หลังจากแปลงโฉมเพิ่มอีกสองขั้นตอน หญิงสาวสองคนที่นั่งตรงหน้ากระจก ก็แตกต่างกันเพียงดวงตาเท่านั้น ไม่ว่าสีผิว รูปหน้า และเครื่องหน้า ก็แทบจะแย่งไม่ออกแล้วว่าใครเป็นใคร
เจิ้งหัวชิวเห็นแล้วถึงกับต้องกลั้นหายใจ นางตกตะลึงอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าของทั้งสองคนต่างกันแล้ว ตอนนี้นางก็แยกไม่ออกจริงๆ ว่าคนไหนคือคุณหนูอวิ๋น คนไหนคือเมี่ยวเอ๋อร์ คิดไม่ถึงเลยว่าบนโลกนี้จะมีวิชาแต่งโฉมปลอมตัวที่เหมือนเทพสร้างเช่นนี้ และยิ่งคิดไม่ถึงว่าเป็นฝีมือของเด็กสาวอายุสิบกว่าปีอีกด้วย
อวิ๋นหว่านชิ่นมองใบหน้าที่เหมือนกับตนเองอย่างกับแกะในกระจก ก่อนจะเหม่อลอยไปพักหนึ่ง เมี่ยวเอ๋อร์กลัวว่านางจะเปลี่ยนใจ จึงร้องเรียก “ท่านอาเจิ้ง รบกวนท่านเกล้าผมให้บ่าวที”
เจิ้งหัวชิวตื่นจากภวังค์ แล้วรีบเกล้าผมให้เมี่ยวเอ๋อร์เหมือนกับคุณหนูอวิ๋น จากนั้นก็ดึงปิ่นปักผมในกล่องเครื่องประดับของคุณอวิ๋นมาสองสามชิ้น ก่อนจะปักลงในมวยผมของเมี่ยวเอ๋อร์ สุดท้ายก็เปลี่ยนเสื้อคลุมให้คุณหนูอวิ๋น
คราวนี้เหมือนกับฝาแฝดโดยสิ้นเชิง เกรงว่าแม้แต่อวิ๋นเสวียนฉ่างอยู่ตรงหน้า ก็อาจจะแยกไม่ออกว่าคนไหนคืออวิ๋นหว่านชิ่นกันแน่ อย่าพูดถึงหนิงซีฮ่องเต้ที่เห็นผ่านๆ ขณะที่มัวเมาเลย
ขณะเพิ่งแปลงโฉมเสร็จ เหยาฝูโซ่วก็เรียกอยู่ข้างนอกกระโจม “ท่านอาเจิ้ง คุณหนูอวิ๋นเรียบร้อยหรือยัง”
“อ้อ เรียบร้อยพอดีเลยเจ้าค่ะ กำลังจะออกไปแล้วเจ้าค่ะ!” เจิ้งหัวชิวหันหน้าไปตอบเสียงหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องเจิ้งหัวชิวเขม็ง เมี่ยวเอ๋อร์ลงแรงช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องและนายบ่าว ทว่าเจิ้งหัวชิวกลับเป็นคนนอก จึงรีบบอกกล่าว “ท่านอาเจิ้ง หากเรื่องนี้ทำให้ฝ่าบาทโมโหเข้า พวกข้าจะไม่โยงเข้าหาท่านแน่นอน ถึงตอนนั้นท่านเพียงพูดว่าไม่รู้ก็พอแล้ว”
เจิ้งหัวชิวอยู่ในวังมาเกือบสิบปี นับว่ารู้จักผู้คนมากมายอย่างยิ่ง จึงได้มาดูแลคุณหนูสกุลอวิ๋น นอกจากทำหน้าที่แล้ว นางก็ดูออกว่าเด็กสาวผู้นี้สูงส่ง อนาคตต้องได้เป็นใหญ่แน่ แม้จะมีท่าทางใจเย็น แน่วแน่ไม่ยอมแพ้ แต่ความจริงแล้วว่าง่ายและขี้กลัว ยิ่งไม่แข่งขันและแก่งแย่ง กลับยิ่งได้รับความโปรดปรานของเง็กเซียนฮ่องเต้ เบื้องบนกำหนดแล้วว่าต้องมีบทบาทที่ไม่ธรรมดา บัดนี้นางจึงตอบกลับเพียงว่า
