ตอนที่ 11 ตรวจครั้งแรก
ฟางผิงกลับไปที่ห้องเรียน ตอบคำถามเฉินฟางไม่กี่ประโยค ก่อนจะเริ่มอ่านหนังสือที่ได้มาจากอาจารย์ประจำชั้น
พลิกดูลวกๆ อยู่สักพัก เขาก็ปวดหัวอย่างยิ่ง
วิชาเฉพาะของสายวรยุทธ์ เป็นความรู้ที่ข้องเกี่ยวไปหลากหลายแขนง
หลักๆ ของเนื้อหาเป็นการทำความเข้าใจกับร่างกายตัวเอง
ขึ้นชื่อว่าเตรียมพร้อมเป็นผู้ฝึกยุทธ์ หากโครงสร้างร่างกายของตัวเองยังไม่รู้ คงไม่อาจฝึกพลังออกมาได้
ร่างกายมนุษย์มีกระดูกกี่ชิ้น มีชีพจรหลักที่สำคัญกี่สาย ระบบไหลเวียนเลือดต่างๆ…
เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นความรู้ที่ต้องทำความเข้าใจไว้
การเรียงของกระดูก ชื่อเรียก ประโยชน์ของอวัยวะภายใน รวมทั้งศัพท์ชื่อเฉพาะที่ใช้ทางวรยุทธ์
ยังมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับทางการแพทย์และเภสัชวิทยา
นอกจากนี้หนังสือที่อาจารย์ให้มายังรวมถึง (ประวัติศาสตร์วรยุทธ์) (ชีวประวัติบุคคลสำคัญตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน) (ศาสตราวุธพื้นฐาน) (ชั้นเชิงศิลปะการต่อสู้พื้นฐานที่ควรรู้)…
อย่าพูดว่าอ่านอย่างละเอียดเลย แค่ลองหยิบออกมาเล่มหนึ่ง ฟางผิงพลิกไม่กี่หน้าก็ตาลายแล้ว
ทั้งหนังสือที่กองอยู่ตรงหน้าเขา รวมกันกว่าสิบเล่มได้
หากจะอ่านหนังสือพวกนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ คงต้องใช้เวลานานพอสมควร
แม้ว่าจะให้ฟางผิงอ่านหนังสือพวกนี้เหมือนอ่านนิยาย เกรงว่าเมื่ออ่านจบ เกาเข่าก็คงมาถึงพอดี
แต่หลังจากนี้ ฟางผิงยังต้องเตรียมตัวสำหรับวิชาวัฒนธรรมสักหน่อย
ส่วนมากก็เป็นบทเรียนของหลายปีก่อน แม้ว่าจะมีพื้นฐานอยู่บ้าง คิดจะทบทวนใหม่ ก็ไม่ใช่เรื่องแค่วันสองวัน
“ปวดหัวชะมัด!”
เฉินฝานที่นั่งด้านข้างเห็นใบหน้าฟางผิงซีดเผือด แม้ว่าจะไม่พอใจที่ฟางผิงไม่เคยพูดเรื่องสมัครสอบวรยุทธ์กับตัวเองมาก่อน แต่ยามนี้ ก็ยังคงเอ่ยปลอบใจ “งานจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับความพยายามของคน คงจะไม่เอาเงินค่าสมัครสอบไปทิ้งเสียเปล่าหรอกนะ?”
ฟางผิงมองค้อนไปที ในความคิดของนาย ฉันพยายามเพียงเพราะค่าสมัครสอบหมื่นหยวนหรือไง?
