ภาคที่ 2 บทที่ 243 ช่วยเหลือ

มู่หนานจือ

เวลานี้หลี่เชียนกำลังกินอาหารเช้าอยู่กับจินเซียว

เมื่อวานหลังจากพวกเขารับมื้อกลางวัน ก็ไปที่เรือนส่วนตัวของเซ่าหยาง ตามคำเชิญของเซ่าเจียง เซ่าหยางเรียกนักแสดงเข้ามาแสดงในเรือน หลี่เชียนไม่สนใจเรื่องนี้ จึงถูกเซ่าเจียงที่ไม่สนใจการร้องรำเช่นกันลากไปเล่นหมากล้อมหลายตา ตกเย็นก็ดื่มสุรากันต่อ จนถึงยามห้าย[1]ถึงจะแยกย้าย

จินเซียวเห็นที่เรือนของเซ่าหยางยังมีบรรดานางโลมที่เรียกมาอยู่ในเรือนด้วย เขากลัวว่าเมาแล้วจะทำให้เสียงาน จึงไม่อยากค้างที่นั่น จึงตามหลี่เชียนกลับมายังจวนที่ตั้งอยู่ที่ถนนตะวันตกของตระกูลหลี่

ตอนกลางคืนดื่มมากเกินไป ตอนเช้าตื่นมาก็ยังปวดศีรษะแทบระเบิด กินอะไรก็ไม่มีรสชาติทั้งนั้น

แต่หลี่เชียนเมื่อคืนดื่มมากกว่าเขาเสียอีก กลับเหมือนไม่ได้ร่วมดื่มด้วย ซาลาเปาไส้หมูลูกใหญ่ลงท้องไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็หยิบซาลาเปากินอีกลูก

“ข้าว่า” จินเซียวเอ่ยอย่างอิจฉาว่า “เมื่อวานเจ้าดื่มน้ำใช่หรือไม่?”

“เมื่อวานคนที่พยายามบังคับให้ข้าดื่มสุราอย่างสุดชีวิตคือเจ้าไม่ใช่หรือ?” หลี่เชียนเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “เป็นสุราหรือน้ำเปล่าเจ้าแยกไม่ออกหรือ?”

จินเซียวท้อใจทันที

หลี่เชียนพูดไปก็วางถ้วยกับตะเกียบในมือลง และเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

จินเซียวพยักหน้า

เวลากินข้าวกับเวลานอนห้ามพูดมาก นี่เป็นมารยาท

ทั้งสองคนรีบกินอาหารเช้า แล้วไปคุยกันที่ห้องหนังสือเล็กข้างๆ

“ข้าได้ยินว่าน้องสาวเจ้ามาต้าถงแล้ว พวกเจ้าพี่น้องเจอกันหรือยัง?”

จินเซียวมาต้าถงเพื่อส่งสินสอดให้หลี่เชียนในฐานะสหาย อีกไม่กี่วันเขาก็จะไปรับตัวเจ้าสาวในฐานะสหายของหลี่เชียน ดังนั้นหลายวันนี้เขาจึงอยู่ที่ตระกูลหลี่ตลอด

เขามีแขกหรือไม่ หลี่เชียนรู้ดีที่สุดแล้ว

จินเซียวเงียบไปชั่วครู่ และเอ่ยว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าน้องสาวข้ามาต้าถงแล้ว?”

ไม่ได้ตอบหลี่เชียน

หลี่เชียนจ้องตาเขา “เมื่อวานตอนอยู่ที่หมู่บ้านจี่หนาน เจ้าถามข้าว่าทำไมเจอเพื่อนคนหนึ่งไปตั้งนานถึงจะกลับมาไม่ใช่หรือ? ข้าไปเจอท่านหญิงเจียหนานมา นางบอกข้าว่า นางเจอน้องสาวเจ้าตอนอยู่ที่หออี้เซียน…”

จินเซียวประหลาดใจมากจนคางจะร่วงลงมาแล้ว “ท่านหญิงเจียหนานมาพบเจ้าที่หมู่บ้านจี่หนาน แถมก่อนหน้านั้นนางยังไปดื่มชาที่หออี้เซียนมาด้วย? นางเป็นเจ้าสาวที่รอแต่งงานไม่ใช่หรือ?”

จะเดินเพ่นพ่านตามใจชอบไปทั่วได้อย่างไร?

