ตอนที่ 247 การเชื้อเชิญไม่เป็นผล

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“คุณชายขลุ่ย ยามอู่สามเค่อ[1]เชิญท่านมาพบกันที่สระบัวรินกลิ่นปทุมหน่อย โม่จิ้ง!” ซั่งกวนเจวี๋ยถือจดหมายที่มีกลิ่นดอกกุ้ยฮวาลอยฟุ้งอย่างเลือนราง ไม่รู้ว่าในใจตนเองนั้นมีความรู้สึกอย่างไรกันแน่ รินกลิ่นปทุมนั้น เป็นโรงสุราริมสระบัวเล็กๆ ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เขาและมี่เอ๋อร์เคยไปที่นั่นด้วยกันสองครั้ง

“คุณชายใหญ่?” โม่เซียงไม่เข้าใจ เหตุใดจดหมายเพียงฉบับเดียวถึงกับทำให้สีหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยเปลี่ยนไปได้ ราวกับทำจานสีหกคว่ำไปอย่างไรอย่างนั้น

“ไปนำข้อมูลสองเดือนที่แล้วที่ทางเหมืองแร่หมายเลขสองส่งมามาให้ข้า วันนี้ข้าจะสะสางมันให้เสร็จสรรพ!” ซั่งกวนเจวี๋ยพับจดหมายนั้นไว้บนโต๊ะ ก่อนจะออกคำสั่ง

“ขอรับ!” โม่เซียงพยักหน้า ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็รู้ดีว่าเวลานี้ไม่อาจจะพูดอะไรได้ จึงรีบไปเอาข้อมูลมาทันที เหมืองแร่หมายเลขสอง เป็นเหมืองแร่เงินที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลซั่งกวน หากจัดการข้อมูลทั้งหมดให้แล้วเสร็จละก็ อย่างน้อยคงต้องใช้เวลาทั้งวัน

เมื่อเห็นโม่เซียงออกไป ซั่งกวนเจวี๋ยก็ถอนหายใจเล็กน้อย ควักกระบอกไฟออกมาจากในเสื้อ ก่อนจะเผาจดหมายฉบับนั้น ไม่ว่าผู้ที่เชิญเขาจะเป็นคุณหนูสุราจริงๆ หรือไม่ เขาก็ไม่ควรไปอยู่ดี ยามนี้เขามีครอบครัวที่สุขสันต์แล้ว มีภรรยาแสนดีที่ทำให้เขายินดีจะใช้ชีวิตร่วมกันตลอดไป เขาไม่ควรปล่อยให้เรื่องใดหรือคนผู้ใดมาทำลายความสุขยามนี้ได้ แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นคนแรกที่ทำให้เขาใจเต้นก็ตาม ชั่วชีวิตนี้ของเขาไม่อาจจะลืมความสดใสของนาง แต่ย่อมไม่อาจทำร้ายภรรยาของตัวเองเพื่อนางได้อย่างแน่นอน

“คุณชายใหญ่ ข้อมูลทั้งหมดอยู่ตรงนี้แล้วขอรับ!” โม่เซียงหอบรายงานกองโตเข้ามา รายงานที่อยู่บนสุดนั้นอยู่ใต้คางเขาพอดี อย่าพูดเลยว่าจะพิจารณาและสะสางข้อมูลทั้งหมด แค่จะอ่านให้หมดก็ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวันเต็มๆ และปกติซั่งกวนเจวี๋ยก็มักจะจัดการข้อมูลพวกนี้พร้อมกับผู้ดูแลคนสำคัญอีกหลายคน

“อืม” ซั่งกวนเจวี๋ยผงกศีรษะ “ไปเชิญพวกผู้ดูแลเข้ามาจัดการด้วยกันหน่อย อีกอย่าง เมื่อถึงยามอู่เตือนข้าด้วย ข้าจะกลับไปกินข้าวเที่ยงกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์”

“ขอรับ!” โม่เซียงพยักหน้า ก่อนจะออกไปเชิญผู้ดูแล ด้านซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่รั้งรอเวลาให้เสียเปล่า พลิกดูข้อมูลทันที หลังจากพวกผู้ดูแลเข้ามาก็จัดการสะสางและแสดงความคิดเห็นร่วมกัน

