ตอนที่ 114-3 เห็นอกเห็นใจนับว่าโชคดี

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นและเหล่านางกำนัลกลับไปที่กระโจม ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว

 

 

เจิ้งหัวชิวเรียกขันทีอายุน้อยที่คุ้นหน้าคุ้นตาไปแอบสืบรอบๆ กระโจมหลวง เมื่อไม่มีความเคลื่อนไหวใด จึงสบายใจลงได้ และกล่าวปลอบใจว่า “…ทางนั้นพูดเพียงว่าท่านกั๋วจิ้วให้คนส่งฮ่องเต้กลับตำหนักชางผิงแล้ว ไม่มีคำนินทาไม่น่าฟังใดๆ วางใจได้”

 

 

เมื่อคิดได้ว่าคนรอบคอบอย่างเจี่ยงยิ่นน่าจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่กังวลว่าเรื่องวุ่นวายในคืนนี้จะแพร่งพรายออกไป นางพูดกับเจิ้งหัวชิวอยู่หลายคำ ก่อนจะถือโคมเข้านอนไป หลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย

 

 

นางพลิกตัวอยู่บนเตียงครู่หนึ่งแล้ว แต่ก็ยังนอนไม่หลับ อย่างไรเสียในที่สุดก็ได้รู้ความจริงในตอนนั้นแล้ว แต่ในใจของนางก็ยากจะสงบอารมณ์ได้ บวกกับได้เจอหนิงซีฮ่องเต้ในวันนี้ อีกฝ่ายเห็นตนแล้วรู้สึกตกใจและดีใจจนควบคุมตัวเองไม่ได้ นางเห็นสีหน้านั้นของฝ่าบาทกับตาตนเอง ทว่าไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรหรือไม่

 

 

นอกจากนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็หวนคิดถึงใบหน้าอมทุกข์และเศร้าโศกของมารดาขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อก่อนนางไม่เคยรู้เลย เมื่อคิดขึ้นมาในตอนนี้ นอกจากความรักเล็กน้อยที่มีต่อสามีแล้ว บางทีท่านแม่อาจจะมีเหตุผลบางอย่าง อาจจะเป็นความรู้สึกเสียใจที่ตอนคลาดกับคนผู้นั้นในตอนนั้นกระมัง

 

 

ไม่ว่าอย่างไร ในใจของนางก็ยินดียิ่ง เพียงรู้สึกว่ามีเรื่องบางอย่างกำลังจะเกิด ทว่ากลับพูดไม่ออก

 

 

ตอนนั้นเอง ก็มีเงาร่างหนึ่งย่องเข้ามา อวิ๋นหว่านชิ่นอาศัยแสงจันทร์ที่ลอดผ่านกระโจมเข้ามา นางมองไป แล้วเรียกเสียงเบา “เมี่ยวเอ๋อร์”

 

 

ช่วงนี้เมี่ยวเอ๋อร์นอนไม่หลับเช่นกัน อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางมือเท้าเย็นเฉียบ ด้วยนางสวมเพียงชุดนอน คุณหนูอวิ๋นกลัวว่านางจะหนาว จึงลากนางเข้ามาในผ้าห่มด้วยเสียเลย

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นได้กอดน้องสาวแท้ๆ ของตนอย่างอบอุ่นเช่นนี้เป็นครั้งแรกที่นี่ แม้คำว่าพี่สาวนี้ อีกฝ่ายอาจจะเรียกนางอย่างชัดเจนไม่ได้ไปตลอดชีวิต แต่ตอนนี้เมี่ยวเอ๋อร์ก็เอ่ยปากเสียงเบา พร้อมด้วยเสียงสะอื้น “คุณหนูใหญ่ วันนี้ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าอีกฝ่ายกังวลและหวาดกลัว จึงตบบ่าของนาง “หากข้าเป็นอะไร ข้าจะนอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์ขยี้ตาแดงๆ อย่างรวดเร็ว “ข้าช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก ตอนอยู่ที่หอจดหมดหมายก่อนหน้านี้ คุณหนูอวี้เข้ามาจับผิด ข้าได้แต่กลบเกลื่อน ก่อนจะถูกตบหน้าครั้งหนึ่ง ครั้งนี้คุณหนูใหญ่เจอปัญหาใหญ่เช่นนี้ แต่บ่าวกลับถูกแยกออกไป ไม่อาจปกป้องคุณหนูใหญ่ได้ ต่อมายังเกือบร้องเรียกผู้อื่น ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ โชคดีทีท่านอาเจิ้งรั้งข้าไว้…ข้าเป็นคนไร้ประโยชน์โดยแท้ คุณหนูใหญ่ยังต้องการข้าไว้ทำอะไรหรือเจ้าคะ เฮ้อ…ครั้งนี้ท่านพาชูเซี่ยมาด้วยน่าจะดีเสียกว่า”

