อี้เฉินเฟยและกู้ชูหน่วนทดสอบเลือดและยืนยันว่าไม่มีปัญหา คนที่ป้อมปราการยังต้องการให้ผู้ถือธงอื่นทดสอบเลือดกู้ชูหน่วนจึงตบไปอย่างแรง
“เดิมทีก็เร่งรีบอยู่แล้ว คนจำนวนมากเช่นนี้ทดสอบหมดจะต้องถึงเวลาใด? พวกเจ้าจงใจฝ่าฝืนคำสั่งของผู้นำกองธงหรือ? หรือว่าจงใจฝ่าฝืนคำสั่งของปรมาจารย์เจียง”
ตบนั้นเสียงดังยิ่งนัก
ผู้ถือธงที่เป็นผู้ดูแลผู้นั้นอั้นความโกรธอยู่เต็มอกพร้อมมองดูใบหน้าไม่พอใจของอี้เฉินเฟยและยอมทำตามวิธีการของกู้ชูหน่วนจึงได้ถูกกดดันลง จากนั้นก็ให้คนเตรียมกรงเลื่อนกระเช้าลอยฟ้า
ผู้คอยปรนนิบัติขึ้นรถกรงเลือนด้วยความหวาดกลัวโดยที่กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดใดขึ้นอีก
กลุ่มละยี่สิบคนซึ่งรวมทั้งหมดหกกลุ่ม กู้ชูหน่วนกับอี้เฉินเฟยเยี่ยเฟิงและคนอื่นๆเป็นกลุ่มแรก
ก่อนที่จะขึ้นกรงเลื่อนกู้ชูหน่วนหันศีรษะแล้วยิ้มให้กับผู้ถือธงที่เพิ่งถูกนางตบเมื่อครู่นี้ “พี่น้องข้าตบตีเจ้าเป็นคำสั่งของปรมาจารย์เจียง หากว่าเจ้าอัดอั้นความโกรธก็ไปหาปรมาจารย์เจียงได้ท้ายที่สุดเขานั่นคือผู้บงการ”
“……”
“ยังมีอีกนะ ปรมาจารย์เจียงบอกว่าสุขภาพของเจ้าไม่ดีและก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ เช่นไรข้านั้นก็ไม่เชื่อ”
“……”
ผู้ถือธงสวีผู้ดูแลผู้นั้นเป็นยอดฝีมือชั้นที่หนึ่ง
เมื่อได้ยินคำพูดของกู้ชูหน่วนในใจก็ราวกับบินผ่านม้าฝูงหนึ่ง
กระเช้าลอยฟ้าเริ่มเคลื่อนตัว กรงเลื่อนค่อยๆเคลื่อนไปตามเส้นทางเหล็ก
ซึ่งในเวลานี้ปรมาจารย์หลินได้นำคนไล่ตามมาอย่างเร่งรีบ คนยังมาไม่ถึงเสียงก็มาถึงก่อนแล้ว
“ขวางพวกเขาเอาไว้ ผู้นำกองธงไม่ได้สั่งให้นำตัวผู้คอยปรนนิบัติเหล่านั้นไป”
“อะไรนะ……หยุดกระเช้าลอยฟ้า เร็วเข้า…”
“สาย……สายเกินไปแล้ว พวกเขากำลังจะถึงยังป้อมปราการลูกที่ห้าแล้ว”
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมากโดยเฉพาะปรมาจารย์หลินและผู้ดูแลสวี
ปรมาจารย์หลินตะโกนว่า “เป่าเครื่องเป่าส่งสัญญาณแจ้งให้คนป้อมปราการที่ห้า จากนั้นเตรียมกรงเลื่อนให้ข้า ข้าจะไปตามด้วยตนเอง”
“ปรมา……ปรมาจารย์เพิ่งสั่งการเมื่อไม่นานนี้ว่าคืนหนึ่งมีกรงเลื่อนได้มากสุดเจ็ดกลุ่ม ผู้ดูแลกลุ่มที่หนึ่งพาเยี่ยเฟิงไปยังยอดเขาหลักแล้ว ยังมีอีกหกกลุ่มทั้งหมด……ทั้งหมดถูกพวกเขาใช้ไปหมดแล้ว”
“งั้นก็ไปยื่นขอ รีบไปยื่นขอกรงเลื่อนจะปล่อยให้พวกเขาจากไปไม่ได้โดยเด็ดขาด”
“ขอรับ…..”
บนป้อมปราการที่หกทุกคนวุ่นวายโกลาหลกันไปหมด
คนบางส่วนไปยื่นขอกรงเลื่อน คนบางส่วนก็เป่าเครื่องเป่าส่งสัญญาณการโจมตีของศัตรู ยุ่งวุ่นวายกันหมด
ในกรงเลื่อนผู้คอยปรนนิบัติได้ยินเสียงเครื่องเป่าส่งสัญญาณก็ตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือด
“ท่านจอมยุทธหลายคนพวกเขาสงสัยพวกเราแล้ว พวกเรา……พวกเรายังจะสามารถหนีรอดออกไปได้หรือ?”
“หวั่นวิตกอะไร น้ำถึงหัวสะพานก็ตรงเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”
เหล่าผู้ถือธงของป้อมปราการที่ห้าได้รับเครื่องเป่าสัญญาณการโจมตีของศัตรู แต่ละคนนั้นราวกับข้าศึกมาประกันเฝ้ารอกันอย่างขึงขัง ห่างเป็นระยะอันไกลก็ให้กู้ชูหน่วนและคนอื่นๆหยุดลง
กู้ชูหน่วนกลายเป็นผู้แสดงในทันที กรงเลื่อนยังไม่ถึงก็เปิดปากตะโกนว่า “ยอดเขาลูกที่หกถูกศัตรูโจมตีและตอนนี้กำลังไล่ตามพวกเรามา พวกเจ้ารีบเพิ่มกำลังคนขวางพวกเขาเอาไว้”
“ศัตรูโจมตี? ศัตรูกี่จำนวนเท่าไหร่?”
“ตอนนี้ไม่รู้แต่ศัตรูได้แปรเปลี่ยนเป็นลักษณะท่าทางของปรมาจารย์หลินและต้องการช่วยผู้คอยปรนนิบัติเหล่านี้ไป ผู้คอยปรนนิบัติเหล่านี้เป็นคนของผู้นำกองธง หากพวกเขาได้รับการช่วยเหลือไปผู้นำกองธงจะไม่ฝังพวกเราทั้งเป็นๆหรอกหรือ พวกเจ้าจะต้องขวางเอาไว้นะ”
เหล่าผู้ถือธงเชื่อครึ่งหนึ่งสงสัยครึ่งหนึ่ง
อี้เฉินเฟยก้าวไปข้างหน้าแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ยอดเขาทุกลูกมียอดฝีมือชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สองแม้กระทั่งว่ามียอดฝีมือชั้นที่สาม ผู้คนมากมายเช่นนี้หากว่าไม่สามารถขวางศัตรูจากการช่วยเหลือผู้คอยปรนนิบัติได้ เก็บพวกเจ้าเอาไว้ก็ไม่มีความหมายใด”
“คือว่า……โดดเดี่ยวอ้างว้าง” จู่ๆผู้ถือธงก็กล่าวขึ้น
กู้ชูหน่วนและอี้เฉินเฟยอดไม่ได้ที่จะนับถือโชคของตนเอง
ลูกที่หกและลูกที่ห้านั้นถูกต้อง พวกเขาล้วนรู้ข้อความลับทั้งหมด
“ดั่งดวงเดือนมีแสงมากมีแสงหม่น”