เฉินฝานไม่สนใจเขา กล่าวปลอบไปหนึ่งประโยค ก่อนจะเอ่ยต่อ “น่าเสียดาย พวกเราไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ หากกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ พลังกำลังล้นเหลือ ไม่นอนหลับสองสามวันยังได้”
“ได้ยินว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง สมองและความเร็วในการคิดจัดการเรื่องราวนั้นยังแตกต่างจากคนทั่วไป ผู้ฝึกยุทธ์พวกนั้น ไม่ว่าจะเปิดบริษัทหรือทำงานราชการ คนหนึ่งเทียบเท่ากับคนธรรมดาถึงสิบคน พลังช่างล้มหลามเป็นที่น่าตกใจจริงๆ”
“ฉันได้ยินว่า ตอนที่ปรมาจารย์หม่าก่อตั้งบริษัท เงินทุนนั้นมีจำกัด กำลังคนก็ไม่พอใช้ ทำงานเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่หลับไม่นอน อาทิตย์หนึ่งทำงานเหมือนที่คนธรรมดาทำทั้งปี เวลานั้นความสามารถทางวรยุทธ์ของปรมาจารย์หม่าก็ยังไม่ได้สูงนัก เปลี่ยนเป็นตอนนี้ ไม่แน่ว่า ทำงานทั้งเดือนโดยไม่นอนก็ยังไหว คิดแล้วน่าอิจฉาจริงๆ หากพวกเรามีร่างกายและพละกำลังของผู้ฝึกยุทธ์ วิชาวัฒนธรรมจะนับเป็นอะไรกัน สอบได้คะแนนเต็มคงเป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก”
เฉินฝานเผยใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย การสอบเกาเข่าในปัจจุบัน ทุกปียังมีคนที่สอบได้คะแนนเต็มอยู่ไม่น้อยจริงๆ
บางคนเป็นนักเรียนมัธยมปลายในเมืองใหญ่ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่ระยะห่างก็ไกลจากผู้ฝึกยุทธ์ถึงก้าวหนึ่ง
ในสถานการณ์แบบนี้ แม้คนพวกนี้จะแบ่งสมาธิไปทำหลายอย่าง แต่ความสามารถในการเรียนรู้และความจำกลับเป็นที่น่าตกใจ
ทุกปีคนที่สอบได้คะแนนเต็มในแต่ละมณฑลแทบจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์โดยสิ้นเชิง
คนพูดไม่สนใจ คนฟังกลับตื่นตัวขึ้นมา
ฟางผิงเลิกคิ้วเล็กน้อย เฉินฝานไม่มีความสามารถนี้ ใช่ว่าตัวเองจะไม่มีเสียหน่อย
ประโยชน์ของการมีปราณที่แข็งแรง ฟางผิงได้ประสบพบเจอกับตัวเองอยู่บ้าง
เมื่อวานค่าปราณเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ฟางผิงรู้สึกว่าตัวเองมีกำลังวังชามากกว่าเดิมจริงๆ หากเป็นเมื่อก่อน เขานอนดึกตื่นเช้าคงง่วงหงาวหาวนอนไปแล้ว
แต่ตอนนี้ กลับไม่มีอาการเช่นนั้นแม้แต่น้อย
นี่คงเป็นประโยชน์จากการที่ค่าปราณเพิ่มขึ้น ทำให้คนธรรมดามีกำลังวังชามากกว่าเดิม
ถ้าอย่างนั้น ‘จิตใจ’ ที่อยู่บนแถบนั้นมีประโยชน์ยังไงล่ะ?
ฟางผิงมีคำตอบในใจอยู่เลือนราง บางทีครั้งหน้าตัวเองควรจะลองเสียหน่อย
ค่าจิตใจเพิ่มขึ้น หากสามารถทำให้ความจำและเข้าใจเรื่องอะไรได้ง่ายขึ้น อย่างนั้นการสอบภายหลังก็คงไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้ว
แม้ว่าจะไม่ได้คะแนนสูงสุด ขอเพียงแค่ทำได้ถึงมาตรฐาน ฟางผิงก็พอใจแล้ว
คำพูดที่เฉินฝานเอ่ยออกมาส่งๆ กลับทำให้ฟางผิงรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย ดูท่า ต้องคิดวิธีหาเงินเพื่อทดลองเสียหน่อย
ไม่ว่าจะเพิ่มค่าปราณ หรือเพิ่มค่าจิตใจ ต่างก็หนีไม่พ้นเงินทั้งนั้น
ไม่มีเงิน ทุกอย่างย่อมหมดหวัง
—
คาบเรียนตอนกลางวัน หลักๆ ยังคงเป็นฝึกทำแบบทดสอบ
ฟางผิงไม่ได้ปล่อยเวลาเสียเปล่า ส่วนมากมักจะอ่านหนังสือ ไม่ได้ขยับปากกาแต่อย่างใด
อาจารย์เห็น ก็ไม่ได้พูดอะไร มาถึงตอนนี้แล้ว ทั้งหมดล้วนมาจากความสมัครใจเอง
ยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์หลายคนก็ได้ยินว่าฟางผิงสมัครสอบวรยุทธ์เช่นกัน!
