ตอนที่ 115-3 จางอี้หรงปรนนิบัติ

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

วันนี้สวรรค์มอบโอกาสให้เขาอีกครั้งหนึ่ง แล้วจะปล่อยไปได้อย่างไร

 

 

“ข้าดูแลเจ้าก็ดีแล้ว ขอเพียงเจ้าเข้าวังมาใช้ชีวิตร่วมกับข้า…ข้าจะมอบเกียรติยศให้เจ้า มอบเกียรติยศที่ไม่มีสตรีคนใดเทียบได้” ฮ่องเต้กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น แล้วหายใจอย่างนิ่มนวล ทันใดนั้นสติของเขาก็พร่าเลือน กลับไปอยู่ในอดีต “ชิงเหยา ชิงเหยา เจ้ารับปากข้า ว่าครั้งนี้จะอยู่กับข้า ได้หรือไม่ ขอเพียงเจ้าเรียกข้า ข้าจะมาหาเจ้าทุกวันหลังจากนี้ไป ข้าจะตามใจเจ้าทุกอย่าง ครั้งนี้ข้าไม่มีทางให้เจ้าไปแน่ แค่ก…แค่กๆ” ฮ่องเต้พูด จู่ๆ ก็ไอขึ้นมาอย่างรุนแรง เขาผละออกจากเมี่ยวเอ๋อร์ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าลายเมฆออกมา ก่อนจะก้มลง

 

 

ทุกวันที่เหลืออย่างนั้นหรือ? เมี่ยวเอ๋อร์ไม่ทันได้คิดมาก เมื่อเห็นฝ่าบาทก้มลงไปไม่หยุด ในที่สุดนางก็ตระหนักได้ ว่าบุรุษผู้นี้แม้จะคุมชะตาบ้านเมืองแล้วอย่างไร ทว่าความจริงแล้วเขาเป็นเพียงคนน่าสงสาร ที่จมปลักอยู่กับความคิดของตัวเองไปตลอดชีวิต เขาคือผู้มีสิทธิ์ขาดของแผ่นดิน แต่เขากลับรู้สึกว่าไม่อาจครอบครองได้แม้กระที่งสตรีคนหนึ่ง หากต้องเหนื่อยล้าเช่นนี้ต่อไป จะต้องกลายเป็นมารในใจของเขาแน่

 

 

ครั้นเห็นฮ่องเต้ไออย่างรุนแรง เมี่ยวเอ๋อร์ก็ไม่กล้าจากไป ทำได้เพียงเข้าไปประคองเขาไว้ “ฝ่าบาท…” นางยังพูดไม่ทันจบ ก็ต้องสะดุ้งตกใจ เพราะบนผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดที่หนิงซีฮ่องเต้ไอออกมา

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์กำลังจะร้องเรียกเหยาฝูโซ่ว ทว่าหนิงซีฮ่องเต้ดึงแขนของนางไว้ แม้สีหน้าของเขาจะซีดขาว แต่กลับเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ครั้งแรก “ไม่เป็นไร โรคของข้านี้ยืดเยื้อมาปีกว่าแล้ว” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง “วิธีรักษาใดก็ไม่มีประโยชน์ ด้วยรักษาได้ยากแล้ว” โรคนี้เป็นการเจ็บป่วยที่ปอด แม้จะพบตั้งแต่เมื่อหนึ่งกว่าปีก่อน แต่เพราะกลัวจะทำให้ระบอบบ้านเมืองยุ่งเหยิง แคว้นเหมิงหนูทางเหนืออาจถือโอกาสก่อความไม่สงบ นอกจากหมอหลวงที่รักษาให้ตนและเหยาฝูโซ่วแล้ว แม้แต่เจี่ยไท่โฮ่วและเหล่าสนมก็ไม่รู้

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์อ้าปาก คราวนี้ถึงเข้าใจว่าเหตุใดเมื่อครู่เขาถึงกล่าวว่าวันที่เหลือ แต่ตระหนักได้เช่นกัน ว่าเหตุใดหนิงซีฮ่องเต้ถึงอยากทำตามความปรารถนาโดยไม่สนสิ่งใด ที่แท้เพราะตนป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย เมื่ออาจไม่มีอายุยืนยาว แล้วจะสนใจสิ่งอื่นไปด้วยเหตุใด เขาจะต้องรีบใช้ชีวิตเป็นแน่

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้มาแทนคุณหนูใหญ่ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว! ฝ่าบาทไม่ปล่อยนางไปแน่!