ประโยคสุดท้ายเขาไม่ได้พูดออกมา

“ใช่ว่าต้องให้นางจัดสินเดิมเองเสียหน่อย นางอยากออกมาเดินสักหน่อยทำไมจะไม่ได้?” หลี่เชียนเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย และดึงหัวข้อสนทนากลับมาใหม่อีกครั้ง “ได้ยินว่าน้องสาวเจ้ามาต้าถงเพราะมาอวยพรวันเกิดให้ท่านยายของพวกเจ้า เมื่อไรหรือ? หากทันเวลา ข้าจะเตรียมของขวัญไปอวยพรนางด้วยสักหน่อย หากไม่ทันเวลา ก็คงต้องฝากให้พ่อบ้านในตระกูลไปร่วมงานของนาง”

จินเซียวได้ยินแล้วก็แลดูวุ่นวายใจเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันเถอะ! หลังจากท่านตาจากไป พวกเราพี่น้องก็ไปเรือนท่านลุงน้อยมาก”

แค่เห็นก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลไม่ลงรอยกันนัก

หลี่เชียนครุ่นคิดเล็กน้อย และเอ่ยว่า “จินเซียว ถึงพวกเราจะเป็นเพื่อนกัน ทว่าเรื่องบางเรื่องแม้แต่เพื่อนก็ไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายเช่นกัน ข้ารู้ว่าข้าถามเจ้าแบบนี้ไม่ค่อยสมควรนัก แต่เรื่องนี้ท่านหญิงเป็นคนฝากข้ามา ต่อให้ล่วงเกินเจ้า ข้าก็ต้องถามอยู่ดี ท่านหญิงได้ยินว่าพ่อเจ้าคิดจะให้น้องสาวเจ้าหมั้นกับเซ่าหยาง เซ่าหยางเป็นคนอย่างไร ข้าไม่บอกเจ้าก็รู้ดี แม่แท้ๆ ของเจ้าเสียชีวิตไปแล้ว เจ้าเป็นพี่ชาย เป็นที่พึ่งเดียวของนาง เรื่องนี้เจ้าก็ไม่มีความเห็นแม้แต่นิดเดียวอย่างนั้นหรือ? จินเซียวที่ข้ารู้และรู้จัก เป็นสหายที่ข้าเอ่ยคำเดียวก็สามารถร่วมเป็นร่วมตายได้ เจ้ามีเรื่องอะไรลำบากใจหรือไม่?”

“สองหัวดีกว่าหัวเดียว”

“มีเรื่องอะไรที่พวกเราปรึกษากันไม่ได้หรือ”

“สตรีล้วนต่างจากบุรุษ บุรุษแต่งงานแล้วไม่ถูกใจ ยังสามารถรับอนุได้ ทว่าสตรีหากแต่งงานกับคนไร้คุณธรรมและความสามารถ ชีวิตนี้ก็จบสิ้นแล้ว”

“มีคำโบราณกล่าวว่า บุรุษกลัวเข้าสู่สายงานผิด สตรีกลัวแต่งงานผิดคน ไม่ใช่หรือ”

“เจ้าลองคิดตามคำพูดของข้าดูให้ดี”

“หากเจ้ายังไม่อยากคุยกับข้าตอนนี้ ข้าจะรอเจ้า ไม่ว่าเจ้าต้องการให้ข้าช่วยเมื่อไร ข้าจะไม่ปฏิเสธ”

จินเซียวได้ยินแล้วแปลกใจมาก

เขามองหลี่เชียนอย่างตกตะลึง เหมือนอยากจะมองคนๆ นี้ให้ชัดเจน อยากรู้ว่าหลี่เชียนพูดจริงหรือโกหกกันแน่

พูดถึง เขากับหลี่เชียนนั้นแทนที่จะบอกว่าเป็นเพื่อนกัน สู้บอกว่าเป็นการคบหากันภายใต้ผลประโยชน์ร่วมกันจะดีกว่า ทั้งสองคนแลดูอ่อนโยนและน่าเข้าใกล้ แต่กลับต่างคนต่างมีเป้าหมายของตนเอง เขาไม่ได้ให้ความจริงใจ หลีเชียนก็อาจจะมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งเช่นกัน ทว่าเวลานี้หลี่เชียนกลับบอกเขาว่า หากมีอะไรต้องการให้หลี่เชียนช่วย หลี่เชียนจะไม่ปฏิเสธ

จินเซียวหลุบตาลง สีหน้าฉายแววเศร้าหมองอย่างเบาบาง

บางครั้งพี่น้องของตนเองก็ยังสู้คนนอกคนหนึ่งไม่ได้

จินเซียวแอบคิด และเอ่ยเสียงเบาว่า “จงเฉวียน เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าข้าไม่คัดค้าน แต่ท่านพ่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ข้าคัดค้านไม่ได้ผล จึงจำเป็นต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง” จินเซียวพูดไป สองมือก็กำเป็นหมัดแน่น “เจ้าไม่รู้ เซ่าหยางชอบน้องสาวข้ามาตั้งแต่เด็ก ทว่าน้องสาวข้ากลับตรงกันข้าม นางเห็นเขาแล้วก็รู้สึกเกลียด ตอนเด็กเซ่าหยางยังคิดที่จะทำให้น้องสาวข้าชอบเขาด้วย ตอนหลังค่อยๆ โตขึ้น ก็กลายเป็นยึดติดกับน้องสาวข้า น้องสาวข้าไม่อยากแต่งงานกับเขา เขาก็จะแต่งงานกับน้องสาวข้าให้ได้ ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจ แล้วก็เคยคิดที่จะหาการแต่งงานอื่นให้น้องสาวข้าเหมือนกัน แต่ท่านย่ากลับคิดว่าการแต่งงานนี้ดีที่สุดแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ตอบตกลง แม่เลี้ยงของข้าไม่อยากทำให้ท่านย่าไม่พอใจ จึงจัดการตามท่านย่าเช่นกัน…”

