ตอนที่ 116-1 แผดเผาใจฮ่องเต้ อีกากลายเป็นหงส์

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เจี่ยงยิ่นกำลังจะตอบคำถามของหนิงซีฮ่องเต้ ทว่าอีกฝ่ายกลับชำเลืองมองไปยังข้างหลังพี่ชายของฮองเฮา “ในเมื่อนางอยากพบข้า ก็ให้นางพูดเอง”

 

 

เจี่ยงยิ่นกำลังจะพูด ทว่าอวิ๋นหว่านชิ่นกลับมองเขา ตรงหน้าคือฮ่องเต้ ถึงวันนี้จะทำเรื่องให้พระองค์ขุ่นเคืองพระทัย แต่คำพูดนี้กลับถูกต้องยิ่งนัก เรื่องของนาง นางก็ควรพูดเอง

 

 

หนิงซีฮ่องเต้เห็นเด็กสาวเงยแก้มขาวใสขึ้น ก่อนจะยืดอกเดินเข้ามาใกล้ เครื่องหน้าของนางสะสวย เพียงแค่มองก็เห็นความสง่างามอย่างชัดเจน ราวกับของล้ำค่าที่ไม่เคยแปดเปื้อน แต่แววตาของนางกลับเฉยชา เขานั่งตัวตรงในทันที มุมปากอมยิ้มขื่น ถูกต้องแล้ว นี่สิบุตรสาวของชิงเหยา แม้เด็กสาวที่อยู่ต่อหน้าเขาในหอชมจันทร์จะคล้ายคลึงอยู่แปดส่วน แต่หากว่ากันตามท่าทางแล้ว กลับแตกต่างกันอย่างชัดเจน

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าว “ทูลฝ่าบาท สาวใช้ของหม่อมฉันถูกฝ่าบาทขังไว้ เพียงเพราะอยากได้ความเมตตาจากฝ่าบาท”

 

 

เดิมทีหนิงซีฮ่องเต้กำลังใช้สายตากวาดมองใบหน้าของนาง ครั้นได้ยินดังนั้น เขาก็มีสายตาเย็นชาขึ้น “ขอความเมตตาอย่างนั้นรึ? เหตุใดข้าต้องเมตตาสาวใช้ที่หลอกลวงข้าด้วย หรือที่เด็กนั่นมาหาข้าที่หอชมจันทร์ เพราะเจ้าเป็นตัวการ?”

 

 

“ฝ่าบาท” เจี่ยงยิ่งเกรงว่าจะโยงใยไปถึงตัวอวิ๋นหว่านชิ่น “บ่าวของคุณหนูอวิ๋นเลอะเลือน นางไม่รู้เรื่องด้วยพะยะค่ะ”

 

 

“เช่นนั้นก็ช่างเถิด” หนิงซีฮ่องเต้สะบัดชายแขนเสื้อ ยกน้ำเสียงขึ้น เพื่อไม่ให้ใครขัดจังหวะ “เจ้าไม่รู้ ก็นับว่าเป็นผู้รับเคราะห์ ข้าไม่โทษเจ้าหรอก แต่ตัวการทรยศเจ้า เด็กคนที่หลอกลวงข้า เจ้าบอกข้ามาสิ ว่ามีเหตุผลอะไรที่ข้าต้องไว้ชีวิตนาง”

 

 

เจี่ยงยิ่นแอบกระตุกชายเสื้อของเด็กสาว เป็นการบอกให้นางอย่าได้พูดจาบุ่มบ่ามเลอะเทอะ

 

 

“เช่นนั้นหม่อฉันอยากถามเพคะ ว่าฝ่าบาทคิดจะจัดการสาวใช้คนนั้นอย่างไร” อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้ไร้เดียงสาอย่างที่เจี่ยงยิ่นคิด นางใช้น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นแล้ว

 

 

เหยาฝูโซ่วได้ยินคำถามของคุณหนูอวิ๋นจากที่หน้าประตู เขาพลันเหลือบมองฝ่าบาทครั้งหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วตอบเสียงดังว่า

 

 

“สาวใช้ที่จิตใจชั่วร้าย เล่นสกปรกเช่นนี้ ต้องส่งให้กรมอาญาจัดการ หากสอบสวนแล้ว ความผิดคงไม่พ้นไปจากถูกประหาร หรือถูกขังไปตลอดชีวิต!”

