วันรุ่งขึ้น กองทัพเทียนหยวนและกองทัพเบสซ่าก็พากันนั่งกินอาหารที่เตรียมมา ก่อนจะเริ่มทำการจัดขบวนทัพ

หลังจากเปิดประตูค่าย กองทหารก็ตบเท้าเดินออกไปอย่างเป็นระเบียบ โดยที่ด้านหน้าสุดมีธงลายป่าเขา กับคำว่า ‘เฟิง’ และ ‘ปิงหยวน’ ซึ่งนี่ก็ธงของกองทัพปิงหยวนนั่นเอง และถัดจากปิงหยวน ก็เป็นกองทัพชานชุย ที่ตามมาด้วยกองกำลังหลักของถังหยิน

ทหารนับแสนตั้งขบวนทัพหยุดอยู่ที่ด้านหน้า ทำให้มองแล้วคล้ายกับคลื่นทะเลมนุษย์สุดลูกหูลูกตา ที่มาพร้อมกับการสั่นสะเทือนของพื้นดินยามก้าวเดิน

อีกด้านหนึ่ง เมื่อพวกหนิงได้ยินว่ากองทัพเทียบหยวนกำลังเข้าประชิด พวกเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีวิตกอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่พากำลังทหารจำนวน 4 แสนนายเดินออกมาตั้งขบวนพร้อมรบก็เท่านั้น

นี่เป็นครั้งแรกที่ถังหยินได้เห็นและสัมผัสกับสนามรบที่มีจำนวนคนมากขนาดนี้ และแม้ว่าจะไม่ได้ประหม่า หากแต่มาตอนนี้หัวใจก็เต้นถี่รัวยากจะควบคุมเสียเหลือเกิน ทว่าก็ยังโชคดีนัก ที่อาการที่ว่านั้นถูกเก็บไว้ภายในอย่างมิดชิด

ในฐานะแม่ทัพใหญ่ สีหน้าท่าทางของเขาจะส่งผลโดยตรงต่อความคิดของพวกทหาร ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่ควรที่จะแสดงอาการตื่นเต้นออกไป

แม่ทัพหลาย ๆ คนของกองทัพเทียนหยวนนั้นเคยเข้าร่วมสงครามมาก็มาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้วิตกกังวลอะไรนัก ทว่าก็เช่นเดียวกับถังหยิน ที่ครานี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขารบโดยมีจำนวนทหารมากถึงเพียงนี้ !

เพราะเหตุนี้ ทุกคนจึงพากันเกร็งและเผลอมองไปในทิศทางของถังหยินโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเมื่อเห็นถังหยินนั่งอยู่บนหลังม้าของเขาอย่างสงบ โดยไม่มีร่องรอยของความตื่นตระหนกบนใบหน้า อารมณ์ที่ประหม่าของพวกแม่ทัพคนอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลงจนกลับมาอยู่ในสภาพพร้อมรบอีกครั้ง !

“ฆ่ามัน ! ฆ่ามัน ! ฆ่ามัน !”

ในเวลาเดียวกันนั้น พวกหนิงก็เริ่มทุบโล่ด้วยหอกยาวในมือเป็นจังหวะ ทำให้เกิดเสียงเหล็กปะทะเหล็กที่ดังกังวาน ราวกับว่าค้อนขนาดใหญ่กำลังทุบเข้าไปในหัวใจของทหารทุกคนในกองทัพเทียนหยวน

ในฐานะเจ้าหญิงแห่งเบสซ่า ชัวน่าจึงมีทั้งประสบการณ์และความรู้ด้านการทหารเป็นอย่างดี ทว่าแม้แต่นางก็ยังตกใจเล็กน้อยกับท่าทีของพวกหนิง !