 

 

หนิงซีฮ่องเต้เห็นนางเงียบงัน พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเช็ดที่มุมปาก “ไม่ต้องกลัว มีหมอเก่งๆ และวิธีรักษาชั้นยอดอยู่ในวังหลวง ข้าไม่มีทางตายง่ายๆ และหากมีเจ้าอยู่ด้วย มีชีวิตอีกหลายสิบปีก็ไม่เป็นปัญหา” เขาโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งไป ก่อนจะจ้องมองสตรีตรงหน้า “อยู่กับข้าได้หรือไม่”

 

 

“ฝ่าบาทเพิ่งไอเป็นเลือด หม่อมฉันจะไปเรียกเหยากงกงก่อน…” เมี่ยวเอ๋อร์กลับหลังหัน นางยังพูดไม่ทันจบ ลมสายหนึ่งพลันปะทะเข้ามา ด้วยฝ่าบาทโอบนางเข้าไปในอ้อมแขน แล้วกดนางลงบนเตียงหนานุ่มโดยตรง

 

 

ครั้งนี้เขาไม่ปล่อยนางไปเป็นแน่แท้ แม้จะมีพายุโหมกระหน่ำ เรียกใครก็ไม่มีประโยชน์

 

 

ลมหายใจของบุรุษถาโถมเข้ามาราวกับเกลียวคลื่น ทั้งรุนแรงและอ่อนโยนอยู่ในที เขากอดนางไว้จนแน่น ทั้งจูบ หอม ลูบคลำ ร่างสูงเหยียดตรง และพึมพำอย่างปลงตก สารภาพความรู้สึกหลายปีมานี้อย่างหมดเปลือก

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์กำผ้าไหมที่ขอบเตียง หลับตาแน่น ทั้งกลัวและอาย เหมือนปลาที่ถูกขอดเกล็ดจนเกลี้ยง นางรู้สึกหนาวไปทั้งตัว ขณะที่เพิ่งหุบขา ก็ต้องอ้าออกอย่างไม่เต็มใจอีกครั้ง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งสรรพางค์กายราวกับถูกมีดหั่นเป็นชิ้น เมื่อนางฉกฉวยเอาอากาศเข้าไปในปอด เสียงของฮ่องเต้ก็ดังขึ้นที่ข้างหู

 

 

“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว ข้าจะเบาให้…”

 

 

ความปรารถนามากกว่าครึ่งชีวิต ในที่สุดก็สมบูรณ์เสียที จากนี้ไปสตรีตรงหน้าคือของล้ำค่าที่เขาต้องปกป้องอย่างสุดหัวใจ ไม่อาจทำให้นางเสียใจได้อีก

 

 

เขาต้องสละความเสียใจที่ไม่อาจครอบครองชิงเหยา และความเสียใจที่ไม่เคยปกป้องนางได้ ให้แก่สตรีตรงหน้า

 

 

หยาดน้ำตาของนางไหลลง ไม่กลัว นางไม่กลัว เพื่อคุณหนูใหญ่ ผู้เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับนางมากที่สุดในโลก ทั้งยังเป็นญาติในสายเลือดของตนอีก ญาติคนเดียวนางยังปกป้องไม่ได้ แล้วนางจะมีประโยชน์อะไร

 

 

ภายใต้ม่านของหงส์ร่อนมังกรรำ ที่ปิดบังเตียงขนาดใหญ่ไว้อย่างแน่นหนา กำลังสะท้อนเงาร่างคู่หนึ่งอยู่

 

 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นสลบไสลจนถึงเช้าของอีกวัน

 

 

เมื่อตื่นขึ้นมา ทันทีที่มือเท้าของนางขยับได้ สติของนางก็กลับมา นางลุกขึ้นนั่งพร้อมร่างกายแข็งทื่อ ก่อนจะเห็นเจิ้งหัวชิวนั่งใส่รองเท้า กำลังจะออกไปข้างนอกอยู่ข้างๆ

 

 

เจิ้งหัวชิวคุ้มกันนางอยู่นาน เมื่อเห็นนางฟื้น จึงรีบขวางนางไว้ “คุณหนูอวิ๋น!”

