บทที่ 244

ทหารม้าหุ้มเกราะหนักของเบสซ่าเข้าจับทุกคนที่หลุดออกมาจากแนวป้องกัน ทำให้แนวหน้าของกองทัพหนิงย่อยยับยากกู้คืน ก่อนที่กองทัพปิงหยวน และกองทัพชานชุยจะเข้าโจมตีพร้อมกัน โดยไม่เปิดโอกาสให้กองทัพหนิงตั้งตัวแม้แต่น้อย

ความสับสนวุ่นวายตรงหน้ายังดึงดูดความสนใจของจ้านอู่ฉาง และเมื่อเขาพบว่าฝั่งศัตรูมีกลุ่มทหารม้าที่ไม่กลัวลูกธนู เขาก็ตกใจเป็นอันมาก ด้วยไม่เข้าใจทหารม้าจะไม่กลัวลูกธนูได้อย่างไร ? นี่เกราะพวกนั้นจะต้องหนักแค่ไหน ? แล้วม้าศึกเล่า พวกมันวิ่งโดยแบกชุดเกราะหนักเช่นนี้ได้อย่างไร ?

จ้านอู่ฉางขมวดคิ้วแน่น พูดไม่ออกอยู่นาน จึงเป็นจ้านอู่ตี้ที่อยู่ข้างเขาพูดออกมาก่อน “พี่ใหญ่ ข้าจะไปที่แนวหน้าและดูว่าศัตรูมีทหารม้าแบบไหนกันแน่ ?!”

จ้านอู่ฉางมองไปที่น้องชายของตน และหลังจากครุ่นคิดเป็นเวลานาน เขาก็พยักหน้าพร้อมพูดว่า “มันมีบางอย่างแปลก ๆ เกี่ยวกับทหารม้าของศัตรู ระวังตัวให้มาก ถ้ารับมือไม่ไหว เจ้าต้องรีบถอยกลับมาทันที !”

“เข้าใจแล้วขอรับ พี่ใหญ่ !” จ้านอู่ตี้ให้สัญญา ขณะที่เขากระตุ้นให้ม้าศึกวิ่งไปข้างหน้า และเมื่อเขาจากไป องครักษ์และผู้ช่วยที่เชื่อถือได้ก็พากันติดตามอีกฝ่ายไปติด ๆ เช่นเดียวกับกองกำลังส่วนหนึ่งของจ้านอู่ฉาง ที่ได้คำสั่งให้ติดตามไปช่วยเป็นกำลังเสริม

ในศึกครั้งนี้ กองหน้าของพวกหนิงมีจำนวน 2 แสนคน ในขณะที่กองกลางและกองหลังมีจำนวนไม่ถึง 1 แสนคนดี ซึ่งเมื่อจ้านอู่ฉางทำการส่งกองหลังออกไป จำนวนทหารที่ต่อสู้อยู่ด้านหน้าก็พลันมีจำนวนใกล้เคียงกับ 3 แสนนาย ที่พอ ๆ กันกับกำลังทหารของพวกเฟิงในขณะนี้

ทางด้านของจ้านอู่ตี้ที่นำกำลังพลมาถึงแนวหน้า เขาก็ได้เห็นเข้ากับกองทหารของตัวเองที่กำลังวิ่งหนีตายกันอลม่าน ทำให้สายตาของจ้านอู่ตี้กลายเป็นดุร้ายในชั่วพริบตา ก่อนที่เขาจะจับดาบสีม่วงในมือแน่นและร้องตะโกนออกไปว่า “หยุดเดี๋ยวนี้ ! ใครก็ตามที่กล้าหนีจากการต่อสู้ ! อย่าหาว่าข้าไม่เตือน !”

หลังจากสิ้นเสียงตะโกนนั่น บรรดาแม่ทัพนายกองรวมไปถึงทหารเลวทั้งหลายก็พากันตกใจ ก่อนที่พวกเขาจะหยุดเดินและเงยหน้าขึ้นมอง ซึ่งเมื่อพบว่าผู้พูดคือจ้านอู่ตี้ สีหน้าพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นดีใจอย่างรวดเร็ว ด้วยตัวตนของจานอู่ตี้ในสายตาของพวกเขาคือเทพเจ้าแห่งสงคราม !

