราเจอกัน ข้าฝากฝังเรื่องของคุณหนูจินกับเขา แล้วก็คุยกันสองสามคำ ก็ต่างคนต่างกลับมา”

ไป๋ซู่มองนางอย่างสงสัย “เช่นนั้นทำไมเจ้า…”

เดิมทีเจียงเซี่ยนชอบแบ่งปันทุกเรื่องกับไป๋ซู่ ชาติก่อนแม้แต่เรื่องที่ไม่เคยเข้าหออุ่นเตียงกับจ้าวอี้ นางก็บอกไป๋ซู่หมด ทว่าตอนนี้ไม่รู้ทำไม นางไม่อยากบอกสิ่งที่หลี่เชียนเคยพูดกับใครทั้งนั้น แม้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นไป๋ซู่ก็ตาม

นางเอ่ยว่า “โธ่เอ๋ย” และเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ! พวกเจ้าคอยจับตาดูข้าอยู่ตลอด ข้าดื่มน้ำน้อยไปครึ่งถ้วย พวกเจ้าก็คิดว่าข้าป่วยแล้ว สุดท้ายทุกครั้งที่เชิญหมอหลวงเถียนมาก็เพียงแค่ตรวจชีพจรปกติเท่านั้น ข้าไม่เป็นไรจริงๆ!”

ต้องเป็นเพราะหลี่เชียนนั่นพูดอะไรแน่ๆ

แต่ไป๋ซู่ไม่อาจถามได้อีกแล้ว

ถึงเจียงเซี่ยนจะเป็นน้องสาวของนาง บางครั้งก็ไม่สามารถควบคุมทุกจุดและก้าวก่ายทุกเรื่องได้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นไม่ว่าใครก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย

ในเมื่อนางเป็นห่วงเจียงเซี่ยน ต่อไปก็อยู่เป็นเพื่อนเจียงเซี่ยนบ่อยๆ ก็ได้

มีอะไรย่อมหนีไม่พ้นดวงตาของนางอย่างแน่นอน

ไป๋ซู่เปลี่ยนเรื่อง โดยเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็รีบกินข้าวต้มเถอะ เมื่อเช้าตอนที่เจ้าออกไปข้างนอกกินขนมข้าวไปแค่สองสามชิ้น เจ้าไม่หิวหรือ?”

“ไม่หิว!” เจียงเซี่ยนเอ่ย ทว่าพอกินข้าวต้มลูกเดือยปลิงทะเลน้ำแกงไก่ลงไปคำหนึ่ง ความอยากอาหารกลับถูกกระตุ้นขึ้นมา นางกินติดกันสองถ้วย แถมยังกินขนมมันเทศไส้พุทรากวนอีกสี่ห้าชิ้น จนถูกไป๋ซู่ห้าม ถึงจะวางถ้วย

“ยังบอกว่าไม่หิวอีก!” ไป๋ซู่ยิ้มอย่างโกรธเล็กน้อย และรับผ้าร้อนที่เซียงเอ๋อร์ยื่นให้มาเช็ดมือให้เจียงเซี่ยน

แสงแดดของเดือนห้าช่วงกลางวันส่องเข้ามาผ่านม่านไม้ไผ่ และตกลงบนมือของไป๋ซู่สะท้อนปะปนกันหลายสี ขาวผ่องและสะอาดจนเหมือนหยกมันแพะไร้ตำหนิชั้นดี

ความคิดหนึ่งกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในใจเจียงเซี่ยน สุดท้ายนางก็ไม่อาจยับยั้งไว้ได้อยู่ดี

นางพับแขนเสื้อขึ้นและยื่นแขนที่ผิวเรียบเนียนไปตรงหน้าไป๋ซู่ แล้วเอ่ยว่า “จ่างจู เจ้าก็ถกแขนเสื้อขึ้นด้วย ดูสิว่าพวกเราใครขาวกว่ากัน?”