——————-

“คุณชายใหญ่ ถึงยามอู่แล้วขอรับ!” เมื่อใกล้ถึงเวลา โม่เซียงที่รับผิดชอบงานตนเองได้เป็นอย่างดีก็เข้ามาเตือนซั่งกวนเจวี๋ยทันที และยามนี้ก็เป็นเวลาหยุดพักงานพอดี ซั่งกวนเจวี๋ยผงกศีรษะ เก็บรวบรวมข้อมูลไว้ด้วยกัน ให้พวกผู้ดูแลนำมันไปไว้ในตู้เก็บเอกสาร ส่วนที่ยังไม่ได้จัดการก็เก็บไว้ด้วยกัน รอจนช่วงบ่ายแล้วค่อยกลับมาจัดการต่อ

ที่จริงสถานที่ที่ซั่งกวนเจวี๋ยจัดการสะสางงานก็เป็นของตระกูลซั่งกวน อยู่รวมกับที่พักของสมาชิกในครอบครัว แต่แม้จะเดินก็ยังคงต้องใช้เวลาถึงสองก้านธูป และช่วงนี้ซั่งกวนเจวี๋ยมักรีบร้อนที่จะกลับไปพบรอยยิ้มของลูกและภรรยาให้เร็วหน่อย จึงเดินเร็วกว่าวันปกติมาก กลับไปถึงเรือนมีคู่ภายในเวลาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แต่คนที่ต้อนรับเขามีเพียงเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ที่ยิ้มอย่างดีใจ ด้านภรรยานั้นกลับหายไปแทบไม่เห็นเงา

“มี่เอ๋อร์และแม่นมฉินไปอารามสัตตบุษย์ด้วยกัน ก่อนเวลาอาหารเย็นจึงจะกลับมา” แม้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะไม่พอใจนักที่หลานตัวน้อยเห็นบิดาสุดที่รักของตนแล้วก็เริ่มไม่สนใจนาง ทว่าคุ้นชินแล้ว ทำเพียงตบก้นเจ้าตัวเล็กเบาๆ เพื่อให้รู้ว่าไม่พอใจเท่านั้น

“เตียเตี่ย…[2]” เสี่ยวหมิงเอ๋อร์กอดใบหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยพลางร้องเรียก ยามนี้เขาพูดได้แล้ว แต่เป็นเพียงคำไม่กี่คำง่ายๆ ทั้งคำซ้ำที่ไม่สลับซับซ้อนเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่พูดก็ล้วนได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่

“เสี่ยวหมิงเอ๋อร์คิดถึงพ่อหรือไม่?” ซั่งกวนเจวี๋ยคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะคว้าน้ำเหลว แต่ว่าไม่พบภรรยา ยังคงสามารถกินข้าวกับลูกชายได้ก็นับเป็นเรื่องที่มีความสุขอยู่ดี

“อื้อ…” เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ตอบไม่เป็น แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะฟังไม่ออก เมื่อได้ยินซั่งกวนเจวี๋ยถามก็พยายามผงกศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตายทันที จากนั้นก็เป็นฝ่าย ‘จูบด้วยน้ำลาย’ กับซั่งกวนเจวี๋ย…ทำให้ใบหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยน้ำลายของเขา

“มี่เอ๋อร์ไปตั้งแต่เมื่อใด? เหตุใดข้าจึงไม่รู้สักนิด” ซั่งกวนเจวี๋ยถามออกไป แม้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่บอกก็เป็นเรื่องปกติ แต่ทุกเดือนจะไปอารามสัตตบุษย์เพียงครั้งสองครั้ง เพียงแค่คาดไม่ถึงว่าวันนี้ก็ไปด้วยเช่นกัน

“ทุกเดือนนางมักจะเข้าไปช่วงสองวันนี้ เพียงแต่เจ้าจำไม่ได้เท่านั้น” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลับกระจ่างใจกว่า นางเองเคยไปเป็นเพื่อนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ครั้งสองครั้งเช่นกัน แต่หลังจากเสี่ยวหมิงเอ๋อร์เกิดก็ไม่ได้ไปแล้ว