…เพียงแค่การปรากฏตัวของเขา ความกลัวในใจนายกองและทหารของกองทัพหนิงก็พลันลดลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นว่าทหารพวกนั้นตั้งสติได้แล้ว จ้านอู่ตี้ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แล้วจึงชี้ใบมีดไปข้างหน้าพร้อมตะโกน “พวกเจ้าทุกคนจงหลีกทางให้ข้า !” พูดจบเขาก็เร่งม้าไปข้างหน้าและพุ่งตรงไปที่เป้าหมาย

เมื่อเข้าใกล้มากพอ ในที่สุดจ้านอู่ตี้ก็ได้เห็นเข้ากับทหารม้าที่ทั่วร่างห่อหุ้มไปด้วยเกราะอย่างถนัดตา ซึ่งภาพตรงหน้ามันก็ทำให้ตกใจยิ่ง ก่อนที่จ้านอู่ตี้จะหัวเราะแล้วทำการเรียกเกราะกับอาวุธปราณออกมา

จังหวะเดียวกันกับที่เขาเพิ่งเสร็จสิ้นการสร้างเกราะปราณ หนึ่งในทหารม้าเกราะหนักก็ได้เข้ามาถึงตรงหน้าเขาแล้วพร้อมแทงหอกยาวในมือตรงไปที่หน้าอก !

“รนหาที่ตายซะแล้ว !” จ้านอู่ตี้ตะคอกขณะที่ยกดาบขึ้นขวางหอกของศัตรูอย่างง่ายดาย ก่อนจะฟันสวนกลับไปข้างหน้าจนทำให้เกิดเสียงแตกดังสนั่น !

…เป็นหัวของอัศวินเกราะหนักนายนั้นที่ตกลงกับพื้น ทำให้ร่างที่ไร้ศีรษะแกว่งไปมาบนหลังม้า 2-3 ครั้งจากนั้นก็ตกลงมา

ก่อนที่จ้านอู่ตี้จะได้ทันทำอะไรต่อ ทหารม้าเกราะหนักอีกสิบคนก็รีบวิ่งขึ้นมาจากด้านหลัง พร้อมกับที่พวกเขาพากันส่งหอกโลหะที่ทั้งหนาและหนักจ้วงแทงออกมา !

“โง่เขลา ! ตายซะ !” แม้ว่าจะมีศัตรูมากมายอยู่ตรงหน้า ทว่าจ้านอู่ตี้ก็ไม่ได้ตื่นตระหนก ทั้งยังตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะทำการส่งกระแสปราณเข้าซัดใส่พวกทหารม้าเกราะตรงหน้าอย่างรุนแรง

เกราะบนร่างกายของพวกเขานั้นหนาและหนักเกินไป ดังนั้นต่อให้โดนกระแสปราณพวกนี้เข้าไป พวกเขาก็เพียงแค่บาดเป็นบาดแผลนับไม่ถ้วนก็เท่านั้น หาได้มีบาดแผลที่ถึงแก่ชีวิตไม่ และนอกจากนี้ โดยธรรมชาติแล้วนั้น ชาวเมืองเบสซาก็นับได้ว่าเป็นชาติพันธุ์ที่แข็งแกร่งอย่างมาก จึงทำให้การได้รับบาดเจ็บไม่สามารถหยุดพวกเขาได้เลยจากการต่อสู้ !

เมื่อเห็นดังนั้น จ้านอู่ตี้ก็พลันเบิกตาโต เพราะถึงแม้หอกของอีกฝ่ายจะไม่น่ากลัวมากนัก หากทว่าการป้องกันของพวกเขานั้น ก็นับได้ว่าน่าประทับใจยิ่ง ! เพราะแม้แต่ทักษะอย่างสายลมลักซ่อนก็ไม่สามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้ ซึ่งก็คงเป็นเพราะนี่กระมั่ง ที่ทำให้ทหารฝั่งเขาไม่สามารถต้านรับเอาไว้ได้เลย !

