ตอนที่ 12 คำสาบานอันโหดร้าย!
ภายในห้องออกกำลังกาย
ตัวเลขบนหน้าจอแสดงผลขยับไปมาอย่างไม่สาย
เมื่อเสียงหอบหายใจของฟางผิงดังขึ้น ตัวเลขก็ค่อยๆ คงที่
“หนึ่งร้อยสิบสามแคล!”
อู๋จื้อหาวไม่อยากจะเชื่อ!
เป็นเรื่องจริงที่ว่า เครื่องตรวจค่าปราณขนาดเล็กนี้มีความคลาดเคลื่อน
แต่ก็คลาดเคลื่อนเพียงห้าแคลเท่านั้น!
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ค่าปราณของฟางผิง ต่ำสุดคือหนึ่งร้อยแปดแคล ค่าสูงสุดอยู่ที่หนึ่งร้อยสิบแปดแคล เป็นไปได้อย่างไรกัน!
“เป็นไปได้ไงเนี่ย!”
อู๋จื้อหาวไม่มีความคิดจะดูถูกฟางผิงจริงๆ แต่นี่ไม่สมเหตุสมผลเกินไป?
หากเป็นหยางเจี้ยน ตรวจค่าปราณครั้งแรกออกมาได้เท่านี้ เขาคงยอมรับได้
หยางเจี้ยนรูปร่างสูงใหญ่ มองแวบเดียวก็เห็นกล้ามเนื้อ ค่าปราณย่อมสูงกว่าคนทั่วไปเป็นธรรมดา
แต่แม้จะเป็นหยางเจี้ยน นั่นก็เพราะว่าฐานะบ้านของหยางเจี้ยนไม่ได้แย่ ทุกมื้อล้วนได้กินอาหารที่ดีๆ
ถึงจะเป็นเช่นนี้ คาดว่าค่าปราณครั้งแรกของหยางเจี้ยนก็คงไม่ได้สูงเท่านี้หรอก?
ฟางผิง…
เดิมทีในความคิดของอู๋จื้อหาว ฟางผิงสมัครสอบด้วยความมั่นใจ แม้จะว่าจะค่าปราณจะสูงกว่าคนทั่วไป หากสักหนึ่งร้อยสอง หนึ่งร้อยสามแคล เขาก็คงรับได้อยู่…
แต่ยามนี้?
ตัวเลขอยู่ที่หนึ่งร้อยสิบสามแคล ต่ำที่สูงคือหนึ่งร้อยแปดแคล ช่วงเวลาสั้นๆ กลับทำได้ถึงเกณฑ์ของพวกจางหนานและจางเฮ่า
นักเรียนแปดคนในห้องที่สมัครสอบ ค่าปราณต่ำที่สุดอยู่ที่หนึ่งร้อยหกแคล ก็หมายความว่า ยามนี้ฟางผิงไม่ใช่คนที่ค่าปราณต่ำที่สุด
ขณะมี่อู๋จื้อหาวนิ่งงันไป ฟางผิงก็ยังคงถีบที่พักเท้าอย่างขะมักเขม้น
ผ่านไปสักพัก เขาก็อดเอ่ยทั้งเหนื่อยหอบไม่ได้ “ได้หรือเปล่า?”
อู๋จื้อหาวดึงสติกลับมา กล่าวอย่างนิ่งงัน “ดะ…”
กำลังจะพูดว่าได้ จู่ๆ อู๋จื้อหาวก็พูดขึ้นมาใหม่ “เมื่อกี้น่าจะติดเซนเซอร์ไม่ค่อยดี นายลองใหม่อีกครั้งเถอะ”
ฟางผิงชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง แม้จะรู้สึกว่าหมอนี่พูดไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อรับน้ำใจคนอื่นมาแล้ว ลองอีกครั้งก็ไม่ได้เหนื่อยบ่ากว่าแรงนัก
จะว่าไปแล้ว การตรวจนี้ก็ใช้แรงไม่น้อย นับว่ายุ่งยากจริงๆ
รอจนอู๋จื้อหาวช่วยเขาติดเซนเซอร์อีกครั้ง ฟางผิงก็พยายามออกแรงสุดกำลังจนรู้สึกเมื่อยล้าไปหมด
อย่ามองว่ามันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แรงที่ปล่อยออกไปนั้นไม่น้อยเลย
สามนาทีให้หลัง ตัวเลขก็หยุดที่…หนึ่งร้อยแปดแคลอีกครั้ง
อู๋จื้อหาวขบคิดเล็กน้อย ครั้งนี้ขอบเขตอยู่ที่หนึ่งร้อยสามถึงหนึ่งร้อยสิบสามแคล รวมกับครั้งก่อน ค่าปราณของฟางผิงคงอยู่ราวๆ ที่หนึ่งร้อยแปดถึงหนึ่งร้อยสิบสามแคล
ค่าปราณสูงสุดไม่เท่าเขา ค่าปราณสูงสุดของเขาอยู่ที่หนึ่งร้อยสิบห้าแคล
แต่แม้จะต่ำที่สุด ก็อยู่ในจุดที่ยอดเยี่ยมแล้ว
อู๋จื้อหาวเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง “ดูเหมือนจะยังไม่ค่อยแม่น อยากลองอีกสักครั้งไหม?”