ดังนั้นแม้ในคาบเรียนฟางผิงจะเอาหนังสือวิชาเฉพาะของวรยุทธ์มาอ่าน พวกอาจารย์ก็จะไม่รบกวน
เวลาหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อกริ่งเลิกเรียนช่วงบ่ายดังขึ้น ครั้งนี้ฟางผิงจึงไม่ได้แยกไปกับพวกเฉินฝาน แต่ไปหาอู๋จื้อหาวแทน
อู๋จื้อหาวกำลังเก็บกระเป๋า เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มไปพลาง “เห็นวันนี้นายเอาแต่อ่านวิชาเฉพาะ เป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ยังพอไหว ไม่ได้ยากเกินไป แต่ซับซ้อนเสียมากกว่า”
“บางเรื่องก็ไม่ออกสอบ กลับไปรอฉันถ่ายเอกสารสรุปให้นายแล้ว อ่านที่ฉันจดไว้ก็เพียงพอแล้ว ถึงเวลานั้นมีตรงไหนไม่เข้าใจ มาถามฉันได้”
“ขอบคุณ ลำบากนายแล้ว”
ฟางผิงขอบคุณเขาอีกครั้ง ช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ ไม่ง่ายนักที่อู๋จื้อหาวจะพูดอย่างนี้ออกมา
นักเรียนหัวกะทิบางคน เมื่อถึงเวลาสอบ มักจะชอบใจหากคนอื่นไม่รู้เรื่องรู้ราว ตัวเองเข้าใจคนเดียวถึงจะดีที่สุด
แน่นอนว่า นี่รวมถึงการสอบใหญ่อย่างสายวรยุทธ์ ไม่ได้มีแค่ในชั้นเรียนเท่านั้น
อู๋จื้อหาวก็ไม่ได้เห็นฟางผิงเป็นคู่แข่ง คู่แข่งของเขาเป็นพวกนักเรียนห้องพิเศษต่างหาก
เป็นนักเรียนหัวกะทิทั้งหมดของเมืองหยางเฉิง รวมถึงนักเรียนแนวหน้าระดับประเทศพวกนั้น
ฟางผิงเป็นเพียงคนที่กระทั่งความรู้พื้นฐานยังไม่เข้าใจ ไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นคู่แข่งเขาแล้ว
หากข้อมูลพวกนี้ยังไม่รู้ จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ยังไง?
ทั้งสองคนพูดคุยกัน เดินออกจากโรงเรียนไปพลาง
—
บ้านของอู๋จื้อหาวอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก
ใช้เวลาเดินทางประมาณสิบนาทีกว่าเท่านั้น เป็นย่านเล็กๆ เช่นกัน แต่สภาพแวดล้อมดีเยี่ยม นับเป็นย่านพวกคนรวยของเมืองหยางเฉิง
เมื่อถึงด้านนอกชุมชน ฟางผิงก็มองไปแวบหนึ่ง เขานึกไม่ถึงอยู่บ้าง ยังคิดว่าอย่างน้อยบ้านของจื้อหาวต้องเป็นบ้านเดี่ยวเสียอีก
ความจริงฟางผิงไม่ได้รู้จักมักคุ้นเพื่อนนักเรียนคนนี้นัก แม้จะเป็นชาติก่อน ทั้งสองคนก็ไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กันมากมายเช่นกัน
แต่เมื่อคิดดูแล้ว ก็คล้ายจะเป็นปกติ
แม้ว่าฐานะทางบ้านของอู๋จื้อหาวจะดี แต่ก็มีจำกัดอยู่ ไม่อย่างนั้นคงจะเรียนห้องเรียนพิเศษไปแล้ว ห้องเรียนพิเศษมัธยมปลาย หากคุณยัดเงินนิดหน่อยก็เข้าได้แล้ว
แน่นอนว่า มีความเป็นไปได้ที่จะยอมเป็นหัวหมาไม่เป็นหางราชสีห์เช่นกัน จึงได้เลือกห้องเรียนธรรมดา
ย่านเล็กๆ เรียบหรู นิติบุคคลของหมู่บ้านก็มีความรับผิดชอบ ไม่เหมือนบ้านของฟางผิง ใครจะเข้าออกก็ได้ แต่ที่นี่ต้องรูดบัตรเข้าประตู
ทั้งสองคนเข้ามาในย่านชุมชน จื้อหาวเอ่ยไปพลาง “วันมะรืนรุ่นพี่หวังจะมาโรงเรียน ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสพูดคุยเป็นการส่วนตัวสักหน่อยหรือไม่”
“ครั้งนี้นับว่าโรงเรียนจัดการได้อย่างตรงจุด รุ่นพี่หวังเป็นไอดอลของนักเรียนห้องธรรมดาอย่างพวกเรา ปีก่อนมีนักเรียนห้องธรรมดาสองคนที่สอบวรยุทธ์ได้ รุ่นพี่หวังเป็นหนึ่งในนั้น”
“ก่อนสอบเกาเข่า ที่จริงคะแนนของพี่หวังนั้นธรรมดา แต่เดือนสุดท้าย จู่ๆ ก็มีข่าวว่าพี่หวังสอบเข้ามหาวิทยาลัยวรยุทธ์เจียงหนานได้ ทุกคนตกใจไปตามๆ กัน ก็ไม่รู้ว่ามีเคล็ดลับอะไร หากรู้ถึงจุดนั้นได้…”
อู๋จื้อหาวบ่นพร่ำไม่กี่ประโยค รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แม้ว่าจะมีเคล็ดลับ เรื่องแบบนี้อีกฝ่ายก็คงไม่เอามาพูดให้คนอื่นฟังอยู่ดี
ฟางผิงฟังจบก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ไฉนเขาฟังแล้ว กลับเหมือนว่าคล้ายตัวเองเสียอย่างนั้น?
