เจิ้งหัวชิวและเมี่ยวเอ๋อร์ไปที่กระโจม ก่อนจะบอกจุดประสงค์การมาของเหยาฝูโซ่ว จากนั้นก็มองอวิ๋นหว่านชิ่นด้วยความเคร่งเครียด
บรรยากาศในกระโจมตึงเครียดในทันที เกร็งจนตัวกระโจมก็เหมือนจะยับไปด้วย
หลังจากคุณหนูใหญ่ตกใจอยู่ครู่สั้นๆ นางก็ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น นิ่งงันครุ่นคิดอยู่หลายนาที ไม่พูดจาอยู่เนิ่นนาน เมี่ยวเอ๋อร์รู้ว่านางไม่ยอม ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่ลังเลอีก ก่อนจะหันไปสบตากับเจิ้งหัวชิว แล้วเอ่ยออกมาว่า “คุณหนูใหญ่ หากท่านไม่อยากไป…”
ไม่อยากไปหรือ? น่าขันนัก ฮ่องเต้ออกคำสั่งแล้ว หม่อมฉันจะปฏิเสธได้อย่างไร อวิ๋นหว่านชิ่นหรี่ตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อย ในดวงตาฉายแววประหลาดใจออกมาจางๆ โดยไม่ตั้งใจ ไม่เข้ากับใบหน้ารูปไข่งดงามไร้ความเจ้าเล่ห์เลย ตอนนี้ตะโกนออกไปว่าอดีตของตนเองไม่ใช่สุภาพบุรุษบ้าอำนาจ แต่เป็นฮ่องเต้ผู้สูงส่ง เป็นผู้มีอำนาจเข่นฆ่าคนทั้งโลกได้อย่างชอบธรรม
นางจะไม่ไปก็ได้ อ้างว่าป่วย แสร้งว่าไม่สบาย มีข้ออ้างสารพัด แม้กระทั่งไม่สนใจอีกฝ่าย ทว่ายั่วโมโหหลงเหยียนแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของนาง รวมถึงจิ่นจ้ง และคนที่นางอยากจะปกป้องเล่า?
นางไม่อาจรับรองได้เลย ว่าจะรับความกดดันและการเกี่ยวโยงได้
จะบุ่มบ่ามไม่ได้
การพบกันเมื่อวานเย็นนั้น ทำให้ในใจของนางกระวนกระวาย ถึงกับต้องพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ ด้วยรู้สึกอยู่ตลอดว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น ที่แท้นางก็ไม่ได้คิดมาก สิ่งที่คิดว่าจะเกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นจริงๆ
ขณะที่เจิ้งหัวชิวเพิ่งบอกกล่าว ในใจของนางรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดให้ดีอีกครั้ง นางก็ไม่แปลกใจแล้ว เพียงแค่ดูจากความดีใจบนใบหน้าของหนิงซีฮ่องเต้ ทันทีที่เขาเห็นใบหน้าคล้ายกับสตรีสกุลสวี่ ก็น่าจะเดาได้แล้ว ว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
ราชสำนักเป็นสถานที่ที่เข้มงวดเรื่องกฎเกณฑ์ที่สุดในโลก แต่ก็ไม่สนใจกฎเกณฑ์ที่สุดในโลกเช่นกัน และเป็นสถานที่ที่เก็บซ่อนความเน่าเฟะไว้มากที่สุดอีกด้วย สำหรับฮ่องเต้แล้ว สตรีในใต้หล้าก็เหมือนของล้ำค่า ทุกคนล้วนเป็นของเขา หลักการและศีลธรรมต่างไม่มีประโยชน์อะไร
ฮ่องเต้ที่รับพี่สะไภ้ แต่งกับน้องสะไภ้ แม้กระทั่งมีสัมพันธ์กับมารดาตนเอง และน้องสาวตนเองในอดีตก็มีอยู่มาก นางเป็นเพียงลูกสาวของสตรีที่เขาเคยชอบ ทั้งยังไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขา ไม่มีความเกี่ยวข้องแม้สักนิด