 

 

นางกล่าวอย่างอดสู

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก เรื่องในวันนี้มีคนจงใจให้เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังจับมือใครดมไม่ได้ เจิ้งหัวชิวคลุกคลีอยู่ในวังมานานปี ทั้งยังอายุมากกว่าพวกนั้น จึงรู้ทันคนอื่นมากกว่าเมี่ยวเอ๋อร์เป็นธรรมดา แล้วจะโทษตัวเองได้อย่างไร สำหรับคนที่อยู่ข้างกายนางแล้ว นางคิดเสมอมาว่าความภักดีสำคัญกว่าความสามารถ

 

 

นางทำเป็นกล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “เจ้าจะทำอะไรข้าไม่รู้ ข้ารู้เพียงว่าเดิมทีข้านอนไม่หลับ หากเจ้ายังขืนพูดไม่หยุดเช่นนี้ คืนนี้ข้าคงทำได้เพียงถ่างตาจนฟ้าสว่างเท่านั้น”

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์ถึงได้หยุดพูดมาก แต่กลับบ่นว่า “คุณหนูใหญ่นอนไม่หลับเพราะข้าที่ไหนกัน เกรงว่าจะเป็นเพราะองค์ชายสามยังไม่กลับมากระมัง…”

 

 

“เจ้าเด็กคนนี้ยังพูดอะไรอยู่อีก!” อวิ๋นหว่านชิ่นหยิกเนื้อตรงเอวของอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง “ถ้าเจ้าไม่เอ่ยชื่อของเขา ข้าจะคิดถึงเขาที่ไหนกันเล่า”

 

 

คุณหนูใหญ่ในอดีตไม่ค่อยพูดจา ถึงแม้ถูกเข้าใจผิดก็เพียงยิ้มรับ ด้วยขี้เกียจอธิบาย วันนี้นางอธิบาย ก็เป็นเพราะเหตุผลเดียว นั่นก็คือนางใจเสาะ เมี่ยวเอ๋อร์ทำปากจู๋ และไม่ต่อปากกับนางอีก ทว่าจู่ๆ ก็รู้สึกหวาดหวั่นอย่างพูดไม่ออก เกรงว่าคุณหนูใหญ่กับฉินอ๋องผู้นั้นจะแอบตกลงกันอย่างลับๆ ดูท่าทางของคุณหนูใหญ่แล้ว เห็นทีนางจะมีใจให้กับฉินอ๋องผู้นั้นอยู่บ้าง โชคดีที่วันนี้ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น…หากมีอะไรเกิดขึ้น จะต้องจัดการอย่างไรเล่า

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาบ้างอย่างน่าประหลาด หลังจากเมี่ยวเอ๋อร์เอ่ยชื่อของคนผู้นั้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะนอนหลับได้ยากยิ่ง นางจึงให้เมี่ยวเอ๋อร์ไปหากำยานช่วยให้นอนหลับ ที่นำมาจากบ้านออกมาจากในกองของมีค่า เมี่ยวเอ๋อร์สะบัดกำยานเหนือโคมที่อ่อนแรงจนติด ก่อนจะวางลงตรงหน้าหัวนอน