“คุณหนูอวิ๋น ในเมื่อครั้งนี้บ่าวถูกเลือกมาดูแลท่าน ก็ต้องจัดการเรื่องราวต่างๆ ให้ท่านสิเจ้าคะ”
ขณะที่พูด นางเห็นเหยาฝูโซ่วเร่งเร้าอีก จึงยื่นมือไปเป็นการบอกให้เมี่ยวเอ๋อร์ออกไป
“เมี่ยวเอ๋อร์” อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางจะออกไป จึงก้าวขาออกไปขวางนางไว้ ก่อนจะหลุบตาลง “ข้าจะไปตามหาเจี่ยงกั๋วจิ้วที่ลานล่าสัตว์ทันที…”
เมี่ยวเอ๋อร์ยกฝ่ามือขึ้นมาปิดปากของอวิ๋นหว่านชิ่นไว้ “คุณหนูใหญ่ ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่พูดมากอีก ขณะที่กำลังจะหมุนตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า กลับพบว่าเมี่ยวเอ๋อร์จับใบหน้าของนางไว้แน่น…นางปล่อยวางไม่ได้โดยสิ้นเชิง ไม่ได้เลยจริงๆ มืออีกข้างหนึ่งของเมี่ยวเอ๋อร์จับท้ายทอยของนางไว้ในฝ่ามือของตนเองจนแน่น
อวิ๋นหว่านชิ่นเบิกตาโพลง นางหายใจอยู่หลายครั้ง ยังไม่ทันได้ดันอีกฝ่ายออก หัวสมองของตนพลันหนักอึ้ง ร่างกายซวดเซ แปลกนัก
กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่นางผสมออกมาด้วยมือของตนเอง นางจะไม่รู้ได้อย่างไร
นี่เป็นกำยานช่วยให้หลับ ที่นางใช้บนหัวเตียงขณะอยู่ร่วมกัน นางเคยกล่าวว่ามันมีฤทธิ์รุนแรง สามารถมอมเมาได้ คิดไม่ถึงเลยว่าเมี่ยวเอ๋อร์ได้ยินแล้วจะมาใช้กับนางเช่นนี้
อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องเขม็งไปที่เมี่ยวเอ๋อร์ ทันใดนั้นก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย นางไร้เรี่ยวแรงจะเอ่ยวาจา แต่ริมฝีปากกลับปรากฏรอยยิ้มขื่น เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าใจร้ายยิ่งนัก
เมี่ยวเอ๋อร์ประคองนางไว้ แล้วกล่าวเสียงเบา “ท่านอาเจิ้ง ช่วยประคองคุณหนูไปที่เตียงที”
เจิ้งหัวชิวเบิกตาโพลง เห็นว่าคุณหนูอวิ๋นเหมือนจะล้มลง ไม่มีสติอย่างเห็นได้ชัด จึงตะลึงลาน “เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้า…”
“ท่านอา อย่าเพิ่งพูดเลยเจ้าค่ะ เร็วเถิด” เมี่ยวเอ๋อร์ร้อนใจแล้ว
เจิ้งหัวชิวถอนหายใจ และช่วยเมี่ยวเอ๋อร์ประคองอวิ๋นหว่านชิ่นไปที่เตียงก่อน จากนั้นก็ดึงม่านปิดผ้าห่มไว้อย่างดี เมื่อจัดการอวิ๋นหว่านชิ่นเรียบร้อยแล้ว เจิ้งหัวชินก็จับข้อมือของเมี่ยวเอ๋อร์ ดึงนางออกไปข้างนอก “เจ้ากำลังทำอะไร”