และถ้าชัวน่าเป็นแบบนี้ คนอื่น ๆ ก็คงเป็นเช่นเดียวกัน ด้วยในสนามรบแบบนี้ ไม่ว่าพลังปราณของคนคนนั้นจะมากหรือน้อย มันก็ไม่มีความสำคัญเลยสักนิด

ถังหยินรู้สึกได้ถึงความกังวลใจของผู้คนโดยรอบ ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นก่อนเริ่มการรบ ด้วยมันจะทำให้ขวัญกำลังใจลดลงอย่างมาก !

ว่าแล้วชายหนุ่มก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีก เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจึงควบม้าไปข้างหน้า 2 ก้าว ก่อนจะตะโกนออกไปว่า “พวกเจ้าจำได้หรือไม่ ว่าใครกัน ที่มันทำให้แม่ทัพของพวกเราต้องตาย !”

เมื่อพวกทหารเฟิงได้ยิงคำนั้นของถังหยิน พวกเขาก็พากันกำหมัดแน่นก่อนตอบโดยพร้อมเพรียงกันว่า “ไอ้พวกหนิง !”

“ใครกันที่ลอบเข้ามาในดินแดนของเราและเข่นฆ่าญาติพี่น้องของเรา”

“พวกหนิง !”

“ใครกันที่สร้างความอัปยศอดสูให้กับแคว้นเฟิงของพวกเรามานับครั้งไม่ถ้วน ?

“พวกหนิง !”

“แล้วพวกเจ้า อยากให้พวกมันเหยียบอยู่บนดินแดนของพวกเราต่อไปหรือไม่ ?”

“ไม่มีวัน !”

“แล้วจะรออะไรอีก ! จับอาวุธในมือขึ้นมา แล้วจงฆ่าพวกมันให้หมด ใช้เลือดของพวกมันมาล้างแคว้นเฟิงของพวกเรา ฆ่า !”

“ฆ่า !”

ทุกคำพูด ทุกประโยคที่ถังหยินเอ่ยออกมา มันได้ปลุกความโกรธแค้นในส่วนลึกของพวกเฟิงขึ้นมา ทำให้ขวัญกำลังใจของพวกเขากลับมาเต็มเปี่ยม ลืมความกลัว ความลังเล คงเหลือไว้เพียงความบ้างคลั่งที่ต้องใช้เลือดของพวกหนิงในการหยุดผลของมัน !

ว่าแล้วกองทัพที่ยิ่งใหญ่ของถังหยินก็เริ่มเคลื่อนพลไปข้างหน้า

“แด่แคว้นเฟิง ! แด่แคว้นเฟิง ! แด่แคว้นเฟิง !”

“ฆ่ามัน ! ฆ่ามัน ! ฆ่ามัน ! ฆ่ามัน !” พวกทหารเฟิงพากันกู่ร้องข่มขวัญคู่ต่อสู้ในขณะที่เริ่มเคลื่อนเข้าหากันอย่างช้า ๆ จนกระทั่งมาถึงจุดที่ ….สงครามได้เปิดฉากขึ้น !!!!

พวกเขาทั้ง 2 ฝ่ายเปิดฉากสู้รบกันแล้วในตอนนี้ และมันก็คงไม่มีทางหยุด จนกว่าการศึกจะได้บทสรุปที่แน่ชัด

“ เตรียมธนู !”

แม่ทัพหนิงนายหนึ่งเอ่ยร้องตะโกนเสียงดัง ในขณะที่ควบขี่ม้าศึกวิ่งไปกลับเพื่อถ่ายทอดคำสั่ง และเมื่อคำสั่งถูกส่งต่อไปจนทั่ว พลธนูหนิงทั้งหมดก็พากันง้างคันศร ขึ้นลูกธนูชี้ขึ้นไปในอากาศ

เช่นเดียวกับพวกเฟิง ที่พากันง้างคันธนูขึ้นฟ้า พร้อมปล่อยคมศรออกไปทุกเมื่อ

“เล็งธนู ..ยิงได้ !”