 

 

“เมี่ยวเอ๋อร์ไปหอชมจันทร์ ตอนนี้ยังไม่กลับมาอีกหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกไม่สบายใจ

 

 

“เจ้าค่ะ” เจิ้งหัวชิวพยักหน้า แล้วมองอวิ๋นหว่านชิ่น

 

 

แค่เห็นสายตาของอีกฝ่าย อวิ๋นหว่านชิ่นก็หมดเรี่ยวแรงไปทั่งร่าง นานแล้วยังไม่กลับมา จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้เล่า เป็นไปไม่ได้ที่หนิงซีฮ่องเต้จะให้นางอยู่กินข้าวและพูดคุยเท่านั้น เมี่ยวเอ๋อร์ไปแทนตนเช่นนี้…นางขวมดคิ้วเป็นปม แล้วจับข้อมือของเจิ้งหัวชิวไว้ “เหตุใดยังไม่กลับมา!” ในใจของนางเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างแล้ว

 

 

เป็นดังคาด เจิ้งหัวชิวมีสีหน้านิ่งเงียบ เหงื่อกาฬเย็นเฉียบไหลลงมาด้วย “คุณหนูอวิ๋นอย่าได้ร้อนใจเลยเจ้าค่ะ เมื่อครู่บ่าวให้คนไปสืบแล้ว ก่อนที่คุณหนูอวิ๋นจะตื่น นางกำนัลกลับมาบอกบ่าวแล้ว ว่าการปรนนิบัติเสร็จสิ้น ภายในหอชมจันทร์ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ทั้งยังมีเสียงโกรธขึ้งของฝ่าบาทดังออกมา และได้ยินเสียงโต้เถียงจากแม่นางเมี่ยวเอ๋อร์ จากนั้นฝ่าบาทก็ออกมาด้วยความโมโห และให้คนคุมหอชมจันทร์ไว้ชั่วคราว…”

 

 

นี่หมายความว่าฝ่าบาทรู้ฐานะของเมี่ยวเอ๋อร์แล้วอย่างนั้นหรือ เมี่ยวเอ๋อร์ทำให้เขาโมโหอย่างนั้น จะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นสงบสติอารมณ์ จัดการเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วสวมชุดคลุมขนเป็ดลายนกกระจอก จากนั้นนางถึงล้างหน้า จัดทรงผม เจิ้งหัวชิวเห็นนางคล้ายจะออกไปข้างนอก จึงเข้าใจทันทีว่านางคิดจะทำอะไร “คุณหนูอย่าได้บุ่มบ่าม หลังจากฝ่าบาทขังแม่นางเมี่ยวเอ๋อร์ไว้ จนถึงตอนนี้ก็ไม่ได้ส่งใครมาหาท่าน จะต้องเป็นเพราะแม่นางเมี่ยวเอ๋อร์สารรภาพผิด บอกว่านางทำเรื่องนี้ด้วยตนเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน บัดนี้ฝ่าบาทกำลังโมโห หากท่านไปหา ฝ่าบาทอาจจะยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถือเป็นการทำลายเจตนาดีของแม่นางเมี่ยวเอ๋อร์นะเจ้าคะ ทำให้แม่นางเมี่ยวเอ๋อร์เสียใจเปล่า”

 

 

“ท่านอาเจิ้ง” อวิ๋นหว่านชิ่นมองเจิ้งหว่านชิว “หากข้าไปหานางตอนนี้ อาจจะทำให้นางเดือดร้อน รออีกสักพักค่อยไปหาก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ แต่ท่านวางใจเถิด ในเมื่อฝ่าบาทไม่ได้ประกาศให้ภายนอกรับรู้ ก็หมายความว่าเขารู้สึกว่าเรื่องนี้น่าอาย และไม่อยากแพร่งพราย!” ประเด็นอยู่ที่หากแพร่งพรายออกไปแล้ว อย่างน้อยหนิงซีฮ่องเต้ในตอนนี้ก็ไม่คิดจะเรียกตนไปปรนนิบัติแล้ว

 

 

อย่างไรเจิ้งหัวชิวก็ขวางไว้ไม่ได้ จึงได้แต่กัดฟัน แล้วตามไปอย่างเงียบๆ

 

 

เมื่อถึงประตูตำหนักของกระโจมหลวง นางยังไม่ได้เข้าไปกราบทูล ทว่าองครักษ์พลันเข้ามาห้ามเสียก่อน เป็นอย่างที่นางคิดไว้ นางเข้าไปไม่ได้ ขณะที่กำลังรอคอย ก็มีเสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง “ให้นางเข้าไป”

