ง่ายดายเช่นนั้นเลยหรือ? อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้ถามมากความอีก นางทำความเคารพครั้งหนึ่ง “วันนี้ท่านกั๋วจิ้วพูดออกมาถึงเพียงนี้แล้ว ข้าไม่ใช่คนร้ายกาจ ข้าจะไม่เซ้าซี้ท่านแล้ว” นางเปลี่ยนน้ำเสียงให้ต่ำลง แล้วเชิดลำคอระหงขึ้น แววตาเป็นประกาย “ทว่าหากวันหน้าข้ารู้เข้าโดยบังเอิญ ก็คงต้องเชิญท่านกั๋วจิ้วมาซักไซ้อีก”
เจี่ยงยิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เด็กสาวตรงหน้าก็เก็บรอยยิ้ม พลางถอยหลังไปหลายก้าว ออกจากตำหนักเล็กไป
อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งเลี้ยวพ้นตำหนัก ก็พบเจิ้งหัวชินและเมี่ยวเอ๋อร์ที่กำลังมาตามหานางพร้อมสีหน้าลนลาน ครั้นทั้งสองเห็นนาง พวกเขาก็รีบวิ่งเข้ามาประคองมือของนาง เมี่ยวเอ๋อร์เกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว “ท่านเม่ของท่านเกิดเรื่องแล้ว! บ่าวกับท่านน้าเจิ้งเพิ่งถูกส่งไปที่โรงซักผ้าใกล้ๆ นี้ คิดว่าจะนำผ้าขนหนูแห้งไปให้ท่าน จะมีคนคอยคุ้มกันพวกเรา ทว่าเมื่อกลับมาอีกครั้ง ก็ได้ยินเพียงว่า…ฝ่าบาทเข้าไปข้างใน ทำเอาพวกข้าตกใจยกใหญ่”
เจิ้งหัวชิวกลับใจเย็นมากกว่า นางมองปราดเดียวก็รู้ว่าเมื่อครู่อาจจะมีคนจงใจแยกพวกนางออกจากกัน จึงรีบปิดปากของเมี่ยวเอ๋อร์ไว้ อีกฝ่ายจะได้ไม่เอะอะ และลอบลากตัวนางมาหาอวิ๋นหว่านชิ่น เมื่อได้เห็นว่าคุณหนูของนางยังสวมเสื้อผ้ามิดชิด นางถึงจะวางใจ แล้วพูดเสียงเบาว่า “คุณหนูอวิ๋นได้พบฝ่าบาทหรือไม่เจ้าคะ มีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไร กลับกระโจมก่อนค่อยว่ากัน”
ทั้งสามถือโคมออกจากบ่อน้ำขังบนไหล่เข้า กลับไปที่เรือนสตรีก่อน
ฝ่ายเจี่ยงยิ่นกลับป้องกันไม่ให้ใครเห็น เขารอให้อวิ๋นหว่านชิ่นเดินไปไกลก่อน ถึงจะเอามือไพล่หลังเดินออกจากตำหนักไป
องครักษ์เห็นท่านกั๋วจิ้วกลับมา จึงเข้ามาต้อนรับพร้อมกล่าวเสียงต่ำ “ท่านกั๋วจิ้ว…ฮองเฮาเรียกท่านไปพบขอรับ”
เจี่ยงยิ่นห่อไหล่ ก่อนจะไปยังตำหนักของเจี่ยงฮองเฮา เมื่อไปถึงใต้ตำหนักก็เห็นไป๋ซิ่วฮุ่ยถือโคมรออยู่แล้ว อีกฝ่ายก้าวเข้ามากล่าวเสียงอ่อนโยน “ท่านกั๋วจิ้วเชิญด้านใน ฮองเฮารออยู่นานแล้ว”
เจี่ยงฮองเฮาไปอาบน้ำตั้งแต่เวลาพลบค่ำ นางดูสบายตัวมาก บัดนี้นางกำลังพิงอยู่บนเก้าอี้ โดยมีนางกำนัลคอยปอกส้มให้นาง หลังจากปอกส้มเรียบร้อย นางกำนัลก็ใช้มีดหั่นผลไม้ขนาดเล็ก หั่นส้มให้เหลือแต่เนื้อส้มสีทองอวบอิ่ม แล้วย่างบนเตาดินเหนียวอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นย่างจนส้มอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว นางกำนัลถึงส่งให้ฮองเฮา ส้มจะได้ไม่เย็นเกินไปจนบาดกระเพาะ