เมื่อเห็นความเป็นห่วงบนใบหน้าของเมี่ยวเอ๋อร์ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ข่มความรู้สึกในใจเอาไว้ พยายามทำให้สีหน้าของตนเองดูสบายๆ สักหน่อย “ไม่เป็นไรหรอก ข้าจะลองไปดูสักครั้ง อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ ถึงตอนนั้นข้าคงปรับตัวตามสถานการณ์ และหาวิธีได้เอง”
จะมีวิธีใดได้เล่า? เมี่ยวเอ๋อร์ลอบกำหมัด หากฝ่าบาทมีเจตนาเช่นนั้น คุณหนูใหญ่จะปฏิเสธได้อย่างไรกัน คำพูดปากเปล่าจะไปมีประโยชน์อะไร…บุรุษหนึ่งคน หากเขาถูกใจสตรีคนใดจริงๆ เหตุใดต้องล้มเลิกความคิดเพราะคำพูดไม่กี่คำด้วยเล่า ยิ่งเป็นบุรุษที่มีอำนาจล้นฟ้า ก็ยิ่งไม่อาจปล่อยสตรีที่ตนชอบพอไปได้
ระหว่างทางมาพบอวิ๋นหว่านชิ่น เมี่ยวเอ๋อร์ได้ฟังท่านอาเจิ้งบอกคร่าวๆ แล้วว่าหอชมจัทร์ของกระโจมหลวงเป็นสถานที่ประเภทใด นั่นเป็นสถานที่ที่ฝ่าบาทไว้เสพสมกับสตรีไม่ใช่หรือ แม้คุณหนูใหญ่จะปลอบว่านางไม่ร้อนใจ แต่นางกลับไม่อาจพูดหลอกตัวเองได้ ว่าฝ่าบาทเรียกคุณหนูใหญ่ไปพบเพราะอยากพูดจาด้วยเท่านั้น!
อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งเงียบไม่พูดจา จึงไม่ได้คิดมาก และหันไปมองเจิ้งหัวชิว “ท่านอาเจิ้ง วันนี้เจี่ยงกั๋วจิ้วอยู่หรือไม่” เจี่ยงยิ่นปกป้องนางมาตลอด หากเขารู้เรื่องนี้ เขาจะต้องมีวิธีช่วยนางแน่
“ท่านกั๋วจิ้วหรือ? วันนี้ฝ่าบาทให้เด็กรับใช้สกุลเจี่ยงนำท่านกั๋วจิ้วไปที่ลานล่าสัตว์แล้ว ยากนักที่ท่านกั๋วจิ้วจะได้กลับมาที่เมืองหลวงสักครั้ง ทั้งยังเป็นญาติของเด็กรับใช้ผู้นั้น พวกเขาไม่ได้เจอกันนานแล้ว ท่านกั๋วจิ้วจึงออกจากกระโจมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ขี่ม้าไปที่ลานล่าสัตว์แล้วเจ้าค่ะ” เจิ้งหัวชิวชะงักไป ก่อนจะกล่าวในทันที
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจงใจแยกท่านกั๋วจิ้วออกไป…อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าว “ท่านอาเจิ้ง ท่านคุ้นเคยกับคนในวัง ช่วยบอกให้ฮองเฮาทราบจะได้หรือไม่”
เจิ้งหัวชิวรู้ว่านางอยากยืมมือฮองเฮาเข้าขัดขวาง จึงขมวดคิ้ว “คุณหนูอวิ๋น ครั้งนี้ฮ่องเต้เรียกท่านไปพบ…เหยาฝูโซ่วรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว ถึงท่านจะดึงกองทัพสวรรค์มา บ่าวเกรงว่า…คงจะไม่ทันกาล”
เมี่ยวเอ๋อร์กลับกล่าวอย่างใจเย็น “ท่านอาเจิ้งโปรดออกไปก่อนเจ้าค่ะ” เจิ้งหัวชิวรู้ว่านางตัดสินใจแล้ว จึงกลืนน้ำลาย ทว่ายังคงทำตามคำพูดของนาง