 

 

ครั้นองครักษ์ในชุดสีเหลืองเห็นเจี่ยงกั๋วจิ้ว พวกเขาก็รีบถอยไปด้านข้าง

 

 

เจิ้งหัวชิวกำลังกลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น จึงเตรียมขันทีใจกล้าวิ่งไปที่ลานล่าสัตว์แล้ว ขณะที่นางกำลังคุ้มกัน ก็เห็นเจี่ยงยิ่นควบม้ากลับมา ก่อนที่นางจะบอกเรื่องนี้ให้เข้าฟัง ทันทีที่เจี่ยงยิ่นได้ฟัง เขามีเหงื่อกาฬเย็นเฉียบซึมออกมาทั่วตัว จากนั้นเขาก็ไปที่กระโจมของสตรี แต่คาดไม่ถึงว่ากระโจมนั้นจะว่างเปล่า เขาเดาว่าอวิ๋นหว่านชิ่นไปช่วยเมี่ยวเอ๋อร์ที่กระโจมหลวงแล้ว จึงรีบมาโดยไม่หยุดฝีเท้าเลยทีเดียว

 

 

ทั้งสองคนเข้าไปยังตำหนักหยวนหาง ก่อนจะคว้าตัวสาวใช้หนึ่งมาสอบถาม ได้ความว่าหนิงซีฮ่องเต้กำลังพักผ่อนอยู่ภายในตำหนักชางผิง

 

 

เจี่ยงยิ่นไล่สาวใช้ไป แล้วมองไปยังอวิ๋นหว่านชิ่นด้วยท่าทีเครียดเคร่ง “บ่าวของเจ้าช่างภักดีนัก ถึงกับทำเรื่องหลอกลวงฝ่าบาทเพื่อถ่วงเวลาให้เจ้า ทว่าตอนนี้ฝ่าบาทน่าจะทรงกริ้วอยู่ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเข้าไปขอร้องในตอนนี้ อย่างไรเสียเจ้าก็รู้ ว่าเดิมทีฝ่าบาทเรียกเจ้าไปปรนนิบัติ เผชิญหน้ากับฝ่าบาทตอนนี้ เจ้าไม่กลัวเลยหรือ”

 

 

“ข้ากับนางมีสายเลือดพี่น้อง” ภายในดวงตาของอวิ๋นหว่านชิ่นราวกับมีหยดน้ำเปล่งประกาย นางไม่ยอมแพ้สักนิด “ถึงตอนนั้นข้าคงมีวิธีพูดเอง” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็มองเจี่ยงยิ่งอย่างมั่นใจ “ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ข้ารู้ว่าท่านกั๋วจิ้วจะต้องปกป้องข้า”

 

 

เจี่ยงยิ่นยิ้ม ยิ่งนางดูสบายใจ นางก็ยิ่งดูโดดเด่น ไม่เหมือนคนทั่วไปสักนิด “ปากหวานเช่นนี้ ข้าจะไม่ปกป้องได้อย่างไร”

 

 

ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกไม่กี่คำ ก่อนจะตรงไปที่ตำหนักชางผิง

 

 

เหยาฝูโซ่วกำลังถอนหายใจอยู่หน้าตำหนักชางผิง เห็นได้ชัดว่าเจ้าเหนือหัวที่อยู่ภายในกำลังทรงกริ้ว ครั้นเห็นตัวการสกุลอวิ๋นโผล่มา เขาก็ตกใจยิ่งนัก ด้วยไม่คิดว่านางจะกล้ามาที่นี่ด้วยตนเอง!

 

 

เจี่ยงยิ่นกลับเอ่ยปากก่อน “ฝ่าบาทเล่า พวกข้าอยากเข้าเฝ้า”

 

 

“ตอนนี้ฝ่าบาทไม่ค่อยสบายพระทัย พระองค์กำลังพักอยู่ และเลี่ยงการล่าสัตว์ในตอนบ่ายไปแล้วด้วย ท่านกั๋วจิ้วมีเรื่องอันใดหรือ” เหยาฝูโซ่วเดาได้ว่าเป็นเรื่องใด แต่กลับแกล้งไม่รู้เรื่อง ท่านกั๋วจิ้วผู้นี้ใจกว้างนัก แต่หมดหนทางเสียแล้ว ไม่ว่าบัดนี้ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับผู้ใด ผู้นั้นล้วนต้องปิดปากเงียบ