ขณะที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ มือของเขาก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ ในจังหวะที่คู่ต่อสู้กำลังถอยหอกแล้วแทงกลับมาอีกครั้ง จ้านอู่ตี้ก็ใช้จังหวะเวลานั้นในการกวาดดาบออกไป จนทำให้เกิดเสียงโลหะเสียดสีกันจนเกิดประกายไฟ ก่อนที่เกราะหนักของทหารม้าเบสซ่าจะแตกออกราวกับเศษกระจก เปิดช่องให้ใบมีดตัดผ่านหน้าอกไปจนถึงกระดูกบริเวณหน้าอก

โดยไม่มีเวลาให้พักหายใจ จ้านอู่ตี้ก็ได้ฟาดด้วยมือของเขาเข้าใส่อีกครา ทำให้มีทหารม้าเกราะหนักจำนวนไม่น้อยที่ตกจากหลังม้า ก่อนที่เขาจะส่งพลังปราณเข้าไปปั่นป่วนความคิดคนพวกนั้นแล้วจึงตามไปด้วยคลื่นปราณคลั่งที่ปล่อยออกไป !

คลื่นปราณคลั่งเป็นวิชาที่ต่อยอดมาจากปราณวายุคลั่ง ซึ่งพลังของมันก็แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เพราะเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ทหารม้ากว่าร้อยคนที่กำลังพุ่งเข้ามาก็พากันล้มลงกับพื้น ศีรษะถูกตัด เช่นเดียวกับแขนและขาที่หลุดออกจากกัน

จ้านอู่ตี้สังหารศัตรูหลายร้อยคนทันทีที่เข้าสู่การต่อสู้ ซึ่งมันก็ช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจของกองทัพหนิงได้เป็นอย่างดี และด้วยการเพิ่มจำนวนทหารที่เข้าร่วมการสู้รบนี่เอง ที่ทำให้พวกหนิงมีขวัญและกำลังใจมากขึ้นแบบทวีคูณ !!! จนพวกเขาพากันโถมตัวเข้าใส่พวกเบสซ่าอย่างบ้าคลั่งในทันที !

จุดแข็งของทหารม้าเกราะหนักคือการสร้างแรงกระแทกจากการพุ่งไปข้างหน้าเท่านั้น ดังนั้นเมื่อพวกเขาถูกสกัดไว้แบบนี้ ความได้เปรียบที่เคยมีมันก็หายไป และถึงแม้ว่าการป้องกันของพวกเขาจะยังคงแข็งแกร่ง หากแต่ภัยคุกคามของพวกเขาในสายตาของกองทัพหนิงก็ลดลงอย่างมากทีเดียว

เมื่อมองไปที่สถานการณ์ในสนามรบโดยรวม จ้านอู่ตี้ก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะถึงแม้ทหารม้าของศัตรูจะทรงพลังมาก แต่พวกนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรกับคนของเขาได้อีกต่อไป และในขณะที่เขารู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองอยู่นั่น ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนจากทหารม้า ก่อนจะเป็นทหารม้าผู้หนึ่งที่พุ่งตัวออกมาพร้อมกับหอกในมือ !

จ้านอู่ตี้ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเพียงโบกกระบี่ในมืออย่างลวก ๆ เพื่อปัดปายหอกของอีกฝ่าย ทว่าพลังที่เข้ามานั้นมากเกินไป ทำให้หอกเบี่ยงเบนไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และกว่าที่จ้านอู่ตี้จะทันตระหนักถึงมัน ปลายหอกก็ได้กระแทกเข้าที่ไหล่ของเขาอย่างรุนแรงเสียแล้ว

กร็อบ !

หอกนั่นทรงพลังมากทีเดียว ทำให้เกราะปราณบริเวณไหล่ของจ้านอู่ตี้เกิดรอยแตกหลายจุด จนปลายหอกแทงทะลุเนื้อไปครึ่งนิ้ว ซึ่งมันก็ทำให้จ้านอู่ตี้รู้สึกเสียหน้าอย่างรุนแรง

เขาคำรามด้วยความโกรธ รีบยกมือขึ้นคว้าปลายหอกนั่น จากนั้นมืออีกข้างของเขาก็เหวี่ยงดาบปราณสับลงที่หัวของอีกฝ่ายด้วยพลังทั้งหมดที่มี “เจ้า ! ตายซะ !”