ไป๋ซู่มองเจียงเซี่ยนด้วยสายตาว่า ‘เจ้าบ้าไปแล้ว’

เจียงเซี่ยนแก้มแดงเล็กน้อย และขยับตัวอย่างอึดอัด ทว่าก็ยืนหยัดที่จะเทียบกับไป๋ซู่ว่าใครขาวกว่ากัน

ไป๋ซู่ไม่มีทางเลือก จึงถกแขนเสื้อและยื่นแขนออกไปวางคู่กับเจียงเซี่ยน

ทั้งสองคนต่างขาวมาก แต่แขนของเจียงเซี่ยนกลับคล้ายจะสว่างกว่าไป๋ซู่หลายขุม ไม่เทียบก็ไม่รู้ พอเทียบกันแล้ว ไป๋ซู่ก็ดูเหมือนจะด้อยกว่า

เจียงเซี่ยนหัวเราะคิกคัก

รู้สึกพอใจมาก

ครั้งนี้ถือว่าหลี่เชียนไม่ได้หลอกนาง

ทว่าเขาบอกว่าจมูกของนางสูงโด่งมาก…เมื่อค่ำตอนที่ล้างเครื่องสำอาง นางนั่งมองอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งนานมาก เมื่อเช้าตอนที่ตื่นมาแต่งตัว นางก็นั่งมองอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งนานมากอีก แล้วเอ่ยกับฉิงเค่ออย่างดูถูกว่า “กระจกทองแดงบานนี้มองเห็นไม่ชัด เจ้าไปตรวจดูรายการสินเดิมของข้าสิว่าในสินเดิมมีกระจกตะวันตกหรือไม่ ถ้ามี ก็เอามาให้ข้าดูหน่อย”

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเจียงเซี่ยนไม่เคยสนใจว่าตนเองมีเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับอะไรบ้าง กระทั่งรายการสินเดิม นางก็ส่งให้ฉิงเค่อโดยไม่แม้แต่จะพลิกดูด้วยซ้ำ และให้ฉิงเค่อคัดลอกใหม่ฉบับหนึ่ง เพื่อเวลาที่นางอยากได้อะไร ฉิงเค่อจะได้อาศัยความจำและหาเจออย่างรวดเร็ว ฉิงเค่อตั้งใจทำงานมาตลอด จึงท่องจำรายการสินเดิมของนางแล้ว ดังนั้นตอนที่เจียงเซี่ยนถามขึ้นมา ฉิงเค่อจึงตอบได้ทันที

“มีเจ้าค่ะ!” ฉิงเค่อเอ่ยว่า “มีกระจกตะวันตกแปดบาน อันที่ขนาดเท่าฝ่ามือสองบาน วางอยู่ในหีบที่ขึ้นต้นด้วย ‘ก’ อันที่ขนาดเท่าอ่างทองแดงสองบาน วางอยู่ในหีบที่ขึ้นต้นด้วย ‘ค’ อันที่ขนาดครึ่งตัวสองบาน วางอยู่ในหีบที่ขึ้นต้นด้วย ‘ง’ อันที่ขนาดสูงเท่าตัวคนสองบาน วางอยู่ในหีบที่ขึ้นด้วย ‘จ’ ท่านต้องการบานไหนเจ้าคะ?”

เจียงเซี่ยนคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เอาอันที่ขนาดเท่าฝ่ามือหนึ่งบาน แล้วก็เอาอันที่ขนาดเท่าอ่างทองแดงหนึ่งบาน”

ฉิงเค่อขานรับและจากไป ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงจะถือกระจกตะวันตกมา

เจียงเซี่ยนเดาว่าสินเดิมของตนเองจะต้องจัดเรียบร้อยแล้วอย่างแน่นอน ฉิงเค่อคงจะเสียเวลาเปิดหีบอยู่พักหนึ่ง

นางยกกระจกตะวันตกบานเล็กที่ทำเป็นกระจกที่มีด้ามจับขึ้นส่อง มองเห็นตาก็มองไม่เห็นจมูก นางจึงวางกระจกตะวันตกบานเล็กไว้ข้างๆ ทันที และให้เซียงเอ๋อร์กับจุ้ยเอ๋อร์ถือกระจกตะวันตกบานที่ขนาดเท่าอ่างทองแดง