ใบหน้าของเมี่ยวเอ๋อร์เด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่มุมปากกลับปรากฏรอยยิ้ม ครั้นเห็นท่านอาเจิ้งออกไปแล้ว นางก็เดินไปที่หน้าเตียงสองสามก้าว แล้วดึงวิกผมที่อวิ๋นหว่านชิ่นพกมาด้วยออกมา พลางประคองมันด้วยสองมือ และมองไปที่อวิ๋นหว่านชิ่น “คุณหนูใหญ่ โปรดให้บ่าวปลอมตัวเป็นท่าน”
ระหว่างทางมานี้ เมี่ยวเอ๋อร์คิดดีแล้ว หากคุณหนูใหญ่ไม่ยินยอม นางจะไปแทนคุณหนูใหญ่เอง ถือเสียว่าขัดขวางสักครั้ง
นางกับอวิ๋นหว่านชิ่นเป็นพี่น้องร่วมบิดา เครื่องหน้าหรือรูปหน้าเดิมทีก็คล้ายกันอยู่ห้าหกส่วน แม้แต่เจิ้งหัวชิวยังล้อมาตลอดทาง ว่าทั้งสองคนคล้ายพี่น้องกันยิ่งนัก แถมทั้งสองคนยังอายุไล่เลี่ยกัน รูปร่างและส่วนสูงก็คล้ายกันจนยากจะแยกออกในครั้งแรก เย็นเมื่อวานฮ่องเต้เห็นคุณหนูใหญ่เป็นครั้งแรก ได้ยินว่าพระองค์อยู่ในอาการมึนเมา ดวงตาพร่าเลือน อาจจะมองเห็นคุณหนูใหญ่ไม่ชัดเจนก็เป็นได้
หากนางเปลี่ยนสวมเสื้อผ้าของคุณหนูใหญ่ บวกกับฝืมือของปลอมตัวของคุณหนูใหญ่ ที่ตบตาคนทั้งโลกได้ ก็อาจจะเป็นไปได้ก็ได้
อวิ๋นหว่านชิ่นตะลึงงัน และเข้าใจความหมายของเมี่ยวเอ๋อร์ได้ในทันที อีกฝ่ายกำลังจะเสียสละตัวเอง ทำให้นางรู้สึกขมขื่นในใจ ก่อนจะกล่าวเสียงเย็น “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้จะช่วยข้าได้หรืออย่างไร? คิดว่าฝ่าบาทเป็นคนโง่กระมัง แม้จะผ่านครั้งนี้ไปได้ ก็ใช่ว่าครั้งต่อไปจะทำได้เช่นกัน เมื่อถูกเปิดโปง ข้าอาจจะหนีไม่รอด เพราะพวกเราต่างก็กระทำผิดด้วยกันทั้งคู่ เจ้าโง่ไปแล้วหรืออย่างไร!”
เมี่ยวเอ๋อร์จ้องคุณหนูใหญ่เขม็ง “คุณหนูใหญ่ แม้วิธีนี้จะโง่เง่า แต่ก็เป็นวิธีเดียวที่จะขัดขวางฝ่าบาทได้ ไม่ใช่หรือเจ้าคะ เรื่องหลังจากนี้ ก็ค่อยว่ากันหลังจากนี้ บ่าวรู้เพียงว่าคนในใจของคุณหนูใหญ่ไม่ใช่ฝ่าบาท หากท่านยอมปลงใจ ก็ยากจะลบล้างได้อีกไปตลอดชีวิต เมื่อได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้น ท่านกับ…องค์ชายฉิน อย่างไรวันนี้ก็ไม่ได้เจ้าค่ะ! บ่าวจะขัดขวางให้ครั้งแล้วครั้งเล่า มะ…เมื่อท่านกั๋วจิ้วกลับมา และองค์ชายฉินกลับมา เรื่องราวอาจพลิกผันก็ได้เจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ต้องการการเสียสละเช่นนี้ของเจ้า” เสียงของอวิ๋นหว่านชิ่นเย็นชาขึ้นอีกส่วนหนึ่ง “หากอยากถ่วงเวลา ก็มีอีกหลายวิธี” เมื่อหนิงซีฮ่องเต้รู้ตัวว่าเมี่ยวเอ๋อร์ไม่ใช่นาง เขาจะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงตอนนั้นเมี่ยวเอ๋อร์อาจจะแบกความรับผิดชอบไว้เอง บอกว่าตนเองถือวิสาสะทำเรื่องนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นอาจไม่เป็นอะไร แต่เมี่ยวเอ๋อร์จะมีจุดจบที่ดีได้อย่างไร!