หลังจากอาบน้ำแร่ ฮองเฮารู้สึกสบายตัวมาก ทั้งยังได้ส้มท้องถิ่นอันเป็นของบรรณาการ ที่มีรสชาติเปรี้ยวสามส่วน หวานเจ็ดส่วน เนื้อส้มฉ่ำน้ำ รสหวานล้ำถึงหัวใจ ทำให้ฮองเฮาอารมณ์ดียิ่งนัก ทว่าเมื่อครู่มีคนมารายงานเรื่องที่บ่อน้ำอย่างลับๆ ทำให้นางจิตใจหม่นหมอง บัดนี้เห็นพี่ชายมาแล้ว นางจึงไล่คนในตำหนักออกไปทั้งหมด แล้วกล่าวถามเสียงเบา “ที่บ่อน้ำนั่น ฮ่องเต้…ได้เจอแม่นางอวิ๋นจริงหรือ”
เจี่ยงยิ่นมองน้องสาวแท้ๆ ที่นั่งตำแหน่งในวังมาหลายปี “จริง ทว่าไม่มีอะไร ข้าพาแม่นางอวิ๋นออกมาได้ทันเวลา และกำชับกับองครักษ์หลายคนที่บ่อน้ำแล้ว ว่าอย่าได้แพร่งพรายอะไร พวกเขาปิดปากเงียบมาก ไม่มีทางพูดออกไปแน่”
เจี่ยงฮองเฮาหางตากระตุกโดยไม่รู้ตัว สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก “ทว่าฝ่าบาทเห็นนางแล้ว เช่นนั้นก็นับว่าเป็นพรหมลิขิต ครั้งนั้นแม่ของนางมีวาสนากับฝ่าบาท ครานี้ลูกสาวก็นับว่ามีวาสนากับฝ่าบาทเช่นเดียวกัน”
เจี่ยงยิ่นยืนตัวตรง เขารู้แล้ว ว่าเดิมทีเจี่ยงฮองเฮาก็รู้ว่าเด็กสาวนางนั้นเป็นใครเช่นกัน
ไป๋ซิ่วฮุ่ยคอยปรนนิบัติอยู่ด้านหลังฮองเฮา เมื่อได้ยินคำสั่งของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นอุบ มีสีหน้าเปลี่ยนไป
เมื่อเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นครั้งแรกที่สกุลอวิ๋น นางรู้สึกว่าเด็กสาวช่างคุ้นตานัก ต่อมาได้คิดดูอย่างละเอียด ถึงจำได้ว่าหน้าตาของอวิ๋นหว่านชิ่น คล้ายกับคนในภาพวาดที่นางเห็นเมื่อหลายปีก่อนอยู่แปดเก้าส่วน
ครั้นนางเพิ่งได้ปรนนิบัติอยู่ข้างกายฮองเฮา นางเคยติดตามฮองเฮาไปห้องบรรทมของฝ่าบาทครั้งหนึ่ง และได้เห็นภาพเหมือนหนึ่งในห้องหนังสือของพระองค์โดยไม่ได้ตั้งใจ ภาพเหมือนนั้นใช้กรอบทองหุ้มไว้อย่างดี บนแผ่นกระดาษเคลือบสารโปร่งแสงพิเศษสำหรับป้องกันหนอนแมลงไว้ชั้นหนึ่ง ครั้งนั้นฮ่องเต้หยิบภาพเหมือนนี้ออกมาชื่นชม และวางไว้บนโต๊ะทรงงาน
เพื่อไม่ให้ภาพเหมือนถูกทับถม เอกสารงานบ้านเมืองที่สำคัญยิ่งก็ยังถูกเลื่อนไปไว้ด้านข้างทั้งหมด
บนภาพเหมือนมีหญิงสาวงดงามผู้หนึ่ง จิตกรวาดภาพนี้ได้เหมือนจริงราวกับมีชีวิต นางในภาพคล้ายกับจะกระโดดออกมาจากในม้วนภาพวาดได้ทุกเมื่อ หญิงสาวมีหน้าตาสะสวยสมวัย ใบหน้าอิ่มเอิบ ดวงหน้าอ่อนโยนดุจสายน้ำ ขนตาสีดำคลับ ราวกับปีกของผีเสื้อของไม่ปาน ในมือของนางถือพัดปิดปลายคางแหลมไว้ครึ่งหนึ่ง ดูท่าทางสดใส ขี้เล่น และไร้เดียงสา ดึงดูดสายตายิ่งนัก
แม้จะได้เห็นเพียงแวบเดียว แต่ไป๋ซิ่วฮุ่ยกลับจำได้ชัดเจน ครานั้นนางเห็นสีหน้าของฮองเฮาหม่นลงทันทีที่เห็นนางในภาพ ทั้งยังขมวดคิ้วมุ่น ก่อนที่ฮองเฮาจะลากนางออกจากห้องหนังสือ ราวกับว่าภาพวาดนั้นเป็นภัยพิบัติหรือสัตว์ร้าย ไม่อยากแม้จะเห็นอีกครั้ง