“ท่านอาเจิ้ง” เมี่ยวเอ๋อร์ถอนหายใจ “หากคุณหนูใหญ่ไปหาเจี่ยวกั๋วจิ้วให้มาช่วยขวางฝ่าบาท ฝ่าบาทก็จะรู้ว่าคุณหนูใหญ่รู้เห็นเรื่องที่พวกเราเปลี่ยนตัวกัน แต่หากข้าทำให้นางสลบไป ถึงตอนนั้นหากฝ่าบาทถามเข้า คุณหนูใหญ่ก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง และจะหนีรอดไปได้ ข้าไม่มีทางทำให้คุณหนูใหญ่เดือดร้อนไปด้วยอย่างแน่นอน” นางพูดพลางเดินไปที่หน้าอ่างล้างหน้า แล้วพัดผงกำยานมอมเมาที่เหลือในมือทิ้งไป ก่อนจะใช้น้ำในอ้างล้างมือ
เมื่อครู่นางตัดสินใจทุกอย่าง และบอกแผนขัดขวางคุณหนูให้เจิ้งหัวชิวฟังแล้ว นางจึงวิ่งไปที่กระโจมของตนเองก่อน เพื่อนำกำยานช่วยให้หลับที่ใช้เมื่อวานติดมือมาด้วย นางใช้นิ้วหักมันออกแล้วละลายน้ำ ก่อนจะใช้ถ่านเผาให้มันเป็นก้อน แล้วจึงใช้ค้อนเล็กๆ ทุบให้มันเป็นขี้เถ้า สุดท้ายนางกำมันไว้แล้วถึงออกมา การทพให้มันมีความเข้มข้นในระดับสูงเช่นนี้ ยิ่งกลายเป็นกำยานมอมเมาเช่นที่คุณหนูใหญ่กล่าวเมื่อวาน นางอยู่กับคุณหนูมานาน จึงครูพักลักจำความรู้เกี่ยวกับการผสมกำยานและปรุงยามาบ้าง
เจิ้งหัวชิวส่ายหน้า ก่อนจะทอดถอนใจให้กับบ่าวที่สามารถคิดวิเคระห์เรื่องต่างๆ แทนคุณหนูสกุลอวิ๋นได้เช่นนี้ ยังไม่ทันได้กล่าวอะไรมาก นางก็หยิบเสื้อของเมี่ยวเอ๋อร์มา ก่อนจะเปิดม่าน แล้วกล่าวเสียงดัง “เหยากงกง คุณหนูอวิ๋นออกมาแล้วเจ้าค่ะ”
เหยาฝูโซ่วโบกมือ พลางเรียกเกี้ยวเข้ามาต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม “คุณหนูอวิ๋น เชิญ”
เมี่ยวเอ๋อร์กัดกระพุ้งแก้มไว้แน่น ถึงแม้ปกตินางจะมีนิสัยแก่นเซี้ยวไม่กลัวฟ้าดิน แต่วันนี้กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เป็นเพราะนางกำลังหลอกฮ่องเต้ แต่เพื่อคุณหนูใหญ่แล้ว นางไม่กลัวอะไรทั้งนั้น สุดท้ายนางลอบสูดหายใจเข้าลึกๆ ให้ใจเย็นลง แม้การแปลงโฉมจะหลอกได้แปดเก้าส่วน แต่เสียงกลับเปลี่ยนได้ยากยิ่ง นางกดเสียงให้ต่ำลง “ลำบากเหยากงกงแล้วเจ้าค่ะ”
เหยาฝูโซ่วมองออกที่ไหน ว่าคนตรงหน้าเป็นตัวปลอม เมื่อได้ยินเสียงนางต่ำและเล็ก ดูเหมือนจะแปลกไปบ้าง แต่เขาคิดเพียงว่านางเขินอาย จึงหัวเราะและเปิดประตูเกี้ยวให้นาง เพื่อส่งนางขึ้นไป
เกี้ยวโคลงเคลงเล็กน้อย ก่อนจะออกจากกระโจมสตรีไปตามการนำทางของเหยาฝูโซ่ว มุ่งหน้าไปยังกระโจมหลวง ไม่นานก็มาถึงหอชมจันทร์