“ข้าจำไม่ค่อยได้” ซั่งกวนเจวี๋ยชะงักไปเล็กน้อย เป็นเช่นนี้หรือ? เขาคล้ายกับไม่ได้สังเกตถึงเรื่องนี้

“เจ้าจำไม่ค่อยได้? เจ้าจำอะไรได้บ้าง?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลอกตาใส่เขาไปที “ตัวเจ้ายังเอาใจใส่มี่เอ๋อร์ไม่มากพอ เจ้ารู้ความชอบของนางทั้งหมดหรือไม่? คาดว่าคงจะไม่รู้ แต่มี่เอ๋อร์ย่อมรู้ทุกอย่างว่าเจ้าชอบอะไร เกลียดอะไร นี่เจวี๋ยเอ๋อร์…ภรรยาของตัวเองก็จำเป็นต้องให้ตัวเองเข้าใจและแสดงความรักเสียหน่อย อย่าได้ให้คนอื่นมาเตือนเจ้า!”

ซั่งกวนเจวี๋ยตะลึงไปเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นเข้าใจเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากแล้ว หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดเช่นนี้ ทำให้เขาไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง เขารู้ถึงงานอดิเรกและความชอบของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ หรือนี่ยังไม่พออีก?

“เจ้าคิดว่าเจ้าเข้าใจมี่เอ๋อร์มากพอแล้วใช่หรือไม่?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อแค่มองลูกชายก็รู้ทันทีว่าคิดอะไร เค้นเสียงออกมา “แต่เรื่องพวกนั้นมีกี่เรื่องที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นฝ่ายเล่าให้เจ้าฟัง ทั้งมีกี่เรื่องที่เป็นเจ้าเองสังเกตเห็นถึงรู้มา? ยามที่มี่เอ๋อร์มีความสุขแสดงสีหน้าอย่างไร และยามที่นางมีเรื่องในใจทว่ากลับฝืนยิ้มออกมามีท่าทีอย่างไร เจ้าเคยตระหนักถึงเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้บ้างหรือไม่?”

ซั่งกวนเจวี๋ยนิ่งงัน นี่คล้ายกับว่าเขาไม่เคยสังเกตอย่างละเอียดจริงๆ แต่ความชอบของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ บางอย่างก็เป็นเขาที่สังเกตเห็นเอง แต่ส่วนมากกลับเป็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เป็นฝ่ายบอกเขาในยามที่คุยเล่นกัน แต่ความชอบของตัวเอง น้อยครั้งที่เขาจะเป็นฝ่ายบอกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ทว่ากลับเป็นส่วนมากที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์สังเกตได้ผ่านวันปกติทั้งสอบถามจากคนรอบกาย เทียบกันแล้ว เขานับว่าทำได้ดีไม่พอจริงๆ

“สองวันนี้มี่เอ๋อร์จิตใจว้าวุ่นอยู่บ้าง ออกไปเดินเล่นหน่อยก็เป็นเรื่องดี หากช่วงบ่ายเจ้าไม่มีธุระอันใดก็ไปรับพวกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่อารามสัตตบุษย์หน่อยเถิด” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเห็นซั่งกวนเจวี๋ยนิ่งไป ก็รู้ว่าเขากำลังคิดทบทวนตัวเองอยู่ จึงผงกศีรษะอย่างพอใจ ไม่ใช่เขาไม่ใส่ใจเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่ยังเป็นฝ่ายที่กระตือรือร้นไม่พอเท่านั้น เขาควรจะกระตือรือร้นอีกสักหน่อยจึงจะดี

“เข้าใจแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้า ไม่พูดะไรมากความ เขาควรจะกระตือรือร้นกว่านี้หน่อยจริงๆ หลังจากกินข้าวเที่ยง ก็กล่อมเสี่ยวหมิงเอ๋อร์นอนด้วยตัวเอง ทั้งให้โม่เซียงไปแจ้งผู้ดูแลพวกนั้นว่าให้พักตอนบ่ายเสีย พรุ่งนี้ยามเช้าค่อยมาทำงานต่อ จากนั้นเขาจึงค่อยออกจากจวนไปอย่างเอื่อยเฉื่อย เวลานี้ก็ได้ล่วงเลยจากยามที่นัดกับ ‘คุณหนูสุรา’ มาพักใหญ่แล้ว…