ไป๋ซิ่วรุ่ยเห็นเจี่ยงฮองเฮาทำหน้าบึ้งใส่สตรีอื่นน้อยครั้งนัก แม้แต่พระสนมเหวยที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดในวังปัจจุบัน และคุณหนูสกุลเฮ่ยเหลียนที่โด่งดังอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เจี่ยงฮองเฮาก็ยังมีสีหน้าเรียบเฉยต่อทั้งสองคน ไม่เคยชักสีหน้าชัดเจน
ทว่าครั้งนั้น ไป๋ซิ่วฮุ่ยได้เห็นเจี่ยงฮองเฮาแสดงความเกลียดชังบนใบหน้าต่อสตรีนางหนึ่งเป็นครั้งแรก ที่น่าขันกว่านั้นก็คือสตรีนางนี้ไม่ใช่คนตัวเป็นๆ แต่เป็นคนในภาพวาดเท่านั้น
ไม่ต้องพูดไป๋ซิ่วฮุ่ยก็รู้ ว่าสตรีนางนี้จะต้องเป็นศัตรูคู่แค้นของเจี่ยงฮองเฮาในอดีต และยังเป็นคู่แข่งหัวใจตัวจริง นางถึงไม่กล้าถามมากความ
คิดไม่ถึงเลยว่า ในงานเลี้ยงสดับดนตรีต่อมา แม้แต่เจี่ยงฮองเฮาก็รู้สึกว่าอวิ๋นหว่านชิ่นคุ้นตานัก หลังจากนั้นไป๋ซิ่วฮุ่ยก็พูดถึงเด็กสาวอีกสองครั้ง เจี่ยงฮองเฮาคิดไปคิดมา ถึงได้รู้สึกว่ามีลับลมคมในอยู่บ้าง จึงส่งคนออกไปสืบสักหน่อย
สืบได้ความแล้ว เจี่ยงฮองเฮาถึงได้รู้ว่าสตรีนางนั้นแต่งให้กับอวิ๋นเสวียนฉ่างในท้ายที่สุด และเด็กสาวสกุลอวิ๋นที่ได้เจอในงานเลี้ยง ก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของสตรีนางนั้น มิน่าเล่าถึงได้หน้าตาคล้ายกันนัก
ทว่าคาดไม่ถึงเลย ฮ่องเต้เรียกคุณหนูอวิ๋นมาที่ชุมนุมล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง ให้ติดตามไปด้วยกันด้วย
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่าฮ่องเต้อยากพบกับเด็กสาวผู้นั้น และวันนี้พระองค์ก็ได้สมปรารถนาแล้ว
เจี่ยงฮองเฮาคิด ปลายนิ้วของนางจิกชายเสื้อแน่นโดยไม่รู้ตัว แต่บนใบหน้ากลับยังเรียบนิ่ง
เจี่ยงยิ่นจะไม่รู้ความรู้สึกของน้องสาวได้อย่างไร จึงกล่าวออกมาว่า “ก่อนฝ่าบาทไปที่บ่อน้ำ พระองค์ดื่มสุราเข้าไปด้วย จึงมีสติเลอะเลือน วันนี้นับว่าพระองค์ได้พบคุณหนูอวิ๋นแล้ว พรุ่งนี้ก็อาจจะลืมเลือนไปก็ได้ ฮองเฮาอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย”
เจี่ยงฮองเฮาเขี่ยเนื้อส้ม แล้วใช้ส้อมเงินขนาดเล็กจิ้มขึ้นมาชิ้นหนึ่ง “กั๋วจิ้ว เดิมทีข้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของท่าน ท่านกลัวข้าจะทำร้ายนางหรืออย่างไร ท่านปกป้องคุณหนูสกุลอวิ๋นเช่นนี้ ทำให้ข้ารู้สึกว่าตนเองใจร้ายยิ่งนัก”