เมี่ยวเอ๋อร์กลับยังคงยกมือไว้ไม่ยอมปล่อย ใช่ คิดจะถ่วงเวลา ความจริงแล้วมีวิธีอีกมาก แต่สิ่งที่เหมาะสมในตอนนี้ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น
ผู้ที่จะกำจัดความคิดของฝ่าบาทได้ มีเพียงท่านกั๋วจิ้วเท่านั้น แต่เช้านี้ท่านกั๋วจิ้วไม่อยู่ ทางฝ่าบาทก็รอไม่ได้ มีเพียงให้ตนเองถ่วงเวลาไปก่อน คุณหนูใหญ่ถึงจะมีโอกาสรอดไปได้
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้เสียสละ” ดวงตาของเมี่ยวเอ๋อร์ปรากฎแววขบขันจางๆ “บ่าวกับคุณหนูใหญ่มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด คุณหนูใหญ่เคยพูดไม่ใช่หรือเจ้าค่ะ ว่าบ่าวเป็นพี่สาวของท่าน พี่สาวจัดการเรื่องให้น้องสาว จะเรียกว่าเป็นการเสียสละได้อย่างไร แค่คนในครอบครัวดูแลกันเท่านั้นเอง”
อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงไม่พูดจบ นางกลับหลังหันไปนั่งลงในเก้าอี้ทรงกลม ขณะเดียวกันตรงนอกกระโจม เหยาฝูโซ่วมาด้วยตนเองแล้ว เสียงของเขาลอยมา “…ท่านอาเจิ้ง เกิดอะไรขึ้นหรือ ตั้งนานแล้วยังไม่ออกมาอีก”
เจิ้งหัวชิวฝืนปั้นหน้ายิ้ม จงใจเพิ่มเสียงดังขึ้น ให้ดังเข้ามาในกระโจม “เหยากงกง ท่านบอกว่าต้องแต่งตัวให้ดี เสียมารยาทไม่ได้ใช่หรือเจ้าคะ คุณหนูสกุลเรา แต่งตัวขึ้นมาแล้วก็ใช้เวลานานเช่นนี้แหละเจ้าค่ะ…”
เหยาฝูโซ่วหัวเราะฮ่าๆ และไม่ได้กล่าวอะไรอีก
ในกระโจม เมี่ยวเอ๋อร์รู้ว่าเหลือเวลาไม่มากแล้ว จึงคุกเข่าลง “คุณหนูใหญ่ บ่าวรู้ว่าท่านเป็นห่วงบ่าว เช่นนั้นท่านรับปากเถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้ไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆ หากยังเสียเวลาต่อไป” นางเหลือบมองข้างนอกครั้งหนึ่ง “หากทำให้เหยาฝูโซ่วสงสัยเข้า พวกเราล้วนหนีไม่รอด เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างคงจบสิ้นจริงๆ”
เมี่ยวเอ๋อร์ยัดดินสอเขียนคิ้วใส่มือของอวิ๋นหว่านชิ่นแล้ว ทำเอานางชะงักงัน ครั้นเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นางก็ตัดสินใจได้ และไม่ชักช้าอีกต่อไป ช่างเถิด ให้เมี่ยวเอ๋อร์รับมือกับหนองซีฮ่องเต้ ส่วนตนเองลอบออกเดินทางไปหาเจี่ยงยิ่นที่ลานล่าสัตว์ จะต้องทันกาลแน่!
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่รอช้า ใช้น้ำส้มสายชูและสบู่ภายในกระโจมผสมกันเป็นด่าง แล้วใช้น้ำมันหอมระเหยทำให้เข้มข้น เมื่อจับตัวเป็นก้อนแล้วจะเป็นสีที่คล้ายกับผิวของตนเอง นางใช้แปรงขนแกะขนาดเล็กในกระโจมเติมมันลงบนใบหน้าของเมี่ยวเอ๋อร์ แล้วเติมแสงเงาใต้คางอีกชั้นหนึ่ง สุดท้ายนางก็แต่งทรงคิ้วให้บางและยาวขึ้น สร้างให้ขนคิ้วดูได้มุมโค้งโก่ง ราวกับจันทร์เสี้ยว คล้ายคลึงกับตนเอง จากนั้นก็ใช้ดินสอเขียนเติมสีแดง ดึงให้ปากของเมี่ยวเอ๋อร์ได้รูป…
จุดเชื่อมระหว่างกกหูและลำคอของเมี่ยวเอ๋อร์มีไฝอยู่เม็ดหนึ่ง อวิ๋นหว่านชิ่นใช้น้ำส้มสายชูผสมกับน้ำมันเป็นครีมปกปิดแบบโปร่งแสง เติมลงไปจนไฝหายไป