เมื่อประตูเกี้ยวเปิดออก แสงสว่างส่องเข้าไปภายใน เมี่ยวเอ๋อร์ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีของเหยาฝูโซ่ว “คุณหนูอวิ๋น เชิญเข้าไปเถิด ฝ่าบาทรอนานแล้ว”
เมี่ยวเอ๋อร์ข่มความตื่นเต้นเอาไว้ นางลงจากเกี้ยว แล้วเดินเข้าไปใกล้ลาน นางเห็นเพียงว่าหอชมจันทร์เป็นเพียงตำหนักขนาดเล็ก ชายคาทำจากกระจก หน้าต่างประดับดอกไม้จีน ฟ้าเพดานด้านบนแกะสลักเป็นนกยวนยางคู่ งดงามหาใดเปรียบ รักใคร่กันจนน่าซาบซึ้ง เสาหยกสองต้นตรงหน้าประตูผูกผ้าไหมเอาไว้ ครั้นลมพัดมา มันพลันปลิวไสวอ่อนช้อย ในลานบัดนี้มีต้นเหมยต้นหนึ่ง กำลังเบ่งบานตามอำเภอใจ
แค่ได้มองก็รู้ว่าเป็นสถานที่เสพสุขของชนชั้นสูง
เหยาฝูโซ่วนำทางนางเข้าไปในหอชมจันทร์ ก่อนที่นางจะนั่งลงบนเตียงสนมภายในห้อง นางเห็นบุรุษสวมชุดลำลองสีชาดทั้งชุดกำลังยืนเด็ดดอกเหมยริมรั้วใต้ระเบียง เขาหันหน้าไปด้านนอก กำลังชมดอกเหมย ทันทีที่เขาหันหน้ามาเห็นนาง เขาก็สาวเท้าเข้ามา
นางรู้ว่าบุรุษผู้นั้นคือฝ่าบาท เป็นหนิงซีฮ่องเต้อย่างแท้จริง ทำเอานางกำผ้าไหมบนเตียงสนมจนแน่น
หนิงซีฮ่องเต้เดินมาข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนจะหยุดลง “เงยหน้าขึ้น ให้ข้าได้เห็นสักหน่อย”
เสียงของเขาสั่นเครืออยู่บ้าง มากไปกว่านั้นคือความชื่นชอบ คล้ายกับเห็นของขวัญที่ยากจะได้มาสักครั้ง อยากเปิดออกดูในทันที อดไม่ได้ที่จะชมให้พึงพอใจในทันที
เมี่ยวเอ๋อร์รวบรวมความกล้า แล้วเงยหน้าขึ้น
เป็นนาง เป็นนางจริงๆ ห้วงรักหลายปีของหนิงซีฮ่องเต้ท่วมท้นขึ้นมาภายในค่ำคืนเดียว บัดนี้เขาตะลึงลาน ราวกับตกอยู่ในห้วงฝัน พลางพึมพำว่า “ชิงเหยา”
ชิงเหยาหรือ? ชื่อนี้คุ้นหูนัก…ชื่อของนายหญิงสกุลสวี่ที่ล่วงลับใช่หรือไม่ เมี่ยวเอ๋อร์คิดว่าตนเองตาฝาดไป เพราะบุรุษผู้กุมอำนาจสูงสุดในตรงหน้ามีสายตาพร่ามัว ราวกับมีหยาดน้ำตาเกลือกกลิ้งอยู่ภายใน นางจึงตื่นเต้นยิ่งขึ้น “ฝ่าบาท บ่าว…หม่อมฉันหว่านชิ่น สกุลอวิ๋นเพคะ”
เพราะตื่นเต้นจนเกินไป จนนางลืมบีบเสียงไปเลยทีเดียว แต่บุรุษตรงหน้าไม่ได้สงสัยเลยสักนิด เมี่ยวเอ๋อร์ถอนใจ จริงสิ เมื่อวานฝ่าบาทเพิ่งได้เจอกับคุณหนู แม้แต่หน้าตาของนางก็ยังไม่ได้เห็นชัดเจน จะจำเสียงของนางได้อย่างไรเล่า อาจจะยังไม่เคยได้ยินคุณหนูเอ่ยวาจาด้วยซ้ำไป