ยามอู่หนึ่งเค่อ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไปถึงรินกลิ่นปทุมเพื่อรอการมาถึงของซั่งกวนเจวี๋ย…หลังจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์และพวกแม่นมฉินเข้าไปในอารามสัตตบุษย์ นางก็หาข้ออ้างไปปลดทุกข์ ทั้งสลับตัวกับตงอวี่ที่อยู่ในอารามสัตตบุษย์ตั้งนานแล้ว ก่อนจะค่อยๆ ออกไปจากอารามสัตตบุษย์มาถึงที่นี่ ซั่งกวนเจวี๋ยจะปรากฏตัวหรือไม่ นางนั้นคาดเดาไม่ได้แม้แต่น้อย แต่นางยังคงมีกะจิตกะใจนั่งลงสั่งสุรามาหนึ่งกา ทั้งอาหารเลิศรสไม่กี่อย่าง รินเองดื่มเอง ท่าทางที่ราวกับคุณหนูเจ้าสำราญอย่างบอกไม่ถูกนั้น ทำให้อินหงหลันและซินหรันที่อยู่ไม่ไกลถึงกับเบิกตากว้าง

“มี่เอ๋อร์ดื่มสุราเป็น?” อินหงหลันมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เผยท่าทีอย่างเช่นเคยยกสุราทั้งกาดื่มอย่างสบายๆ ด้วยความตกใจ ดวงตานั้นแทบจะหล่นลงมาจากเบ้า เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าปีนั้นพี่อวี๋ฮวนก็ชอบดื่มเช่นกัน กระนั้นกลับคออ่อน เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ใช่แบบนั้น

“อื้อ!” เซียงเสวี่ยก็เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ดื่มสุราเป็นครั้งแรกเช่นกัน แต่ก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาว่านางนั้นคอแข็งยิ่งนัก จึงไม่ตกใจ กล่าวทั้งหัวเราะ “ได้ยินท่านป้าพูดว่า นางนั้นคอแข็ง คนธรรมดาทั่วไปล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง”

“มิน่าเล่านางจึงเรียกตัวเองว่าคุณหนูสุรา ที่แท้ก็ยังมีด้านที่ทำให้คนตกใจเช่นนี้!” ซินหรันแทบพูดไม่ออก นางก็ถือว่าดื่มสุราได้พอประมาณ หากดื่มลงไปทั้งกาเช่นนั้นคาดว่าคงจะลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว

“แต่เห็นท่าทางในยามนี้ของนาง คล้ายกับท่านพี่ในปีนั้นมากจริงๆ!” อินหงหลันกล่าวทั้งถอนหายใจ “ไม่ว่าเจวี๋ยเอ๋อร์จะมาหรือไม่มา สามารถเห็นท่าทีเช่นนี้ของมี่เอ๋อร์ได้ก็นับว่าไม่เสียเที่ยวแล้ว!”

“ถึงเวลานัดแล้ว เจวี๋ยเอ๋อร์ยังไม่มาอีก คงไม่ใช่ว่าเขาไม่มาแล้วกระมัง?” ซินหรันเหลือบมองดวงอาทิตย์ที่อยู่ด้านบน นางบอกไม่ถูกว่าในใจของตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่ หวังให้ซั่งกวนเจวี๋ยปรากฏตัว หรือหวังให้เขาไม่ปรากฏตัว…ก่อนหน้านี้หวังให้เขาอย่าได้มา มิเช่นนั้นก็คงจะทำให้มี่เอ๋อร์เสียใจ แต่เมื่อเห็นอีกด้านของมี่เอ๋อร์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง นางพลันรู้สึกขัดแย้งในใจ คิดว่าแม้ซั่งกวนเจวี๋ยจะทำให้มี่เอ๋อร์เสียใจ แต่ก็คงไม่ทำร้าย ‘คุณหนูสุรา’ ที่มีเสน่ห์แบบพี่อวี๋ฮวนในปีนั้นให้เจ็บช้ำน้ำใจหรอกกระมัง ท่ามกลางความไม่รู้ตัว นางก็ได้แบ่งเยี่ยนมี่เอ๋อร์และเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่แต่งเป็น ‘คุณหนูสุรา’ ตรงหน้าออกเป็นสองคน และในที่สุดถึงเข้าใจว่าเหตุใดจนถึงยามนี้ซั่งกวนเจวี๋ยถึงยังไม่รู้ว่าทั้งสองคนนี้ที่จริงแล้วคือคนเดียวกัน…