ฟางผิง “…”
มาถึงตอนนี้แล้วฟางผิงจะยังไม่รู้ได้ยังไงว่าหมอนี่คิดอะไรอยู่ เขาเอ่ยทั้งหน้าผากชื้นเหงื่อ “ช่างเถอะ ตอนนี้เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ออกแรงต่อไม่ไหว ตรวจไปก็ไม่ตรงหรอก”
คำพูดนี้กลับกล่าวมาไม่ผิด ภายใต้สถานการณ์ที่ร่างกายอ่อนล้า หากตรวจต่อไป ค่าก็จะยิ่งลดลงเรื่อยๆ
แต่ตัวเลขหนึ่งร้อยแปดแคลก็ยังทำให้อู๋จื้อหาวยากที่จะหายใจเป็นปกติอยู่ดี
ในใจนั้นมีความรู้สึกอิจฉาอยู่เลือนราง อู๋จื้อหาวอดถามไม่ได้ “ปกตินายมักกินของบำรุงร่างกายใช่ไหม? หรือกินพวกยาบำรุงปราณ?”
ของบำรุงนั้นมีสองประเภท อย่างแรกคืออาหาร อย่างที่สองคือยา
อาหารบำรุงจะเห็นผลช้า แต่จะราคาไม่แพง หากเทียบกับยาบำรุงก็จะสิ้นเปลืองเงินน้อยกว่า
ส่วนยาบำรุง แม้จะเห็นผลเร็ว แต่อย่างแรกคือราคาสูง อย่างที่สองกินมากไปก็ไม่ให้ผลดีนัก บางครั้งจะสิ้นเปลืองเสียเปล่า
ฟางผิงเห็นท่าทางของเขาราวกับกลัวว่าตัวเองจะพูดเรื่องพรสวรรค์ จึงรู้สึกเห็นใจ เอ่ยปลอบว่า “ที่บ้านให้ฉันกินของบำรุงทุกวัน ซื้อของอร่อยให้ฉันกินจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว คนทั้งบ้านล้วนคาดหวังให้ฉันสอบวรยุทธ์ได้…”
คำพูดนี้ไม่ว่าจะฟังยังไงก็ดูปลอม!
แม้อู๋จื้อหาวจะคิดว่าเป็นไปได้น้อย แต่เมื่อนึกถึงการวัดปราณในยามนี้ ยังไงค่าปราณของฟางผิงก็ไม่ได้สูงกว่าเขา จึงพอฝืนใจยอมรับได้
เมื่อกดความอิจฉาในใจลงไปได้ ก็กล่าวทั้งยิ้มขมขื่น “เอาเถอะ ฉันยังคิดว่าอย่างนายมากสุดน่าจะอยู่ที่หนึ่งร้อยห้าแคล แต่มาดูตอนนี้แล้วฉันน่าจะเดาผิดไป ค่าปราณของนายอยู่ระหว่าง หนึ่งร้อยแปดถึงหนึ่งร้อยสิบสาม ยังไงเครื่องตรวจนี้ก็ไม่ตรงเท่าไร หากตรวจหลายครั้งอาจจะพอประมาณได้บ้าง แต่หากอยู่ในสภาวะที่เหนื่อยล้าก็จะไม่น่าเชื่อถือแล้ว หากนายอยากรู้ค่าตัวเลขจริงๆ สามารถไปตรวจที่โรงพยาบาลอันดับหนึ่งได้”
ฟางผิงหัวเราะ “เรื่องนั้นไว้ค่อยว่าเถอะ ครั้งนี้ต้องขอบคุณมากจริงๆ”
“ไม่ต้องเกรงใจ…”
อู๋จื้อหาวเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดไป ท้ายที่สุดยังคงพูดต่อ “ถ้านายอยากได้ค่าปราณสูงกว่าหนึ่งร้อยสิบแคลขึ้นไป กลับบ้านก็บอกให้พ่อนายเตรียมพวกยาบำรุงไว้หน่อย นายเพิ่งจะสมัครสอบ บางเรื่องคงจะไม่เข้าใจเท่าไร โดยปกติแล้ว ก่อนที่พวกเราจะตรวจร่างกายต่างก็เตรียมพวกยาบำรุงทั้งนั้น หากฐานะทางบ้านมีปัญหา อย่างน้อยที่สุดควรจะเตรียมยาบำรุงเลือดเม็ดหนึ่ง หากดีกว่านี้อีกหน่อย ก็เตรียมยาบำรุงปราณ…”
“ยาบำรุงเลือด ยาบำรุงปราณ?”