เขายิ้มให้หลี่เชียนอย่างน่าเวทนา และเอ่ยว่า “นอกจากเรื่องพวกนี้…นอกด่านเมืองอวี๋หลินก็เป็นทุ่งหญ้า เกลือ ใบชา และผ้าไหมในด่านล้วนออกจากเมืองทางนั้น ม้าที่อยู่นอกด่านล้วนต้องเข้าเมืองทางนั้น นานมาแล้วกองบัญชาการอวี๋หลินจะเก็บสี่ในสิบจากพ่อค้าที่เดินทางไปมาเพื่อค้าขายยังแต่ละที่ ไม่ว่าจะมีหนังสือผ่านด่านหรือไม่ก็ตาม แต่ไท่หยวนแม้จะเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรือง ทว่าข้างบนมีผู้ตรวจการ ข้างล่างมีผู้ว่าราชการมณฑล มีคนจับตาดูอยู่มากมาย ยังไม่ต้องพูดถึงการเก็บจากพ่อค้าที่เดินทางไปมาเพื่อค้าขายยังแต่ละที่ แม้แต่ภาษีก็ไม่กล้าเข้าไปก้าวก่ายเช่นกัน บวกกับทุกครั้งที่ชนกลุ่มน้อยทางเหนือรุกราน นอกจากต้าถง เมืองเซวียน เมืองจี้แล้วก็เป็นไท่หยวน ทว่ากองบัญชาการอวี๋หลินกลับเป็นสถานที่ห่างไกลจากตัวเมือง ยากจนและที่ดินรกร้าง ต่อให้ชนกลุ่มน้อยทางเหนือลงแรงมากและยึดเมืองอวี๋หลินได้ ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรอยู่ดี นานวันเข้ากองทัพของพวกเขากลับพร้อมไปด้วยความสามารถในการสู้รบ จนเอาชนะได้ยากยิ่งกว่าต้าถงและเมืองเซวียนเสียอีก…”

หลี่เชียนเข้าใจแล้ว

หลายปีมานี้ตระกูลเซ่าตั้งมั่นรักษาการณ์ด่านอวี๋หลิน ภูมิประเทศลับตาคน ไม่ค่อยมีคนคุม จึงเริ่มปล่อยให้ค้าของเถื่อน และเลี้ยงทหารส่วนตัวด้วยเงินที่ได้มาจากการเก็บภาษีเกินควร อำนาจเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ตระกูลจินแม้จะอยู่ในที่ที่เจริญรุ่งเรือง กลับไม่สามารถหาผลประโยชน์อะไรได้ เพราะมีผู้บังคับบัญชามากเกินไป และหลายปีมานี้ราชสำนักก็เลื่อนเวลาจ่ายเงินเดือนทหารมาตลอด ตระกูลจินอยากรักษากำลังที่แท้จริงเอาไว้ ก็ต้องคิดหาทางหาเงิน

หาเงินในกองทัพ เพียงแต่วิธีการเหล่านั้น พวกกองกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์มีคนของกรมกลาโหมอยู่แล้ว จึงไม่มาถึงพวกเขา ตระกูลจินจึงมีแต่ต้องค้าของเถื่อนเท่านั้น ทว่าหากคิดจะค้าของเถื่อน ก็ต้องผ่านทางด่านอวี๋หลิน และต้องขอความช่วยเหลือจากตระกูลเซ่า

นี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมตระกูลจินถึงให้บุตรสาวคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกแต่งงานกับบุตรชายคนรองที่ไม่ได้เรื่องได้ราวของตระกูลเซ่าเช่นนี้

เหตุผลในนั้นหลี่เชียนเดาได้ตั้งนานแล้ว เวลานี้ได้ยินจินเซียวเอ่ยเองกับหู เขาก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้น

“ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ปัญหา!” เขาเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “สำคัญคือเจ้าคิดอย่างไร? หากเจ้าอยากช่วยน้องสาวเจ้า ข้าย่อมมีความคิดอย่างแน่นอน หากเจ้าคิดว่าตระกูลจินแยกจากตระกูลเซ่าไม่ได้ และจำเป็นต้องใช้ชีวิตด้วยการขอร้องตระกูลเซ่า ข้าก็จะถือว่าเจ้าไม่รู้เรื่องนี้ และจะออกหน้าไปบอกท่านหญิง หากท่านหญิงล้มเลิกความคิด ข้าก็จะไม่ทำอะไรทั้งนั้น แต่หากท่านหญิงยืนกรานที่จะช่วยน้องสาวเจ้า ข้าก็ถือว่าได้บอกเจ้าล่วงหน้าที่นี่แล้ว ถึงเวลานั้นหากล่วงเกินตระกูลจินไป เจ้าก็อภัยให้ข้าด้วยแล้วกัน!”

————————————-

[1] ยามห้าย เวลา 21:00-22:59น.