ในกระจกสะท้อนเงาของเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้า ผิวขาวเกลี้ยงเกลาและเนียนละเอียด มีใบหน้ารูปไข่ที่มาตรฐาน จมูกงดงามและตรง ริมฝีปากสีชมพูอ่อนอวบอิ่ม คิ้วเหมือนใบหลิว แต่งตัวเรียบร้อย ดวงตากลมโตใสแจ๋ว เยือกเย็น เฉยเมย และเย็นชา

ที่แท้นางหน้าตาแบบนี้นี่เอง!

เจียงเซี่ยนมองเด็กผู้หญิงในกระจก แล้วนึกถึงไป๋ซู่ที่แลดูอ่อนโยน

สีหน้าเหงาหงอยเกินไป ริมฝีปากจืดชืดเกินไป คิ้วแข็งทื่อเกินไป…มีแต่จมูกที่สวยที่สุด และทำให้ทั้งตัวนางกลายเป็นโดดเด่นงดงาม และมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อยจริงๆ ด้วย

นางเม้มปาก หลังจากโบกมือด้วยอารมณ์หดหู่ ก็ส่งสัญญาณให้ฉิงเค่อเอากระจกออกไป แล้วนอนคว่ำหน้าลงบนเตียงอย่างเซื่องซึม

หลังจากจ้าวอี้ตาย บนโต๊ะเครื่องแป้งของนางก็เปลี่ยนเป็นกระจกทองแดงที่ขุ่นมัว

นางกลัวว่าจะเห็นสีหน้าอันโหดเหี้ยมของตนเองในกระจก

หลังจากฟืนคืนชีพ นางก็ไม่ได้ส่องกระจกเช่นกัน

กลัวว่าจะเห็นสีหน้าที่ไม่ถูกกาลเทศะในกระจก

ทว่านางหลบไปหลบมา ก็ยังหนีอดีตเหล่านั้นไม่พ้นอยู่ดี

นางก็รู้ดีแก่ใจว่านางไม่ใช่เด็กสาวอายุสิบสี่จริงๆ อยู่ดี จึงไม่มีความงามดั่งบุปผาที่เหมือนฤดูใบไม้ผลิอย่างไป๋ซู่ แล้วก็ไม่มีใบหน้าที่มีชีวิตชีวาของวัยสาวอย่างพี่น้องสกุลฉี

แต่หลี่เชียนก็ยังคิดว่านางสวย!

จู่ๆ เจียงเซี่ยนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

นึกถึงจ้าวอี้

คนที่เขาชอบมาตลอดล้วนเป็นเหล่าสตรีที่กำลังอยู่ในช่วงวัยสาวและหน้าตาสะสวย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้หญิงที่เคยคลอดลูก

เขายังเคยแอบอยู่ในเส้นทางที่เหล่าสตรีบรรดาศักดิ์ผ่านและแอบมองภรรยาของเหล่าขุนนางด้วย

ตอนนั้นนางเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ไม่กล้าบอกไทฮองไทเฮา แถมยังต้องปิดบังให้จ้าวอี้ต่อหน้าไทฮองไทเฮา จนแทบอยากจะตายไปเสียให้สิ้นเรื่องเดี๋ยวนั้น

ไทฮองไท่เฟยเคยโอบนางไว้ในอ้อมแขนและเตือนนางว่า ‘ทุกคนต่างมีโชคชะตาของทุกคน ขอเพียงเจ้ารอคอยอย่างอดทน ก็จะมีโชคชะตาของตนเองเช่นกัน’

จ้าวอี้รังเกียจที่นางขี้เหร่ แต่หลี่เชียนกลับคิดว่านางสวย

ยินดีปลอบนางและอยู่เป็นเพื่อนนาง

หลี่เชียนจะเป็นโชคชะตาของนางหรือไม่?

ทันใดนั้นนางก็รู้สึกโศกเศร้าเป็นอย่างมาก