 

 

“ในเมื่อต้องส่งให้กรมอาญา ก็คงต้องป่าวประกาศให้ภายนอกและใต้หล้าได้รับรู้ บอกกล่าวถึงความผิดของนาง” อวิ๋นหว่านชิ่นหันหน้าไปด้านข้างครึ่งหนึ่ง ชำเลืองมองเหยาฝูโซ่ว น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความเสียดสี ก่อนจะลดเสียงลง “ข้าขอถามว่าพวกท่านจะตัดสินโทษอย่างไร สาวใช้ที่ไม่ได้เป็นทายาทของสกุลใด ปลอมตัวเปลี่ยนสถานะจากบ่าวเป็นนาย มาหลอกปรนนิบัติฝ่าบาทอย่างนั้นหรือเจ้าคะ เหยากงกง หากเรื่องนี้หลุดออกไป โทษตายของสาวใช้ผู้นั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เกียรติของฝ่าบาทเล่าเจ้าคะ?”

 

 

เมื่อนางพูดเช่นนั้น หนิงซีฮ่องเต้และเหยาฝูโซ่วต่างก็ตะลึงไปเล็กน้อย ด้วยตอบคำถามของนางไม่ได้จริงๆ

 

 

เหยาฝูโซ่วมีสีหน้าลนลาน ฮ่องเต้เป็นผู้ทรงเกียรติ มีชะตามังกร ไหนเลยจะอยากได้สาวใช้มาปรนนิบัติเล่า มีสตรีในวังหลังแก่งแย่งชิงดีกันมากมาย ไม่นานก็ได้รับป้ายตำแหน่ง และได้ปรนนิบัติฝ่าบาทสักครั้งหนึ่ง แต่วันนี้ฝ่าบาทกลับเรียกเด็กสาวคนหนึ่งมาขึ้นเตียงมังกร หรือฝ่าบาทไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย จนกระทั่ง…เสร็จกิจ

 

 

คนภายนอกเห็นแล้ว แม้ปากจะไม่กล้าพูดอะไร แต่ในใจกลับหัวเราะขบขัน เพราะอย่างไรก็เหมือนฝ่าบาทถูกสาวใช้ยั่วยวนมากกว่า

 

 

เจี่ยงยิ่นคิดเพียงว่าอวิ๋นหว่านชิ่นต้องการจะแข็งชนแข็ง คิดไม่ถึงว่าจะนางจะถกเถียงจากมุมนี้ เขาพลันยิ้มที่มุมปาก วางใจลงได้แล้ว ก่อนจะสนอกสนใจแต่เด็กสาวผู้นี้

 

 

ภายในตำหนังชางผิงเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง

 

 

แสงอาทิตย์สีทองหลังเที่ยงวันลอดผ่านม่านเข้ามา ตกกระทบบนแก้มและหน้าผากของอวิ๋นหว่านชิ่น ทำให้ไรขนละเอียดบนผิวขาวละมุนของนางเกิดแสงสีทองชั้นหนึ่ง

 

 

เมื่อเห็นหลายคนไม่พูดจา ดวงตาทั้งสองข้างของนางพลันจ้องเขม็งไปที่บุรุษบนบัลลังก์มังกร น้ำเสียงหยอกเย้า “…แน่นอนว่าหากฝ่าบาทอยากลงโทษใครสักคน ก็คงไม่ต้องมอบให้กรมอาญาอย่างชัดเจน เพียงลงโทษคนผู้นั้นอย่างลับๆ ก็คงได้กระมัง อย่างไรเสียตอนฝ่าบาทส่งเหยากงกงมาหาหม่อมฉัน ก็เป็นการลอบทำอย่างลับๆ ไม่มีใครรู้นี่เพคะ”