หรือว่าอีกฝ่ายก็กลับมาเกิดใหม่เหมือนกัน?
แต่หลังจากนั้นอู๋จื้อหาวก็พูดต่ออีก ฟังดูกลับไม่เหมือนแล้ว คงจะเป็นคนธรรมดาที่พยายามอย่างสุดกำลังมากกว่า
—
ระหว่างที่พูดคุย ทั้งสองคนก็มาถึงบ้านของอู๋จื้อหาว
ชั่วพริบตาที่เปิดประตู อู๋จื้อหาวก็เผลอสังเกตปฏิกิริยาของฟางผิงอย่างไม่รู้ตัว ปรากฏว่าฟางผิงนั้นเผยใบหน้าเรียบนิ่ง กลับทำให้อู๋จื้อหาวแปลกใจอยู่บ้าง
บ้านของตระกูลอู๋หลังไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว ทั้งยังแบ่งเป็นสองส่วน ด้านบนด้านล่างตกแต่งอย่างหรูหราตามยุคสมัย
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกตินักเรียนฐานะอย่างฟางผิงเข้ามาในบ้านล้วนจะเกิดความอิจฉา แม้จะไม่อิจฉา แต่ก็ไม่ถึงกับนิ่งทื่อไม่แสดงอาการอะไรเช่นนี้
แต่ฟางผิงไม่แสดงอะไรให้เห็นจริงๆ สีหน้าเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
หากฟางผิงล่วงรู้ความคิดของอู๋จื้อหาว ก็คงทำให้อีกฝ่ายสมหวังไปแล้ว น่าเสียดายที่ยามนี้ฟางผิงไม่ได้คิดมากมายเพียงนั้น
ส่วนอิจฉาหรือตกใจหรือไม่ ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งนั้น
ชาติก่อนหลังจากฟางผิงเรียนจบ ภายใต้แรงสนับสนุนของพ่อแม่ รวมทั้งการเก็บหอมรอมริบของตัวเอง จึงซื้อบ้านหลังไม่เล็กแห่งหนึ่ง แม้ว่าจะตกแต่งเรียบง่าย แต่เทียบกับบ้านตระกูลอู๋แล้ว ก็ไม่ต่างกันมากนัก
ทั้งฟางผิงยังซื้อในเมืองเอกของมณฑล หากเทียบกันจริง เกรงว่าจะราคาจะสูงลิ่วกว่าบ้านสองชั้นของตระกูลอู๋เสียอีก
ยังไม่นับที่เขาทำงานมาหลายปี มีประสบการณ์และความรู้มากมาย
บ้านเดี่ยวในเมืองหลวงและเซี่ยงไฮ้ล้วนเคยเข้าไปหมดแล้ว จะมาตกใจกับบ้านสองชั้นในเมืองเล็กๆ ได้อย่างไรกัน
—
ในบ้านของจื้อหาวมีคนอยู่ นั่นก็คือมารดาของเขา
ลูกชายพาเพื่อนกลับบ้านมาด้วย ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เอ่ยเป็นมารยาทไม่กี่คำ ก่อนจื้อหาวจะพาฟางผิงขึ้นไปชั้นบน
เขาเอาโน้ตสรุปของตัวเองให้ฟางผิงก่อน ไม่นานอู๋จื้อหาวก็พาฟางผิงออกจากห้องหนังสือ เดินไปยังห้องด้านข้าง
“นี่เป็นห้องออกกำลังกาย เครื่องวัดค่าปราณอยู่ทางนี้”
อู๋จื้อหาวเปิดประตูห้องออกกำลังกาย ที่จริงภายในห้องถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย เครื่องเล่นต่างๆ ก็มีไม่มาก
ดัมเบล บาร์เบล ลู่วิ่ง เครื่องยืดขาล้วนครบครัน ส่วนอีกเครื่องหนึ่ง ฟางผิงไม่เคยเห็นมาก่อน ห้องออกกำลังกายในชาติที่แล้ว เขาก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน
มีลักษณะคล้ายกับเก้าอี้นวดอยู่บ้าง แต่ด้านข้างมีหน้าจอแสดงผลเชื่อมอยู่ หากเดาไม่ผิดก็คงเป็นเครื่องวัดค่าปราณ
ความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นว่า สายตาของฟางผิงยอดเยี่ยมไม่น้อย อู๋จื้อหาวเดินนำฟางผิงไปด้านข้าง ‘เก้าอี้นวด’ เอ่ยทั้งหัวเราะ
“นี่ก็คือเครื่องวัดปราณ แต่บ้านของฉันเป็นแบบธรรมดากว่า เทียบกับของโรงพยาบาลไม่ได้ เครื่องของโรงพยาบาลนั้นคล้ายกับแคปซูลอวกาศ ตรวจได้อย่างครบครัน ส่วนบ้านของฉัน ทำได้เพียงตรวจคร่าวๆ เท่านั้น นายนอนลงไป ฉันจะช่วยเชื่อมต่อเซนเซอร์กับเครื่องให้ อีกเดี๋ยวให้นายออกแรง…”
“ออกแรง?”