ใบมีดถูกฟาดฟันด้วยความโกรธที่รุนแรงของจ้านอู่ตี้ ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงหนัก ๆ ของอะไรบางอย่าง

ทหารม้าผู้นั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด พยายามดึงหอกออกมาเพื่อสกัดกั้นดาบนั่น ทว่ามือของจ้านอู่ตี้ก็ได้จับหอกไว้แน่น ทำให้เขาไม่สามารถถอนหอกของเขาออกได้ จนกระทั่งคมดาบปราณของอีกฝ่ายมาอยู่ที่เหนือหัวของทหารม้าคนนั้นแล้ว !

ปฏิกิริยาของเขารวดเร็วยิ่ง ในขณะที่ดาบปราณกำลังจะฟาดลงมา เขาก็พลันพลิกร่างไปด้านข้างลงจากม้าศึกลงสู่พื้น

ฉัวะ !

ก่อนที่เขาจะลงบนพื้น คมดาบของจ้านอู่ตี้ก็ได้เฉือนฟาดลงบนหลังม้าแล้ว ซึ่งคลื่นปราณที่ปล่อยออกมาก็ทำให้ม้าศึกแยกออกเป็นสองส่วนจนเกิดละอองเลือดขึ้นในอากาศ

ช่างเป็นพลังที่น่าตกใจยิ่งนัก ! ทหารม้าผู้นั้นตกใจและอดไม่ได้ที่จะถอยกลับ พร้อมกับนึกคิดว่าตัวเองโชคดียิ่งนักที่หลบมาได้ทันเวลา

เขาต้องการที่จะวิ่ง แต่จานอู่ตี้ก็เหมือนสิงโตคลั่งที่กัดไม่ปล่อย และในช่วงเวลาสำคัญนั่นเอง ก็ได้มีกระแสแสงเย็น ๆ บินตรงไปยังลำคอของจ้านอู่ตี้

ก่อนหน้านี้จ้านอู่ตี้เฝ้าสังเกตรอบ ๆ อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงสัมผัสได้ถึงอันตรายที่เข้ามาอย่างชัดเจน ซึ่งตัวเขาก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ที่จะใช้มือเข้าคว้า ‘ฟั่บ’ ลูกศรวิญญาณดอกหนึ่งเอาไว้ !

เมื่อความสนใจถูกถ่ายโอนไปที่การโจมตีที่เกิดขึ้น มันก็ทำให้ทหารม้าผู้นั้นไม่ชักช้าอีกต่อไป รีบอาศัยโอกาสที่เกิดขึ้นหลบหนีไปในทันที !

และเมื่อเขาเข้าใกล้ทหารม้าคนอื่น ๆ หนึ่งในนั้นก็พลันออกมารับ แล้วถามว่า “เบลน บาดเจ็บไหม ?”

ที่แท้ทหารม้าที่แทงจ้านอู่ตี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเบลน ลูคัส !! ซึ่งเมื่อเขาได้รับคำถามนั่น เบลดก็เพียงแค่ส่ายหัวไปมา ก่อนจะหันกลับไปมองที่จ้านอู่ตี้แล้วถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “เขาเก่งกาจขนาดนี้เชียวหรือ ? ” ในขณะที่พูด เขาก็ได้ใช้สายตามองไปรอบ ๆ และถามว่า “เมื่อกี้นี้ใครช่วยข้าไว้กัน ?”

ทหารม้าคนอื่น ๆ มองหน้ากัน ก่อนที่พวกเขาจะส่ายหัว บ่งบอกว่าไม่ใช่ตัวเอง

พวกเขาไม่รู้ว่าใครช่วยเบลน และแม้แต่จ้านอู่ตี้ก็งุนงงเช่นกัน “ใครมันปล่อยลูกศรทมิฬนี้ออกมา ถ้ามีความกล้านัก งั้นก็ออกมาให้ข้าเห็นหน้าซะ !”