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์ได้กลิ่นกำยานแล้วรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง เมื่อดมไปนานๆ เข้า นางก็สงบสติอารมณ์ลงได้เช่นกัน แต่ยังถามอย่างอดไม่ได้ว่า “นี่คือกำยานที่ทำจากบ้านของคุณหนูใหญ่หรือเจ้าคะ”

 

 

“อืม ข้ากลัวว่าไปต่างที่แล้วจะนอนไม่หลับ จึงทำกำยานช่วยให้นอนหลับนี้พกไปด้วย ป้องกันไว้ก่อน คืนนี้กลับได้นำออกมาใช้พอดี” อวิ๋นหว่านชิ่นตอบเสียงเบา

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง จึงเย้าว่า “มาตรฐานของคุณหนูใหญ่สูงยิ่งนัก กำยานนี้ทำให้สบายใจอย่างยิ่ง ทั้งยังทำให้รู้สึกง่วงอยู่บ้าง คงจะไม่ใช่กลิ่นที่ทำให้ลุ่มหลงหรอกกระมัง”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าว “อย่าเอ็ดเลย ในเมื่อเป็นส่วนประกอบที่ดึงออกมาจากสมุนไพรช่วยให้หลับ จึงต้องใช้มันในปริมารณมาก และมีฤทธิ์ทำให้ลุ่มหลงจริงๆ”

 

 

ทั้งสองคุยกันเสียงเบาอยู่ครู่หนึ่ง แต่เนื่องจากกำยานช่วยให้หลับ ไม่นานนักเด็กสาวทั้งสองคนก็หลับฝันไป

 

 

 

 

วันต่อมา ฟ้าเพิ่งสว่าง หย่งเจียจวิ้นจู่หยัดกายลุกขึ้น การอาบน้ำเมื่อวานไม่ได้ช่วยอะไรนัก ทั้งยังทำให้นางรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ขณะแต่งตัว นางรู้สึกเกียจคร้านเล็กน้อย ดูท่าทางไม่สดใสเท่าไรนัก หลังจากเพิ่งนั่งลงผัดแป้งตรงหน้าโต๊ะประทินผิว นางอาบแสงอาทิตย์ได้ไม่นาน ข้างนอกพลันมีเสียงรายงานของขันทีดังมา เขากล่าวว่าเมื่อวานฝ่าบาทดื่มหนัก เช้าวันนี้พระองค์ตื่นสาย ทั้งยังรู้สึกหนักอึ้งที่ศีรษะอยู่บ้าง จึงจะถือโอกาสพักเสียครึ่งวัน ตอนบ่ายถึงจะไปลานล่าสัตว์ และไม่จำเป็นต้องส่งคนมาประกาศตามกระโจมขององค์ชาย รวมถึงข้าราชการ ช่วงเช้าแต่ละคนจัดการตัวเองกำแล้ว

 

 

หย่งเจียจวิ้นจู่ชอบนอนขี้เซามากที่สุด ชาติก่อนนางติดนิสัยนอนดึกตื่นสาย แม้กระทั่งนอนหลับยามฟ้าสาง เป็นอย่างนั้นอยู่หลายปี ทั้งยังไม่เคยแก้นิสัยนี้ได้ เมื่อก่อนก็มักจะนอนจนตื่นด้วยตัวเองอยู่ในวังเป็นประจำ ครั้งนี้นางตามมาล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิด้วย จึงตื่นแต่เช้าตรู่ทุกวัน ทำให้เกิดขอบตาดำที่ดวงตาทั้งสองข้าง

 

 

ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าไม่ต้องไปลานล่าสัตว์แล้ว หย่งเจียจวิ้นจู่รู้สึกรำคาญใจอยู่บ้าง หากนางรู้เร็วกว่านี้ ก็ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้า บัดนี้นางอารมณ์ไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อขันทีไปแล้ว นางพลันวางหวีหยกงาช้างเสียงดัง ‘ปึง’ บนโต๊ะเครื่องแป้ง

 

 

นางกำนัลและแม่นมต่างก็รีบเข้ามา และพากันสวมรัดเกล้า ปักปิ่นมุก สวมผ้าคลุม และใส่รองเท้าให้นางกันเป็นพัลวัน