เกือบจะพร้อมกันนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ได้ส่งคำสั่งให้ยิงออกไป ทำให้เกิดเสียงลูกศรแหวกอากาศ ก่อนที่ลูกศรทั้งหลายจะเป็นดังเมฆดำบนท้องฟ้า ที่ร่วงตกลงมาตามแนวโค้งเข้าใส่กองทหารทั้ง 2 ฝ่ายเบื้องล่าง

อ๊ากกกกก !

เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากทั้งสองฝ่าย ด้วยไม่ว่าโล่จะแข็งแค่ไหน มันก็ยังคงมีช่องว่าง และเมื่อมีธนูที่ถูกยิงออกมาจำนวนมากเช่นนี้ มันก็ทำให้การบาดเจ็บและเสียชีวิตกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้แต่แม่ทัพที่มีเกราะปราณเองก็ยากที่จะหนีพ้น เพราะหลังจากที่พวกเขาถูกยิงอย่างต่อเนื่อง มันก็ทำให้เกราะปราณแตกออก จนทำให้ร่างเนื้อราวกับเป็นตัวเม่น ด้วยมีลูกศรมากมายปักทั่วทั้งตัว !

ชีวิตของทหารในสนามรบก็เป็นดั่งเช่นแสงเทียน เพียงแค่โดนลม ก็สามารถดับหายไปได้ในทุกชั่วขณะ

เมื่อระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายหดสั้นลง กองทหารปิงหยวนก็พลันทำการเปลี่ยนรูปขบวน พวกเขาทำการแยกออกจากกันไปทางซ้ายและขวา เพื่อเปิดทางให้ทหารม้าที่ห่อหุ้มร่างด้วยเกราะเหล็กวิ่งตะบึงไปที่ของกองทัพหนิง

กองทหารม้าที่มาถึงอย่างกะทันหันสร้างความประหลาดใจให้กับกองทัพหนิงเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามกองทัพหนิงไม่กลัวแม้แต่น้อย ด้วยต้องอย่าลืมว่าพวกเขานั้นมีพลธนูที่เก่งกาจขนาดไหน !!!

ว่าแล้วแม่ทัพหนิงก็ออกคำสั่งออกมาทันที ทำให้พลธนูพากันยกชูคันศรขึ้นเล็งไปที่ทหารม้าของศัตรูและยิงลูกศรออกไป

ลูกศรขนนกอินทรีนับหมื่นอันโปรยสาดราวกับสายฝนตกลงไปในฝูงทหารม้า ทำให้เกิดเสียงดังกึกก้องในอากาศดังยาวนาน แต่เมื่อลูกศรปะทะกับทหารม้าทั้ง 3 หมื่นตัว พวกมันกลับไม่ได้รับความเสียหายเลย มีก็แต่ลูกศรที่แตกกระจายไปทั่วพื้นก็เท่านั้น

“บ้าน่า ?” เมื่อเห็นฉากนี้ ไม่ต้องพูดถึงพวกทหารเลว เพราะแม้แต่บรรดาแม่ทัพหนิงเองก็ตกใจจนพูดไม่ออก ด้วยนับตั้งแต่พวกเขาเข้าร่วมกองทัพมา พวกเขาก็ไม่เคยพบเจอกับกองทัพทหารม้าเช่นนี้มาก่อน …เป็นไปได้ไหมว่าคู่ต่อสู้ของพวกเขาจะไม่ใช่มนุษย์ ?

เมื่อเห็นว่าระยะห่างทั้ง 2 ฝ่ายหดสั้นลง แม่ทัพหนิงก็ไม่อาจนิ่งนอนใจ เขารีบร้องสั่งให้พลธนูขึ้นสายทันที ด้วยไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องสกัดทหารม้าของศัตรูให้ได้ !!