 

 

“ไม่มีเรื่องสำคัญอะไร เพียงต้องการหาคน” เจี่ยงยิ่นกล่าวอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

 

 

เหยาฝูโซ่วเห็นอีกฝ่ายไม่ปิดบัง จึงไม่อ้อมค้อมเช่นกัน เขาถอนหายใจ แล้วมองตรงไปที่อวิ๋นหว่านชิ่น พลางสะบัดหางเปีย กล่าวอย่างถากถาง “เฮอะ คุณหนูอวิ๋นตัวจริงมาแล้วหรือ จิ๊ๆ บ่าวของเจ้าหน้าตาคล้ายเจ้านัก มิน่าเล่าถึงหลอกฝ่าบาทได้! เด็กสาวผู้นั้นปากแข็ง กล่าวแต่ว่าเจ้าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ทั้งยังกล่าวว่าหลายปีมานี้นางลำบากนัก คิดจะเป็นใหญ่เหนือใครมาโดยตลอด วันนี้มีโอกาสดีเช่นนี้ นางทำให้เจ้าสลบไปเพื่อจับฝ่าบาท และตั้งใจแทนที่เจ้า! แต่ข้าไม่เชื่อหรอก ว่าคุณหนูอวิ๋นไม่รู้จริงๆ…เวลานี้ฝ่าบาทใจกว้างนัก พระองค์ไม่สืบสาวให้มากความ ไม่คิดเลยว่าเจ้ายังอยากพบนางอีก คุณหนูอวิ๋น แม้เจ้าอายุยังน้อย ทว่าต้องเข้าใจเรื่องกาลเทศะกระมัง”

 

 

คำพูดกดดัน สอดแทรกไปด้วยความเฉยชา ทั้งยังไม่ขาดการอวดเบ่งและข่มขู่ นั่นก็เพื่อให้เด็กสาวตรงหน้ากลัวจนต้องถอยไป อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าขันทีใหญ่ผู้นี้กำลังจะตบหน้านาง ทว่านางกลับกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง “หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันมาสารภาพและอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น ในเมื่อฝ่าบาทน้ำพระทัยกว้าง แล้วเหตุใดถึงไม่ยอมพบหม่อมฉันสักครั้งเล่าเพคะ”

 

 

ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงของบุรุษดังออกมาจากภายในตำหนัก “ให้พวกเขาเข้ามา”

 

 

เหยาฝูโซ่วตะลึงงัน แล้วตอบไปว่า “พะยะค่ะ ฝ่าบาท” เขาหลีกทาง เลิกม่านขึ้น ก่อนจะกล่าวอย่างไม่พอใจนัก “เชิญเถอะ”

 

 

เจี่ยงยิ่นกับอวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปในตำหนัก เห็นเพียงหนิงซีฮ่องเต้นั่งอยู่ด้านบน

 

 

นี่เป็นครั้งที่สอง ที่อวิ๋นหว่านชิ่นพบหนิงซีฮ่องเต้ ครั้งก่อนพบกันที่บ่อน้ำเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ด้วยเพราะตะลึงลาน จึงไม่ได้มองให้ชัดเจน ครั้งนี้นับว่าได้เห็นอีกฝ่ายอย่างชัดเจนจริงๆ เสียที

 

 

บุรุษวัยเกือบสี่รอบมีรูปร่างผอมบาง ผิวซีดขาว ทว่ารักษาผิวได้ดีมาก แม่จะนั่งอยู่บนเก้าอี้ปักลายมังกรสีทอง แต่ก็ยังดูออกว่าเขาสูงศักดิ์ เขามีคิ้วยาว ดวงตาเรียวเล็ก เครื่องหน้าดูสง่างามและเย่อหยิ่ง ดูเป็นบุคคลที่มีความสามารถเก่งกาจอย่างเห็นได้ชัด

 

 

หลังจากทั้งสองคนทำความเคารพแล้ว หนิงซีฮ่องเต้ก็ทอดสายตามองไปที่เด็กสาว นี่สิเด็กสาวสกุลอวิ๋นที่ได้พบเมื่อวานเย็น นี่สิบุตรสาวของชิงเหยา เด็กคนนี้ก่อเรื่องวุ่นวาย ทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อน เขาขจัดความคิดของตนเองทิ้งไป แล้วกล่าวเสียงเย็น “พวกเจ้ามาเพราะมีเรื่องอันใด”