ฟางผิงอดนึกถึงป้ายโฆษณาที่ตัวเองเจอมาก่อนหน้านี้ไม่ได้ ละล่ำละลักเอ่ย “ฉันไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้จริงๆ เมื่อก่อนก็ไม่มีเรื่องสมัครสอบวรยุทธ์อยู่ในหัว ยาบำรุงพวกนี้ต้องใช้เงินเท่าไรเหรอ?”
“ยาบำรุงเลือดประมาณห้าพันหยวน ยาบำรุงปราณจะแพงหน่อย ประมาณหนึ่งหมื่นหยวน”
“แล้วถ้าเป็นยาบำรุงเลือดและปราณล่ะ?”
ฟางผิงถามขึ้นมาอีกครั้ง นี่เป็นสิ่งมี่ปรากฏอยู่ในป้ายโฆษณา
“ดูเอาเองว่านายเหมาะกับแบบไหนเถอะ ที่จริงของพวกนี้มีราคาแตกต่างกัน ถ้าเป็นร้านยาปกติ หนึ่งเม็ดสามหมื่นหยวน แต่บางร้านก็ไม่มีใบอนุญาตประกอบการค้า ไม่แน่ว่าสักสองหมื่นก็ซื้อได้แล้ว แต่จะหายากอยู่บ้าง บางทีนายหาเจอ ทางร้านอาจจะไม่ขายให้นายก็ได้”
อู๋จื้อหาวพูดคร่าวๆ เมื่อเห็นฟางผิงจมดิ่งกับความคิด ก็เอ่ยว่า “ปีก่อนมหาวิทยาลัยวรยุทธ์เจียงหนานรับนักศึกษาค่าปราณต่ำสุดที่หนึ่งร้อยสิบสองแคล ที่จริงก็ไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป นายจะมีโอกาสถ้าสอบวิชาอื่นได้คะแนนดีเยี่ยม บางคนสอบสายสังคมได้คะแนนดี วิชาเฉพาะก็ไม่แย่ แต่อ่อนเรื่องปราณไปอยู่บ้าง ดังนั้นแค่หนึ่งร้อยสิบสองแคล จึงสามารถสอบผ่านเช่นกัน แต่หากคะแนนวิชาอื่นไม่ดี คาบเส้นมานิดเดียว ค่าปราณก็จำเป็นต้องสูงขึ้นแล้ว ฉันติดตามข่าวสารของมหาวิทยาลัยวรยุทธ์หนานเจียงมาโดยตลอด ทั้งเคยถามรุ่นพี่บางคน นักเรียนปีก่อนที่ผ่านส่วนมากล้วนมีค่าปราณอยู่ที่หนึ่งร้อยสิบห้า ปีนี้อาจจะสูงขึ้นมาอีกนิด ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่กังวลว่าจะสอบไม่ผ่านหรอก ถ้านาย…”
อู๋จื้อหาวชะงักไปอีกครั้ง เอ่ยอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “ตอนนี้ค่าปราณของนายเท่าไร ฉันก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก ฉันแนะนำให้นายไปตรวจที่โรงพยาบาล หากหนึ่งร้อยสิบแคลขึ้นไป นายก็ลองซื้อยาบำรุงเลือดและปราณมาลองดู”
“ยาบำรุงเลือดและปราณ?”
