ตอนที่ 246 การตัดสินใจ

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“ท่านกำลังคิดอะไรอยู่?” เซียงเสวี่ยถูกเยี่ยนมี่เอ๋อร์เรียกให้เข้ามาอยู่เป็นเพื่อน แม้ว่าใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเผยรอยยิ้มมองหมิงเอ๋อร์ที่เล่นอยู่ตรงนั้น ทว่ากลับไม่ได้ยิ้มไปถึงดวงตา นี่ทำให้นางรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีความกังวลในใจ หากเป็นคนอื่นก็ไม่แน่ว่าจะกล้าถามออกมา แต่นางและเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา ทั้งไม่มีอะไรต้องปกปิด จึงถามออกมาอย่างตรงๆ

“ลุงอินเป่าหูให้ข้าใช้ฐานะคุณหนูสุราออกไปข้างนอก ให้เจวี๋ยได้มีโอกาสล่วงรู้ถึงฐานะของข้า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ในยามนี้รู้สึกขัดแย้งในใจเป็นอย่างมาก ด้านหนึ่งนางอยากจะยืนหยัดในจุดยืนของตนเอง ไม่ปล่อยให้ถูกอินหงหลันหลอกล่อ ทำหน้าที่เป็นภรรยาที่ดีอยู่ในบ้านอย่างสงบเสงี่ยม ไม่สนใจต่อเรื่องภายนอกใดใด แต่อีกด้านหนึ่ง นางปรารถนาอยู่ลึกๆ ว่าจะได้ออกไปข้างนอก นางไม่อยากเป็นห่านป่าที่ไร้ถิ่นฐาน แต่ก็ไม่อยากเป็นนกขมิ้นที่อยู่ในกรง กระนั้นก็เหมือนกับที่นางพูดต่ออินหงหลัน ต้องยอมละทิ้งสิ่งหนึ่งจึงจะได้สิ่งหนึ่งมา อยากได้ทั้งสองอย่างพร้อมกัน ก็เป็นไปได้ที่จะสูญเสียทั้งสองอย่าง นางในยามนี้ไม่ใช่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เพิ่งแต่งเข้าตระกูลซั่งกวน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่นอกจากสาวใช้แม่นมคนสนิทข้างกาย ก็ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ต่อสิ่งใด นางในยามนี้มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีญาติสนิทมิตรสหายที่ไม่อาจตัดขาดได้ หลังจากครุ่นคิดครั้งแล้วครั้งเล่า จุดยืนที่นางได้ยืนหยัด จู่ๆ ก็สั่นคลอนอีกครั้ง

“เรื่องที่พ่อบุตรธรรมต้องการทำ ข้าและแม่บุตรธรรมล้วนรู้ดี เพียงแต่พวกเราไม่ได้แสดงความคิดเห็นอันใดเท่านั้น” เซียงเสวี่ยเผยยิ้มเล็กน้อย ในรอยยิ้มยังแฝงไปด้วยความขมขื่นอย่างเลือนราง “เขาทำเช่นนี้ก็เพราะผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ทั้งสองปีมานี้เขาก็ลองหยั่งเชิงหลายครั้ง หลังจากมั่นใจแล้วว่าหากให้คนล่วงรู้ฐานะของท่าน ก็ไม่อาจจะเกิดความร้ายแรงอะไรได้ จึงได้หว่านล้อมท่าน”

“หืม?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เลิกคิ้วเล็กน้อย มองเซียงเสวี่ย