ครั้งนี้ลูกศรของกองทัพหนิงมีพลังและดุร้ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งมันก็เยอะเสียจนเข้าปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า และก่อให้เกิดเสียงแหวกอากาศที่ดังราวกับภูตผีปีศาจกำลังร้องโหยหวน ทำให้ผู้คนที่อยู่ห่างไกลสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

ลูกศรรอบนี้ได้ผล เนื่องจากระยะใกล้ จึงทำให้มีทหารม้าหลายคนที่ได้รับผลกระทบจากมัน เพราะลูกศรปักเข้าที่ม้าศึกจนล้มลง ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่พวกทหารม้าก็ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ด้วยเกราะที่พวกเขาสวมใส่นั้นหนามากเสียจนไม่สามารถเจาะทะลุได้ด้วยลูกศร

แม้ว่าจะมีทหารม้าบางคนที่ถูกยิงด้วยลูกศรจนล้มลง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังคงพุ่งเข้าไปโจมตี

แม่ทัพหนิงที่เห็นเช่นนั้น ก็ได้แต่ร้องสั่งให้ทหารแถวหน้ายกโล่ขึ้นป้องกัน เช่นเดียวกับที่ให้ทหารที่อยู่ข้างหลังยกง้าวและหอกขึ้นเพื่อโจมตีสวนกลับทหารม้าข้าศึก

โครม !

ตู้ม !

ทหารม้าหุ้มเกราะหนักไม่สนใจง้าวและหอกที่อีกฝ่ายฟาดออกมาแม้แต่น้อย พากันวิ่งเข้าไปทั้งแบบนั้น

ซึ่งผลกระทบของม้าศึกที่ควบมาอย่างแรงก็ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถต้านทานได้เลย ด้วยเมื่อพลโล่ได้รับแรงกระแทกเข้าไป พวกเขาก็พากันกระอักเลือดออกมา

หลังจากเกิดเสียงกระทบกันที่ดังจนสวรรค์สั่นสะเทือน แนวรบส่วนใหญ่ของพวกหนิงก็พากันล้มลงอย่างไร้ทางต่อต้าน บางคนถูกสังหารทันที ในขณะที่บางคนก็ล้มลงเพราะผลกระทบจากแรงกระแทก ทว่าก่อนที่พวกเขาจะลุกขึ้นยืน ก็มีทหารม้าศัตรูวิ่งเข้ามากระทืบซ้ำสองเสียก่อน

ใช้เวลาไม่นานนัก กองทัพทั้งหมดก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงโหยหวน มีผู้คนนับไม่ถ้วนถูกเหยียบย่ำจนกลายเป็นเนื้อบด กระดูกแหลกละเอียด เส้นเอ็นฉีกขาด เลือดและเศษเนื้อเกลื่อนไปทั่วพื้น

ความสับสนวุ่นวายของศัตรูทำให้แม่ทัพปิงหยวนอย่าง มูฉิงตระหนักได้ทันทีว่าโอกาสนั้นมาถึงแล้ว เขาจึงรีบออกคำสั่งให้กองกำลังของตนทิ้งโล่และพุ่งเข้าใส่เต็มอัตราศึกในทันที !!!

เมื่อคำสั่งถูกส่งผ่านไปยังกองทัพปิงหยวนทุกนาย ทหารทุกคนก็พากันวางโล่ที่พวกเขาถือไว้เหนือหัว ก่อนจะรีบโรมรันเข้าใส่กองทัพหนิงพร้อมเสียงคำรามดังสนั่น

ในขณะที่กองทัพปิงหยวนกำลังเข้าชน กองทัพชานชุยทั้งสองปีกเองก็ไม่นิ่งเฉยเช่นกัน พวกเขาทำการเคลื่อนไหวพร้อมกันดั่งแหยักษ์ พุ่งตรงเข้าไปที่ค่ายของกองทัพหนิงร่วมกับกองทัพปิงหยวนอย่างไม่ลังเล

อีกทางด้านหนึ่ง ร่างเงาของถังหยินและหยวนยู่ก็กำลังนำทหารม้าจำนวนหมื่นนายมาซุ่มรออย่างเงียบ ๆ ณ สองฝั่งของสนามรบเพื่อรอเวลาที่เหมาะสมในการโจมตีกองทัพหนิง