อู๋จื้อหาวพยักหน้าเอ่ย “อืม ของพวกนี้ล้วนเป็นยาบำรุงที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ได้ยินว่ายังมีตัวที่ดีกว่านี้ แต่ไม่มีผลกับพวกเรา ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ กินไปก็เสียเปล่า ยาบำรุงเลือดและปราณเป็นยาที่ให้ผลดีที่สุดอย่างหนึ่ง หากโชคดี ประสิทธิภาพของยาก็จะไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ยามที่ตรวจร่างกายมีโอกาสที่ค่าปราณจะเพิ่มสูงสามถึงสี่แคลเลยด้วยซ้ำ! แต่ยาบำรุงเลือดและปราณแพงอยู่บ้าง ประมาณหนึ่งแสนหยวน…”
ฟางผิงโยนความคิดนี้ทิ้งไปในชั่วพริบตา!
ล้อกันเล่นแล้ว มีเงินหนึ่งแสนหยวน เขาสามารถเปลี่ยนทรัพย์สินเป็นค่าปราณเสียด้วยซ้ำ แม้จะไม่รู้ว่าหลังจากนั้น อัตราแลกเปลี่ยนค่าทรัพย์สินจะยังเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร มีเงินหนึ่งแสนหยวน เขาเอาไปใช้ประโยชน์ได้ตั้งมากมาย คงไม่เอามาซื้อของเล่นเทือกนี้หรอก
ยาบำรุงเลือดและปราณจะดีอย่างไร ผลลัพธ์ก็มีแค่นั้น ยาอย่างอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เดิมทีฟางผิงยังสนใจยาบำรุงพวกนี้อยู่บ้าง ยามนี้กลับละทิ้งความคิดนี้ไปจนหมดสิ้น
เขามีค่าปราณ 1.1 เท่านั้น ตอนนี้ก็คือประมาณ หนึ่งร้อยสิบแคล หากเปลี่ยนเป็น 1.2 ไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นหนึ่งร้อยยี่สิบแคลแล้วเหรอ?
เงินหนึ่งแสนนั้น สำหรับพวกเขาแลกได้แค่ยาบำรุง ยามนี้ฟางผิงค่อยรู้ว่าตัวเองได้กำไรแล้ว
ทั้งสำหรับฟางผิง เงินพวกนี้ยังไม่หายไปไหน!
เมื่อการตรวจสิ้นสุดแล้ว ฟางผิงก็ไม่รั้งกายอยู่นาน เดินลงจากชั้นบนพร้อมกับอู๋จื้อหาว
แม่ของอู๋จื้อหาวมีน้ำใจอย่างยิ่ง รั้งตัวฟางผิงให้กินข้าวด้วยกัน
ฟางผิงย่อมไม่อาจอยู่กินข้าวได้ พูดเป็นมารยาทไม่กี่คำ ก็แบกกระเป๋าออกจากประตูไป
เมื่อเขาออกไป แม่ของอู๋จื้อหาวก็เอ่ยอย่างสงสัย “ไม่เคยเห็นเพื่อนคนนี้ของลูกเลย เพื่อนใหม่เหรอจ้ะ?”
อู๋จื้อหาวสั่นศีรษะ ก่อนจะอธิบาย “เพื่อนในห้องที่สมัครสอบวรยุทธ์ด้วยกัน ไม่เคยตรวจค่าปราณมาก่อน จึงมาขอตรวจที่นี่”
พอได้ฟัง แม่ของอู๋จื้อหาวก็เดาฐานะบ้านของฟางผิงได้ทันที
ไม่อย่างนั้น สมัครสอบวรยุทธ์ไปแล้ว ไหนเลยยังไม่เคยตรวจค่าปราณอีก
เธอจึงพลั้งปากถามออกมา “เด็กคนนั้นผอมอยู่บ้าง ค่าปราณคงไม่สูงเท่าไรสินะ?”
อู๋จื้อหาวเกาศีรษะ เอ่ยอย่างมืดมน “สูงอยู่ไม่น้อย ค่าต่ำสุดอยู่ที่หนึ่งร้อยแปดแคล แม่ว่าผมกินดีอยู่ดีขนาดนี้ ครั้งแรกที่วัดได้ก็ประมาณหนึ่งร้อยสามแคล เป็นเพราะตอนเด็กแม่ทารุณกรรมผมหรือเปล่า?”