“ปีที่แล้วพวกเราไปตระกูลมู่หรงและตระกูลหวงฝู่ ปีนี้ก็ที่ตระกูลชุย พ่อบุญธรรมล้วนเอ่ยถึงท่านป้ากับพวกผู้นำตระกูล…แต่ไหนแต่ไรพวกเขาก็ไม่ได้ล้มเลิกการตามหาร่องรอยของท่านป้า เพียงแต่ใครต่างก็คิดไม่ถึงว่า ท่านป้าจะไปอยู่ที่อู๋โจว ยิ่งไปกว่านั้นกลับไม่มีใครยอมจะคาดเดาว่าท่านป้าได้จากโลกนี้ไปแล้ว ล้วนแต่มั่นใจว่าท่านป้าย่อมมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่ซึ่งทำให้พวกเขาหาไม่พบ” ตั้งแต่ที่เซียงเสวี่ยกราบไหว้อินหงหลันเป็นพ่อบุญธรรมก็เอาแต่ติดตามอยู่ข้างกายสองสามีภรรยามาโดยตลอด จึงย่อมกระจ่างชัดในการกระทำของอินหงหลันที่สุด ทั้งยังเข้าใจสาเหตุเบื้องหลังการกระทำของเขาทั้งหมด “พ่อบุญธรรมอยากจะเลือกวันในเดือนสิบเอ็ดปีนี้เพื่อฝังศพของท่านป้า แต่ว่าเขาอยากฝังท่านป้ากับบิดาและศิษย์พี่ของนางไปด้วยกัน หากเป็นเช่นนั้น ก็จำต้องเปิดเผยเรื่องที่ท่านเป็นศิษย์ของท่านป้าออกมา มิเช่นนั้น เดิมทีเขาก็ไร้ทางที่จะอธิบายโดยสิ้นเชิง ความเป็นมาของเถ้ากระดูกนั้น ไม่อาจทำให้ผู้นำตระกูลพวกนั้นเชื่อเขา หรือเห็นด้วยที่จะเอาเถ้ากระดูกที่มีที่มาไม่ชัดเจนไปฝังไว้ที่นั่นได้”

เดือนสิบเอ็ด? เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย ท่านป้าเกิดในเดือนสิบเอ็ด ทั้งนับว่าเป็นเรื่องลำบากใจที่พวกเขาจำได้ และหากท่านป้ายังมีชีวิตอยู่ ปีนี้ก็จะครบรอบสี่สิบปีพอดี มิน่าเล่าอินหงหลันจึงใช้ท่าทีที่แตกต่างจากเมื่อก่อนมายุยงตัวเอง

“แต่ว่าข้าและแม่บุญธรรมล้วนคิดว่าเรื่องนี้ท่านต้องคิดให้รอบคอบ ไม่อาจนำความคิดของพวกเราไปกระทบต่อการตัดสินของท่านได้” เซียงเสวี่ยเผยรอยยิ้ม “ดังนั้นข้าและแม่บุญธรรมจึงทำได้เพียง…หากรู้ก็ย่อมพูด หากเลือกจะพูดแล้วก็ไม่คิดปิดบัง แต่ไม่อาจจะให้ความเห็นหรือแนะนำอะไรกับท่าน”

“ข้าเข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวยิ้มๆ “เจ้าหาโอกาสติดต่อตงอวี่เสียหน่อย ข้าอยากฟังความคิดเห็นและคำแนะนำของนาง!”

————————-

“ตงอวี่กล่าวว่าขอให้คุณหนูครุ่นคิดอย่างรอบคอบด้วยตนเอง!” เซียงเสวี่ยแย้มยิ้มเล็กน้อย หลังจากนางกลายเป็นบุตรสาวบุญธรรมของอินหงหลัน เข้าออกตระกูลซั่งกวนก็เป็นเรื่องง่าย ความสัมพันธ์กับตงอวี่ก็สนิทสนมกันมากขึ้น

“เช่นนั้นข้าก็คงต้องคิดดีๆ แล้วกระมัง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง ก่อนจะกล่าวขึ้นโดยพลัน “เซียงเสวี่ย เจ้าว่าเรื่องคุณหนูสุราของข้าจะสามารถปิดบังเจวี๋ยไปทั้งชั่วชีวิตได้หรือไม่?”

“ขอเพียงแค่ท่านคิดก็ย่อมเป็นไปได้!” เซียงเสวี่ยตอบอย่างระมัดระวัง นางไม่อยากทำอันใดให้กระทบต่อการตัดสินใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จะบอกซั่งกวนเจวี๋ยว่านางคือคุณหนูสุราหรือไม่ เป็นเรื่องที่นางจำเป็นต้องใคร่ครวญให้ละเอียดรอบคอบเรื่องหนึ่ง