ฟางผิงงงงวยเล็กน้อย อู๋จื้อหาวอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ปกติปราณมักจะสงบตลอดเวลา ต้องทำให้ปราณพลุ่งพล่านถึงจะพุ่งไปจุดสูงสุดได้”
“ไม่เพียงแต่ร่างกายที่พลุ่งพล่าน อารมณ์ก็เช่นกัน การตรวจค่าปราณ ไม่เพียงต้องใช้เลือด แต่รวมถึงอากาศที่ไร้รูปร่าง อันนี้ฉันก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง เดี๋ยวถ้าร่างกายและอารมณ์ของนายพลุ่งพล่านขึ้นมา ก็จะถึงจุดสูงสุดของนายเอง”
“เห็นคันเหยียบด้านล่างไหม? อีกเดี๋ยวใช้แรงเหยียดขา พยายามยืดแขนสองข้างออกไปให้สุดแรงเลย ตอนนี้แค่ตรวจสอบด้วยตัวเอง ไม่มีอะไรหรอก ถึงเวลาที่ต้องตรวจร่างกาย ต้องเค้นแรงออกมาให้สุด…”
อู๋จื้อหาวอธิบายพักใหญ่ รอจนฟางผิงพยักหน้าเป็นนัยว่าเข้าใจแล้ว เวลานี้จึงบอกให้ฟางผิงนอนลงไป
เมื่อฟางผิงนอนลงไปแล้ว อู๋จื้อหาวก็เดินไปรอบ ‘เก้าอี้นวด’ ถือ ‘เซนเซอร์’ ไม่กี่เส้นที่มีรูปร่างคล้ายหูฟังขึ้นมา ก่อนจะแปะไปที่หัวใจ หน้าผาก แขนและขาทั้งสองข้าง และส่วนอื่นๆ ของฟางผิงอีกไม่กี่แห่ง
“เวลาที่ตรวจร่างกายจริงๆ จะไม่เหมือนกับตอนนี้ ถึงเวลานั้นไม่ต้องแปะเซนเซอร์บนร่างของนาย แต่จะเข้าไปในเครื่องตรวจค่าปราณ นายจะขยับเขยื้อนได้อิสระ เครื่องตรวจปราณจะดำเนินตามกระบวนการ ผลตอบรับที่ได้จึงค่อนข้างเด่นชัด ถึงเวลานั้นก็จะสามารถวัดค่าปราณที่แท้จริงของนายออกมาได้”
พูดจบ อู๋จื้อหาวก็เปิดจอแสดงผลด้านข้าง เร่งเอ่ยว่า “จะเริ่มแล้ว อย่าลืมว่าต้องออกแรงให้ได้มากที่สุด อารมณ์ถึงจะพุ่งขึ้นตาม ถ้าคิดไม่ออกก็ลองนึกถึงหนังผู้ใหญ่…”
ฟางผิงที่เดิมทีเตรียมจะออกแรง แทบจะสติหลุด หมอนี่ ไม่ได้สงบเสงี่ยมเหมือนที่เห็นจริงๆ
เขาไม่สนใจหมอนี่แล้ว ค่อยๆ สูดลมหายใจ ก่อนจะถีบขาทั้งสองข้างลงไปที่คันเหยียบอย่างแรง ยืดแขนทั้งสองออกไปสุดกำลังเช่นกัน!
อู๋จื้อหาวที่อยู่ด้านข้าง จ้องมองจอแสดงผลอย่างสงสัยอยู่บ้าง…
————————