แม่ของอู๋จื้อหาวมองค้อนลูกชายไปที ทารุณอะไรกันล่ะ เพื่อให้เจ้าลูกคนนี้สอบวรยุทธ์ได้ ครอบครัวของเธอแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว สองสามีภรรยาฝ่าฟันกันมาหลายปี ยามนี้กลับเหลือเพียงบ้านหลังนี้เท่านั้น
—
ย่านจิ่งหูหยวน
ตึกแถวที่ 6 ห้อง 101
วันนี้ฟางผิงกลับบ้านสายอยู่บ้าง ตอนที่กลับมา ทั้งครอบครัวก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว
ไม่รอให้พ่อแม่เอ่ยถาม ฟางผิงก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อน “พ่อ วันนี้จ่ายค่าสมัครสอบไปแล้ว อาจารย์ประจำชั้นยังมอบหนังสือที่จำเป็นต้องใช้ให้ผมกองใหญ่ ยังไม่หมดแค่นั้น พอเลิกเรียนผมก็ไปบ้านเพื่อน ขอยืมใช้เครื่องวัดค่าปราณ…”
“วัดค่าปราณ?”
แม้ว่าฟางหมิงหรงจะไม่สนใจเรื่องนี้เท่าใด แต่ก็เคยได้ยินมาบ้าง จึงเอ่ยอย่างแปลกใจ “สามารถทำในบ้านได้ด้วย?”
“อืม เป็นเครื่องขนาดเล็ก ไม่ค่อยตรงเท่าไร” ฟางผิงอธิบาย ก่อนจะเผยยิ้ม “พ่อ พ่อรู้หรือเปล่าว่าค่าปราณผมเท่าไร?”
ฟางหมิงหรงไม่เข้าใจเรื่องด้านนี้เท่าใด กลับเป็นฟางหยวนที่รู้อยู่บ้าง ฟังจบก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เก้าสิบห้าแคล? นายวิ่งนิดเดียวก็หอบแล้ว ร่างกายคงไม่แข็งแรง พี่ชายของเพื่อนฉันคนหนึ่งเคยไปตรวจได้หนึ่งร้อยสี่แคล ได้ยินว่าแค่นี้ก็สอบสายวรยุทธ์ได้แล้ว!”
ฟางผิงเอ่ยอย่างดูแคลน “หนึ่งร้อยสี่แคลก็คิดจะสอบวรยุทธ์ ช่างดูถูกวรยุทธ์เกินไป? ยังภาคภูมิใจกับเรื่องแบบนี้อีก ขายหน้าจริงๆ พี่ของเธอแค่ลองตรวจดูก็ได้มากกว่าหนึ่งร้อยสิบแคลแล้ว! ไม่แน่ว่ายังอาจจะต่ำกว่าค่าจริงอีก!”
ฟางหยวนกะพริบตาปริบ ก่อนจะส่งเสียง ‘เชอะ’ ออกมา หันไปทางบิดา “พ่อคะ ฟางผิงโม้อีกแล้ว! เพื่อหนูบอกว่า สอบวรยุทธ์ใช้แค่หนึ่งร้อยสิบแคล…”
“นั้นมันมาตรฐานเก่าแล้ว ปีก่อนเกณฑ์ต่ำสุดของมหาวิทยาลัยวรยุทธ์เจียงหนานคือหนึ่งร้อยสิบสองแคล โดยปกติก็ประมาณ หนึ่งร้อยสิบห้าแคล ปีนี้อาจจะสูงขึ้นอีกหน่อย แต่พี่ชายเธอมีพรสวรรค์ ร่างกายกำลังเติบโต ปราณก็อาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รอตอนที่ตรวจร่างกาย ฉันต้องถึงเกณฑ์มาตรฐานได้แน่ การสอบวรยุทธ์ปีนี้ ต้องผ่านไปด้วยดี!”
ฟางผิงพูดเช่นนี้เพื่อปลอบใจพ่อแม่ อย่างไรก็เงินตั้งหนึ่งหมื่นหยวน หากได้คะแนนน้อย ก็คงไม่มีสิ่งใดเป็นการแลกเปลี่ยน
แต่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ฟางหมิงหรงและหลี่อวี้อิงต่างก็นิ่งอึ้งไป
ลูกชายเข้าใกล้กับมหาวิทยาลัยวรยุทธ์ขนาดนี้เชียว?
สองสามีภรรยาไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง ทั้งสงสัยว่าลูกชายโม้เกินจริงไปหรือเปล่า?
แต่ฟางผิงกลับเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ท้ายที่สุดยังหยิกแก้มกลมของฟางหยวน เอ่ยสัญญา “หนึ่งร้อยสิบแคลจริงๆ หากไม่ใช่ ผมสาบานว่าหลังจากนี้จะไม่หยิกแก้มฟางหยวนอีกแล้ว!”
“แม่คะ!”
ฟางหยวนเผยสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม นายสาบานแล้วเอาฉันไปเกี่ยวด้วยทำไมเล่า!
———————