“อยากจะปิดบังทั้งชีวิต บางทีอาจจะทำได้ เพียงแต่…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นศีรษะเล็กน้อย ปิดบังเรื่องนี้ต่อซั่งกวนเจวี๋ยทั้งชีวิตดูเหมือนไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดเล่า? ชั่วชีวิตนั้นนานเกินไป นางจะสามารถปิดบังซั่งกวนเจวี๋ยไม่ให้รู้ว่านางเป็นวรยุทธได้ทั้งชั่วชีวิตเลยอย่างนั้นหรือ? หากมีวันหนึ่ง…อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่จนถึงขั้นที่ทุกคนรู้ทั่วกันหรือเปล่า? นางนั้นเดาไม่ออกจริงๆ

อินหงหลันดูเหมือนอยากจะก่อเรื่อง แต่ที่จริงกลับได้ขบคิดมาก่อนอย่างละเอียด ก่อนจะมาหว่านล้อมตนเอง งานประลองยุทธ์ปีนี้ ไม่ว่าจะสถานที่หรือเวลาล้วนแล้วแต่เหมาะสม ไหลหยางอยู่ใกล้มาก หากอยากพบเจวี๋ยในงานประลองยุทธ์ ทั้งทำให้เขาเกิดความเคลือบแคลงใจ จากนั้นก็ฉวยโอกาสที่เหมาะสมเปิดเผยความลับทั้งหมด นับเป็นแผนที่เหนือชั้นจริงๆ สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกซั่งกวนฮ่าวรู้ถึงฐานะของตน ทั้งป้องกันปัญหาต่างๆ ที่จะตามมา นิสัยของซั่งกวนเจวี๋ย เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นรู้ดีอยู่แล้ว หลังจากเขารู้ว่าตัวเองคือคุณหนูสุรา ก็อาจจะโกรธเคือง ทั้งอาจจะโมโห แต่เขาย่อมจัดการเรื่องราวด้วยความรอบคอบไม่ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ แม้ว่าจะสูญเสียสติสัมปชัญญะโดยสิ้นเชิง แต่เขาก็จะระงับโทสะเพราะเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ได้อยู่ดี

หากตัวเองไม่มีเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ ไม่มีตำแหน่งมั่นคงในตระกูลซั่งกวน บางทีอินหงหลันก็คงไม่แนะนำให้ทำเช่นนี้ เหมือนที่เขาพูด คนที่มีชีวิตอยู่ล้วนสำคัญกว่าคนที่ตายไปมากกว่า จนถึงตอนนี้เขาล้วนไม่เคยให้ตัวเองไปกราบไหว้ท่านป้าที่อารามสัตตบุษย์ด้วยกันกับเขาสักครั้ง(หากเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ไปเอง ก็เป็นครอบครัวอินหงหลันและเซียงเสวี่ยที่ไปด้วยกัน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยไปพร้อมกัน) และยามนี้เขาคิดว่าเวลาได้เหมาะสมแล้ว หากยังยืดเวลาให้นานกว่านี้ แม้ตัวเองอาจจะอยู่ในตำแหน่งที่มั่นคงยิ่งกว่าในตระกูลซั่งกวน แต่ถึงเวลานั้น ความเป็นไปได้ที่ซั่งกวนเจวี๋ยจะระเบิดโทสะก็ย่อมมากขึ้น และยามนี้ ฉวยโอกาสในตอนที่ซั่งกวนเจวี๋ยยังไม่ลืมเลือนคุณหนูสุราไปจากใจ(แม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์รักใคร่ลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ได้ลืมไปทั้งหมด) หากตัวเองเป็นฝ่ายรุกไปอยู่เบื้องหน้าซั่งกวนเจวี๋ยด้วยฐานะของคุณหนูสุรา ทั้งแสร้งเผยคจุดอ่อน ซั่งกวนที่กำลังโกรธย่อมจะรู้สึกตกใจในขณะเดียวกัน ทั้งง่ายที่จะยอมรับทั้งสองตัวตนของนาง หากยังยืดเวลาไปนานกว่านี้จะไม่เป็นผลดีต่อตัวเองเว้นเสียแต่ว่าจะสามารถปิดบังเขาทั้งชั่วชีวิต

“พวกผู้นำตระกูลมู่หรงมีท่าทีกับท่านป้าอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะถามออกไป

“ไม่รู้!” เซียงเสวี่ยกล่าวตรงๆ “ยามที่พวกเขาพูดคุยเรื่องนี้ล้วนไม่ให้คนอื่นๆ ไปฟังอยู่ใกล้ๆ ข้าก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน แต่พวกเขาเกรงใจกับแม่บุญธรรมเสมอมา!”