“ข้าว่าคงไม่มาแล้ว!” เซียงเสวี่ยมองดวงอาทิตย์ “ผ่านไปหนึ่งเค่อแล้ว หากมา เขาก็คงถึงแล้ว!”

“มี่เอ๋อร์คิดจะทำอะไร?” อินหงหลันเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์หยัดกายขึ้นอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ก่อนจะคิดเงิน คล้ายกับมาถึงที่นี่เพื่ออาหารเลิศรสมื้อหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มานัดพบคนแต่อย่างใด

“ไม่รู้!” ซินหรันตอบ จากนั้นทั้งสามคนก็เข้าไปหาอย่างรวดเร็ว อินหงหลันขวางนางไว้อย่างตรงๆ ถามอย่างแฝงความกังวลเล็กน้อย “เจ้าเมาอย่างนั้นหรือ?”

“เปล่า!” มี่เอ๋อร์ตอบอย่างสั้นๆ “เพียงแค่เลยเวลาแล้ว ข้าก็ควรจะกลับไปสลับตัวกับตงอวี่ที่อารามสัตตบุษย์”

“เจ้าจะไม่รออีกหน่อยหรือ?” อินหงหลันหมายความว่า หากนางก้าวเท้าออกไป แต่ซั่งกวนเจวี๋ยมาถึงพอดี นั่นก็เท่ากับพลาดโอกาสจะเจอกันแล้ว

“เขาไม่มาแล้ว” มี่เอ๋อร์เผยยิ้มเล็กน้อย “เจวี๋ยเป็นคนที่ตรงต่อเวลามาโดยตลอด หากเขาจะมา ก็คงมาถึงที่นี่ตั้งแต่ยามอู่สองเค่อแล้ว ไม่ใช่รอจนจะเลยยามอู่สี่เค่อก็ยังไม่ปรากฏกาย รอต่อไปมีแต่เสียเวลา อย่างไรข้าก็อย่าได้ทำเรื่องเกินความจำเป็นดีกว่า!”

“แล้วจะปล่อยเรื่องนี้ไปเช่นนี้หรือ?” อินหงหลันขมวดคิ้ว หรือนางจะถอดใจกลางคัน?

“เพียงแค่วิธีท่านไม่ได้ผลแล้ว ต่อไปก็เปลี่ยนมาใช้วิธีของข้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มหวาน ใช้ตัวตนของคุณหนูสุราเข้าใกล้ซั่งกวนเจวี๋ย ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยจับถึงความผิดปกติเป็นคำแนะนำของอินหงหลัน และนางก็เพียงอยากให้อินหงหลันรู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจสำเร็จก็เท่านั้น นางอยากบอกซั่งกวนเจวี๋ยไปตรงๆ ไม่อยากจะอ้อมค้อมอย่างนี้แล้ว

“แต่ว่า…” คำว่า ‘แต่ว่า’ ของอินหงหลันเพิ่งจะออกจากปาก ก็ได้รับสายตาตักเตือนจากซินหรันทันที ปิดปากฉับลงโดยพลัน ด้านเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็คลี่ยิ้มบาง หมุนกายออกจากรินกลิ่นปทุม ขึ้นอาชาสีแดงเพลิงที่ตงอวี่เตรียมไว้ให้นาง…

—————————–

[1] ยามอู่สามเค่อ ยามอู่ ช่วงเวลา11:00 – 12:59 หนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที ยามอู่สามเค่อจึงเป็นเวลาประมาณ 11.45

[2] 爹爹 อ่านว่า เตียเตี่ย เป็นคำใช้แทนเรียกพ่อ