 

 

เจี่ยงยิ่นเดิมทีวางใจได้แล้ว บัดนี้รอยยิ้มของเขาชะงักค้าง กลับได้ยินนางกล่าวต่อ “ทว่าหม่อมฉันไม่เจอสาวใช้ จึงกระวนกระวายไปชั่วครู่ ระหว่างทางหม่อมฉันได้พบหญิงสาวที่โดยสารรถมาร่วมกัน พูดคุยได้ความว่านางเป็นหญิงสาวที่รับใช้ใต้เท้าในวัง ข้าว่าไม่ช้าก็เร็วเรื่องนี้ต้องแพร่งพรายออกไป ถ้ามีคนรู้เข้า ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรเลยเพคะ”

 

 

หนิงซีฮ่องเต้มองอวิ๋นหว่านชิ่น เด็กคนนี้เหมือนชิงเหยานัก ทั้งที่เป็นคนละคนอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเรื่องนี้ยุ่งเหยิงยิ่ง แม้แต่ฮ่องเต้ยังกล้ากล่าววาจาร้ายกาจด้วย นางพูดเหตุผลออกมาอย่างชัดเจนแล้ว ว่าต้องการขวางเขาไม่ให้ลงโทษสาวใช้คนนั้น

 

 

ชิงเหยาเป็นเหมือนผีเสื้อที่บินอยู่ท่ามกลางมวลเมฆ เป็นหญิงสาวในอุดมคติ มักจะทำให้ผู้อื่นอ่อนข้อและอ่อนโยนด้วย ทั้งยังทำให้หวนคิดถึง อาลัยอาวรณ์ไม่ยอมปล่อยวาง แต่จิตใจของเด็กสาวผู้นี้กลับเยือกเย็น เหมาะกับผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ อาจทำให้คนอื่นรู้สึกสบายใจได้ กระนั้นเพียงพริบตาเดียว นางกลับทำให้คนปวดใจ และจำต้องตั้งสติพูดคุยกับนาง

 

 

เด็กสาวตรงหน้าคนนี้ คล้ายกับได้แยกออกจากคนรักที่ฮ่องเต้ไม่อาจได้ครอบครองในอดีตเป็นคนละคน นางไม่เพียงเป็นบุตรสาวของสวี่ชิงเหยา แต่ยังมีความเปล่งประกายอันเป็นเอกลักษณ์ด้วย

 

 

หนิงซีฮ่องเต้รู้สึกโหวง ราวกับเสียของรักที่ไม่อาจได้คืนกลับมาอีกครั้ง

 

 

เมื่อเย็นวานหนิงซีฮ่องเต้เพิ่งได้เจอนางเป็นครั้งแรก ในอกรู้สึกเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีผู้คึกคัก จึงรีบสั่งการโดยเร็ว ครั้นให้เหยาฝูโซ่วเรียกนางมาเข้าเฝ้าอย่างลับๆ เขาถึงกับมือไม้สั่น ทันทีที่ได้เห็นสาวใช้ผู้นั้นในหอชมจันทร์ เขายิ่งเกือบจะพูดไม่ออก ทว่าบัดนี้ ความรู้สึกและความอ่อนโยนในใจกลับว่างเปล่าอย่างแท้จริง ราวกับถูกใครตบหน้าจนกลับมาสู่โลกแห่งความจริง และได้เห็นความจริงในทันที ว่าชิงเหยาและเด็กสาวนางนี้เป็นคนละคนกัน!

 

 

“ฝ่าบาท” เจี่ยงยิ่นก็เอ่ยปากเช่นกัน น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง แต่กลับดูร้ายกาจอยู่บ้าง เขากล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ “สาวใช้คนเดียวเท่านั้น เหตุใดถึงไม่ปล่อยวางเล่าพะยะค่ะ หรือเพียงอยากลงโทษนางเท่านั้น? หากพูดตามตรง ฝ่าบาทได้เปรียบไปแล้ว…”