 

 

บัดนี้เฉี่ยวเยว่เลิกผ้าม่านขึ้น นางเพิ่งกลับมาจากข้างนอก เพียงขยิบตาหนึ่งครั้ง เหล่านางกำนัลและแม่นมในกระโจมก็ถอยออกไปจนหมด ครั้นเห็นจวิ้นจู่หน้าดำคร่ำเคร่ง นางจึงก้าวเข้ามาโค้งตัว แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “จวิ้นจู่อย่าทรงกริ้ว บ่าวสอบถามทางกระโจมหลวงได้ข่าวมาว่า ฝ่าบาทกล่าวว่าจะพักช่วงเช้าครึ่งวัน ท่านรู้หรือไม่เพคะ ว่าเพราะเหตุใด”

 

 

“เพราะเหตุใดได้เล่า เมื่อวานฝ่าบาทดื่มหนัก วันนี้จึงตื่นไม่ไหวอย่างไรล่ะ” หย่งเจียกล่าวด้วยความเบื่อหน่าย

 

 

เฉี่ยวเยว่ยิ้มมีเลศนัยที่มุมปาก “…ไม่ใช่ตื่นไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ แต่เป็นเพราะเรื่องสำคัญอย่างอื่นต่างหาก บ่าวได้ยินมาว่า พักนี้ฝ่าบาทให้เหยาฝูโซ่วไปที่กระโจมของสตรี ดูเหมือนต้องการเชิญคุณหนูอวิ๋นไปหอชมจันทร์ที่ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของกระโจมหลวงอย่างลับๆ เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ บ่าวอาศัยเหรียญเงินเล็กน้อย ถึงได้ข่าวมาจากศิษย์น้องของเหยาฝูโซ่ว”

 

 

หอชมจันทร์หรือ? หย่งเจียที่เพิ่งมีสีหน้าหม่นหมอง พลันมีสีหน้าสดใสขึ้นมา “เจ้าหมายความว่า ฝ่าบาทอยาก…”

 

 

“เมื่อวานได้พบกันที่บ่อน้ำ เกรงว่าฝ่าบาทจะมีใจให้กับคุณหนูอวิ๋นนางนั้น” เฉี่ยวเอ๋อร์ลดเสียงลง แต่กลับพูดอย่างมั่นใจยิ่ง “ศิษย์น้องของเหยาฝูโซ่วบอกกับบ่าวว่า เมื่อฝ่าบาทกลับมาที่ห้องบรรทม พระองค์ก็นอนไม่หลับ พลิกตัวไปมา เช้าวันนี้จึงส่งคนไปเก็บกวาดหอชมจันทร์…ผ้าปูเตียง ผ้าม่านในห้องบรรทมล้วถูกเปลี่ยนเป็นผืนที่สะอาด บ่าวว่าวังหลังของฝ่าบาท คงจะต้องมีคนโปรดเพิ่มขึ้นแล้วเป็นแน่ จวิ้นจู่ยังจำจางกุ้ยเหรินในวังได้ไหมเจ้าคะ”

 

 

จำได้สิ เหตุใดถึงจะจำไม่ได้! หย่งเจียจวิ้นจู่ถอนหายใจ จางกุ้ยเหรินนางนั้นเดิมทีเป็นนางกำนัลธรรมดา หลายปีก่อนนางได้ร่วมเดินทางไปล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง ที่ลานล่าสัตว์ฮู่หลง ฝ่าบาทถึงได้ถูกใจนางเข้า หลังจากอาบน้ำประทินผิวแล้วก็ถูกส่งไปที่หอชมจันทร์ และได้รับความเอ็นดูจากฝ่าบาทถึงหนึ่งคืนเต็ม เมื่อกลับมาที่วัง นางก็ได้เลื่อนยศเป็นกุ้ยเหริน

 

 

ดูท่าทางฮ่องแต่จะตัดสินใจแล้วจริงๆ!

 

 

ข้าไม่ได้พูดไปโดยเปล่าประโยชน์เลย!