“ข้าปกป้องคุณหนูสกุลอวิ๋น เพราะข้าคิดจะชดใช้ความผิดแทนฮองเฮา ครานั้นหากไม่ใช่เพราะฮองเฮาเข้าไปยุ่งเกี่ยว ใช้อำนาจธุรกิจของสกุลสวี่ ทั้งยังส่งคนไปเล่นละครเป็นโจร จับสวี่เจ๋อเทา พี่ชายแท้ๆ ของแม่นางสวี่ ไปทุบตีจนปางตาย ใช้ชีวิตญาติเพียงคนเดียวของนางมาขู่เข็ญ นางจะยอมตัดวาสนา ให้ตายอย่างไรก็จะตัดขาดจากฝ่าบาท แล้วก็รีบแต่งให้กับผู้อื่น เพื่อทำลายความหวังของฝ่าบาทได้อย่างไร”
“เจี่ยงยิ่น!” ใบหน้างดงามเจี่ยงฮองเฮาพลันถมึงทึง นางตวาดเสียงดัง พลางโยนส้มทิ้งไป จนไม่ระวังไปโดนเตาดินเผาพลิกคว่ำด้วย “หุบปาก! แม้แต่ท่านก็ต่อว่าข้าอย่างนั้นหรือ? ท่านรู้อยู่แก่ใจแท้ๆ ว่าตอนนั้นฝ่าบาทหลงนางจิ้งจอกนั่น แล้วข้าจะให้นางเข้าวังได้อย่างไร! ทั้งชีวิตนี้ฝ่าบาทไม่เคยมีท่าทีเช่นนั้นต่อสตรีคนใด แม้กระทั่งไม่สนใจกฎเกณฑ์ใด นางเป็นใครกัน? ทว่าหากสตรีที่มีฐานะเป็นแม่ค้าได้เข้าวัง จะต้องเดือดร้อนถึงตำหนักฉ่งกวนลิ่วเป็นแน่ และในวังแห่งนี้ใช่สถานที่ก่อความวุ่นวายเสียที่ไหนกัน ท่านจะให้เหล่าสนมที่มีฐานะและสติปัญญาดีในวังคิดอย่างไร ข้าเป็นฮองเฮา ก็ควรจะหยุดความสัมพันธ์เช่นนั้นเสีย! เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว นับว่าข้าทำถูกต้อง! หลังจากนั้นฝ่าบาทไม่ได้พบหน้าสวี่ชิงเหยาตั้งหลายปี สนมโปรดในวังก็ไม่น้อย ทว่าพระองค์ยังคงจำนางจิ้งจอกนั่นได้ไม่ลืม แล้วเหตุใดยังโปรดเหวยกุ้ยเฟยและเฮ่อเหลียนกุ้ยผินเล่า? เหอะ คิดว่าข้าไม่รู้หรืออย่างไร ว่าด้านหลังของเหวยกุ้ยเฟยคล้ายสวี่ชิงเหยา เฮ่อเหลียนกุ้ยผินก็พูดจาเหมือนกับสวี่ชิงเหยา อีกทั้งสวนดอกเหมยเต็มวังหลังนั่นอีก ฝ่าบาทไม่ได้สร้างขึ้นเพราะคิดถึงนางสกุลสวี่หรืออย่างไร?! หากปีนั้นนางได้เข้าวัง ฝ่าบาทคงจะโปรดนางเพียงคนเดียว! แล้วสนมคนอื่นจะทำอย่างไรเล่า?! วันนี้คนที่เหมือนกับสตรีสกุลสวี่อย่างกับแกะยืนอยู่ตรงหน้าฝ่าบาทตัวเป็นๆ แล้วพระองค์จะทนไหวหรือ?”
เจี่ยงยิ่นขมวดคิ้วเป็นปม “ดังนั้น แม้แต่บุตรสาวของแม่นางสวี่ น้องก็จะไม่ยอมปล่อยไปอย่างนั้นหรือ? นางไม่ได้ทำอะไรผิด!”
เพียงหน้าตาเหมือนกันก็นับเป็นความผิด หากฮ่องเต้ไม่เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นก็คงดี เพราะเมื่อได้เห็นแล้ว ฝ่าบาทก็นึกถึงรักครั้งเก่าขึ้นมา และถ่ายทอดรักฝังใจที่มีต่อสวี่ชิงเหยาไว้ที่ลูกสาวของนาง…เจี่ยงฮองเฮาไม่ได้กล่าวอะไร เพียงควบคุมตนเองให้กลับมามีท่าทางสง่างามดังเดิม ปีนั้นนางบีบบังคับจนสวี่ชิงเหยาจนตัดสัมพันธ์กับฮ่องเต้ได้ ครั้งนี้ก็ปล่อยไปไม่ได้เช่นกัน
ถึงฮ่องเต้จะเอ็นดูเหวยกุ้ยเฟยและเฮ่อเหลียนกุ้ยผิน พระองค์ก็มีเหตุผล ดังนั้นฮองเฮาจึงไม่หึงหวงพวกนางเท่าไรนัก
แต่สวี่ชิงเหยาผู้นั้น…เป็นมารหัวใจตัวจริง
นางไม่เสียดายสักนิด ที่ใช้วิธีโหดเ**้ยมตัดอนาคตของอีกฝ่าย
มีนางอยู่ในวันหลังวันนี้ ก็ต้องไม่มีสตรีที่ครองใจฮ่องเต้ผู้นั้น
…