“ข้าเข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ คำพูดที่ไม่ชัดเจนของเซียงเสวี่ยทำให้นางพยักหน้าเบาๆ ทั้งยังหมายความว่าแม้ฐานะศิษย์ของท่านป้าจะถูกคนล่วงรู้เข้า ก็ใช่ว่าจะเป็นปัญหาเสมอไป…เมื่อครุ่นคิดดูก็เห็นว่าเป็นเช่นนั้น ปีนั้นล้วนไม่มีใครมาสร้างความลำบากใจให้ท่านป้าอย่างตรงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวเอง อีกอย่าง นางก็เพียงบอกฐานะที่แท้จริงของคุณหนูสุรากับซั่งกวนเจวี๋ยคนเดียวเท่านั้น ไม่ได้ทำให้รู้ทั่วกันไปหมดเสียหน่อย เพียงแต่…

จู่ๆ นางก็นึกถึงมู่หรงปั๋วอวี่ที่ว่ากันว่ากำลังตามหาคุณหนูสุราไปทั่วผู้นั้น งานประลองยุทธ์ เขาก็คงไปด้วยกระมัง! งานประลองยุทธ์ปีที่แล้ว เขาก็เล่นละครน้ำเน่าออกมาฉากหนึ่ง กลายเป็น ‘เรื่องตลกของความรักที่ขาดสติ’ ของตระกูลมู่หรง

แต่ว่า เหตุใดนางจะต้องไปปรากฏตัวที่งานประลองยุทธ์กัน? หลังจากคิดปัญหาออก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็นึกไปถึงอีกปัญหาหนึ่ง คุณหนูสุรานั้นรู้จักถึงฐานะของซั่งกวนเจวี๋ยแล้ว ยังจำเป็นต้องทำเหมือนหนุ่มเลี้ยงวัวและสาวทอผ้า[1]ที่ปีหนึ่งพบกันเพียงหนึ่งครั้งอย่างนั้นหรือ?

“ท่านคิดออกแล้วหรือยัง?” เซียงเสวี่ยเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่จู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มอย่างดีใจขึ้นมา จึงรู้ทันทีว่านางได้ตัดสินใจแล้ว ถามออกไปอย่างสนใจ

“ข้าว่าคำแนะนำของลุงอินก็อาจจะพอเป็นได้ แต่ว่าแผนการโดยรวมนั้นยังต้องไตร่ตรองอีกเสียหน่อย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้ม ในใจนั้นได้ตัดสินใจที่จะค่อยๆ เปิดเผยเรื่องฐานะออกมาแล้ว แต่สิ่งที่ต้องใคร่ครวญก็มีเพียงวิธีและแผนการเท่านั้น

“ท่านตัดสินใจ…อย่างไรท่านตรึกตรองดีๆ แล้วค่อยว่าเถิด” ที่จริงเซียงเสวี่ยไม่ค่อยเห็นด้วยกับเรื่องที่จะให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยความลับ แต่ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกว่าปิดบังไปชั่วชีวิตก็ไม่นับเป็นเรื่องดีอันใด หากเกิดการลอบสังหารอีกครั้งหรือเมื่อใดที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พบเหตุการณ์อันตรายเข้า นางควรจะต้องช่วยเหลือตัวเองหรือไม่? ไม่อาจจะคลี่คลายได้ง่ายเหมือนครั้งที่แล้วหรอกกระมัง!

——————————-

“ข้าคิดกระจ่างแล้ว!” ตั้งแต่อินหงหลันเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาจนถึงตอนนี้ก็ได้ผ่านไปสองสามวันแล้ว หลายวันมานี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เอาแต่ครุ่นคิดเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ว่าอยากจะพูดคุยกับเซียงเสวี่ยเสียหน่อย หลังผ่านการพูดคุยแล้ว ก็จะเผชิญหน้าด้วยวิธีของตัวเองเท่านั้น และยามนี้นางก็ได้ตัดสินใจแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องลังเลอีกต่อไป

“หากกล่าวว่าทำเพื่อท่านป้าย่อมไม่มีความจำเป็น!” เซียงเสวี่ยครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “ไม่ว่าจะข้าหรือตงอวี่ล้วนสามารถใช้ฐานะศิษย์ของท่านป้าปรากฏกายได้ จากนั้นก็จะนำท่านป้าไปฝังไว้ข้างคนที่รักของนาง ข้าคิดว่าท่านป้าย่อมไม่หวังให้ท่านทำเรื่องเช่นนี้เพื่อนาง!”