 

 

หย่งเจียจวิ้นจู่อารมณ์ดียิ่งนัก

 

 

 

 

ทางด้านกระโจมของสตรี เจิ้งหัวชิวเห็นเหยาฝูโซ่วมาเชิญคุณหนูอวิ๋นไป ในใจของนางรู้สึกสงสัยอย่างยิ่ง มีใครไม่รู้บ้างเล่าว่าเหยาฝูโซ่วเป็นขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจ ทั้งยังเป็นขันทีข้างกายของฮ่องเต้ ทำหน้าที่วิ่งงานและเรียกกล่าวผู้อื่น ความจริงส่งขันทีหรือนางกำนัลทั่วไปสักคนมาเชิญก็พอแล้ว หากเขามาเชิญด้วยตนเอง เช่นนั้น…

 

 

ไหนเลยเจิ้งหัวชิวจะไม่รู้กฎภายในวัง เหยาฝูโซ่วมาที่กระโจมสตรีด้วยตนเอง ทั่วไปแล้วก็เป็นความคิดที่จะเรียกเข้าตำหนักของฝ่าบาท

 

 

ยิ่งได้เห็นเกี้ยวขนาดเล็ก ผ้าไหมปิดหน้าสีแดง ม่านกระโจมที่ทำจากพู่หยกและทองซึ่งมาพร้อมกับเหยาฝูโซ่ว เจิ้งหัวชิวก็ยิ่งไม่แปลกใจ

 

 

เพียงพริบตาที่ได้พบกันเมื่อคืน ฝ่าบาทก็คิดจะเรียกเข้าตำหนักแล้วหรือ? เจิ้งหัวชิวกำผ้าเช็ดหน้าจนแน่น สำหรับหญิงสาวมากมายแล้ว นี่น่าจะเป็นเรื่องดียิ่งกว่ามีขนมเปี๊ยะตกลงมาจากฟ้า ทันทีที่ได้ยินว่าฝ่าบาทเรียกเข้าพบ ก็เกรงว่าจะรีบขึ้นเกี้ยวไป ทว่าสำหรับคุณหนูอวิ๋นแล้ว กลัวแต่ว่านางจะไม่ดีใจเท่าไรนัก…

 

 

ในที่สุด เจิ้งหัวชิวก็อดไม่ได้ที่จะลองถามว่า “เหยากงกง ฝ่าบาท…”

 

 

เหยาฝูโซ่วขมวดคิ้ว แล้วบอกเป็นนัยๆ “ปีนี้เป็นโชคดีของเสนาบดีอวิ๋นเลยทีเดียว! รวมถึงพวกเจ้าด้วย เมื่อถึงเวลานั้น พวกเจ้าทุกคนจะได้เลื่อนขั้น และได้บำเหน็จรางวัลอย่างถ้วนหน้า”

 

 

คำพูดนี้ทำเอาเมี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ข้าหลังเจิ้งหัวชิวถึงกับหน้าซีด เห็นได้ชัดว่านางก็เข้าใจความหมายแล้วเช่นเดียวกัน

 

 

เมื่อเห็นหญิงสาวอ้ำอึ้ง เหยาฝูโซ่วก็อดไม่ได้ “ท่านอายังไม่ไปเรียกคุณหนูอวิ๋นอีกหรือ อ้อจริงสิ บอกให้คุณหนูอวิ๋นแต่งตัวด้วย จะได้ไม่เสียมารยาท”

 

 

ทั้งสองคนรีบดึงสติกลับมา แล้วคำนับเหยาฝูโซ่ว “เจ้าค่ะ เหยากงกงโปรดรอสักครู่” จากนั้นพวกนางก็เดินไปที่กระโจมข้างๆ

 

 

ครั้นเดินไปได้ครึ่งทาง เจิ้งหัวชิวก็ลังเล ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากบอกกับคุณหนูอวิ๋นอย่างไร เมี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ข้างหลังก็เดินเข้ามา ก่อนจะดึงมือนางไว้ สายตาทอประกาย “ท่านอาเจิ้ง” กล่าวราวกับมีบางอย่างอยากจะพูด