หนึ่งคำพูดเรียกสติของหนิงซีฮ่องเต้คืนมา เขาอ้าปาก แต่กลับยิ้มขื่นอยู่หลายส่วน “จริงสิ เจ้าเป็นบุตรสาวของชิงเหยา” เสียงของเขาอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน “ชิ่นเอ๋อร์ ใช่หรือไม่ มา เจ้าเข้ามาหาข้าสิ”
สมองของเมี่ยวเอ๋อร์สับสนอยู่บ้าง การคาดเดามากมายผุดในหัวของนาง ทว่านางก็เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างช้าๆ จนกระทั่งยืนอยู่ริมรั้วที่ฮ่องเต้ยืนอยู่เมื่อครู่
หนิงซีฮ่องเต้ยืนอยู่ข้างหลังหญิงสาว เขาพิจารณานางอย่างเงียบๆ โดยไม่ให้มีส่วนใดเล็ดรอดไป ทันใดนั้นเขาก็มองไปที่ดอกเหมยในลาน พลางชี้ไปไกลๆ น้ำเสียงอ่อนโยนจนอีกฝ่ายไม่อาจจินตนาการได้ “ต้นเหมยนั่น มารดาของเจ้าให้ข้าเมื่อนานมาแล้ว หลายปีมานี้ข้าให้คนย้ายมันมาปลูกในสถานที่ที่ข้าเคยเห็นมัน และ…ตอนกิ่งเพาะชำอย่างไรถึงจะแตกกิ่งออกดอก เป็นดอกเหมยที่งดงาม มารดาของเจ้าเคยสอนข้าทั้งหมด…เจ้าดูสิ ฝีมือของเขาเป็นรองเพียงแค่ชิงเหยาเท่านั้น…” เขาพูดพลางลอบถอนใจจากไรฟัน ริมฝีปากซ่อนรอยยิ้ม ด้วยเพราะเป็นความทรงจำที่น่าเศร้า
เมี่ยวเอ๋อร์รู้สึกว่าหัวสมองฉุกคิดได้ ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว สวี่ฟูเหรินกับฝ่าบาทคงจะมีอดีตบางอย่างต่อกัน และฝ่าบาทต้องใจคุณหนูใหญ่ เพราะเกี่ยวข้องกับสวี่ฟูเหรินหรือ? บุรุษผู้นี้มีหญิงสาวที่ไม่อาจได้ครอบครอง วันนี้ได้เห็นสตรีที่เหมือนกันอย่างกับแกะ ทั้งยังคว้ามาได้ จึงไม่น่าปล่อยให้หลุดมือไปโดยปริยาย
เมื่อเงยหน้าขึ้น นางได้สบสายตาร้อนแรงของหนิงซีฮ่องเต้ แม้เมี่ยวเอ๋อร์จะยังไม่เข้าใจเรื่องทางโลก แต่ก็มองเห็นความลังเล เจ็บปวด ครุ่นคิด และขัดแย้งในความปรารถนาในสายตาของบุรุษตรงหน้า สุดท้ายนางตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ทว่ายังไม่ทันจะโต้ตอบอะไร อีกฝ่ายก็ก้มลงดึงนางเข้าไปในอ้อมกอด
“ฝ่าบาท…อย่าทำเช่นนี้เลยเพคะ…” นางดิ้นรน “คนที่ท่านชอบคือฟู…แม่ของข้า ข้าสกุลอวิ๋น ไม่ใช่สวี่ชิงเหยา ท่านจงมองให้ชัดเจนเถิดเจ้าค่ะ!”
หนิงซีฮ่องเต้ครุ่นคิดถึงปัญหานี้อย่างชัดเจนแล้ว
ถึงแม้ไม่ใช่ชิงเหยาของเขาแล้วอย่างไร ขอเพียงเหมือนกับนางก็เพียงพอแล้ว
เขาครอบครองใต้หล้า แต่กลับไม่ได้ครอบครองแม้แต่สตรีที่ตนรัก เช่นหย่งเจีย หลานของเขา แล้วเป็นฮ่องเต้จะมีประโยชน์อะไร หลายปีมานี้ นี่กลายเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้ในก้นบึ้งหัวใจของเขา