“ข้าย่อมจะฝังท่านป้าด้วยมือของตัวเอง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นศีรษะ “แต่ข้าทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะท่านป้า ล้วนเพื่อตัวเอง เซียงเสวี่ย หากเพียงแค่เรื่องเดียว ก็คงสามารถปิดบังได้ทั้งชีวิต แต่ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายถึงขนาดนั้น ข้าปิดบังช่วงเวลาหนึ่งได้ แต่ไม่อาจปิดบังได้ทั้งชั่วชีวิต แทนที่จะปล่อยให้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างไม่ทันระวังในวันหนึ่งวันใดในอนาคต ยังมิสู้จัดการเรื่องนี้ให้ชัดเจนในยามที่ตัวเองพร้อม เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”

“ข้าเชื่อว่าท่านสามารถปิดบังได้ทั้งชีวิต!” เซียงเสวี่ยทวนประโยคก่อนหน้าซ้ำอีกครั้ง

“หากมีวันใดวันหนึ่ง พบเจอกับเรื่องเหมือนครั้งก่อนเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็นึกไปถึงเหตุการณ์ลอบสังหารครั้งนั้นเช่นกัน คาดว่าคนพวกนั้นอาจจะรู้แล้วว่าตัวเองมีหัวใจที่ ‘เอนเอียง’ หากเกิดขึ้นอีกครั้งละก็ พวกเขายังจะยอมให้ตัวเองใช้วิธีเดิมในการเอาตัวรอดอย่างนั้นหรือ? อีกอย่าง ยามนี้ตัวเองได้กลายเป็นแม่คนแล้ว หากหมิงเอ๋อร์ถูกคุกคามใกล้หูใกล้ตาตัวเอง ก็จะยอมอดทนเพื่อปิดบังความลับของตัวเองได้อย่างนั้นหรือ? เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อไม่ช้าก็เร็วล้วนมีความเป็นไปได้ที่จะถูกเปิดเผย เหตุใดไม่เป็นฝ่ายชิงความได้เปรียบเริ่มก่อนเสียเล่า?

เซียงเสวี่ยเงียบไป แม้หลังจากครั้งนั้นคนพวกนั้นจะหายเข้ากลีบเมฆไป ทั้งไม่ปรากฏตัวอีก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาได้ละทิ้งความคิดที่จะลอบสังหารเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปแล้ว นางไม่อาจหลบหลีกอย่างง่ายดายทั้งชั่วชีวิตได้ นางอาจจะระวังเตรียมการณ์ล่วงหน้าได้ แต่มีเพียงขโมยเท่านั้นที่มักจะทำเรื่องชั่วบ่อยๆ ไหนเลยตนเองจะต้องมาคอยมาป้องกันขโมยบ่อยๆ เช่นนี้

“หากครั้งหน้าคนที่พวกเขาต้องการสังหารไม่ใช่ข้าแต่เป็นหมิงเอ๋อร์เล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นเซียงเสวี่ยเงียบไป จึงกล่าวต่อ “เวลานั้นข้ายังมีทางเลือกอื่นอีกอย่างนั้นหรือ? แทนที่จะถูกคนโจมตีอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ยังมิสู้ให้เจวี๋ยรู้เรื่องนี้เร็วหน่อย ส่วนจะบอกคนอื่นหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว!”

“ไม่ว่าท่านจะตัดสินใจอย่างไร ข้าล้วนแต่สนับสนุนท่าน เพียงแต่อยากให้ท่านครุ่นคิดด้วยความระวังอีกเสียหน่อยเท่านั้น” เซียงเสวี่ยถอนหายใจ แต่นางรู้ดี ความเป็นไปได้ที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเปลี่ยนใจมีน้อยเหลือเกิน…

———————————-

[1] หนุ่มเลี้ยงวัวและสาวทอผ้าเป็นตำนานความรักของจีน ตามตำนานทั้งสองคนจะพบกันเพียงวันเดียวในรอบปีก็คือวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดซึ่งตรงกับวันแห่งความรักของจีน