ตอนที่ 94 กลุ่มทหารรับจ้างสนธยา

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“ส่งลูกอสูรมายาที่พวกเจ้าชิงไปมาเดี๋ยวนี้ แล้วก็ส่งป้ายผู้เข้าสอบทั้งหมดมาด้วย”

ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้น ขณะที่ม่อเสียกดหลิวเหนิงลงกับพื้น

ในเวลานี้สภาพของหลิวเหนิงยับเยิน ไม่ว่ามองไปในจุดใดของร่างกายก็มีแต่รอยฟกช้ำดำเขียวโดยเฉพาะบนใบหน้า แก้มบวมตุ่ย จมูกใหญ่ ๆ นั้นหักเบี้ยวจนผิดรูป ส่วนตาทั้งสองข้างก็ปูดบวมจนเปิดเปลือกตาไม่ได้แล้ว ที่สำคัญมันเป็นรอยช้ำเป็นวงเต็มเบ้า แทบจะเรียกว่ามนุษย์ผู้นี้กลายร่างเป็นหมีแพนด้าไปโดยสมบูรณ์

“นายหญิง รูปลักษณ์ใหม่ที่พวกเราทำให้เขาไม่เลวเลยจริง ๆ”

เสี่ยวเฮยที่เต็มอิ่มกับภารกิจจัดการคนชั่ววิ่งมายืนข้างกายนายหญิงดังเดิมแล้วหันกลับไปมองหลิวเหนิงด้วยสายตาภาคภูมิใจ อาชาสีนิลในร่างมนุษย์ออกปากชมตัวเองกับพวกพ้องเสียงดังลั่น … ‘นี่นับว่าเป็นประติมากรรมมนุษย์ที่เกือบจะเข้าขั้นสุดยอดแล้ว’’

“ยอดเยี่ยมจริง ๆ  ดูดีกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก”

ฉินอวี้โม่เอ่ยชมอสูรในสังกัดทั้งหลายพลางพยักหน้าด้วยความชื่นชม คุณหนูคนงามพยายามควบคุมรอยยิ้มและกลั้นหัวเราะเอาไว้

และด้วยคำชมของนายหญิงผู้เป็นที่รัก เหล่าศิลปินอสูรมายาผู้ภักดีจึงต่างพากันยิ้มแป้นอย่างเป็นปลื้ม

จริงอยู่ว่าพวกมันอาจจะลงมือหนักไปสักหน่อย แต่เพราะพวกมันทั้งหมดแค่ต้องการสั่งสอนคนหน้าไม่อายผู้นี้เท่านั้น ฉะนั้นหลิวเหนิงจึงได้รับบาดเจ็บแค่ภายนอกไม่กระทบกระเทือนถึงอวัยวะภายในทำให้เขายังพอเคลื่อนไหวได้ถึงแม้สภาพจะดูสะบักสะบอมมากเหลือเกินก็ตาม

“เจ้าไม่กลัวว่าการลงมือกับข้าจะเป็นการล่วงเกินขุมกำลังที่สนับสนุนข้าอยู่รึ ?”

หลิวเหนิงจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาคั่งแค้นและเอ่ยข่มขู่

“เขาเป็นสมาชิกของกองทหารรับจ้างสนธยา เกี่ยวกับกลุ่มทหารรับจ้างสนธยานี้แม่นางคงจะเคยได้ยินมาบ้าง”

สือซานกระซิบเสียงเบาให้ฉินอวี้โม่ฟัง

กองทหารรับจ้างสนธยากับกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนต่างก็เป็นกลุ่มทหารรับจ้างระดับหนึ่งด้วยกันทั้งคู่ อิทธิพลและความแข็งแกร่งของกลุ่มทหารรับจ้างชื่อดังทั้งสองนับว่าไม่ด้อยไปกว่ากันเลย

ฉินอวี้โม่พยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็คนจากกองทหารรับจ้างสนธยานี่เอง”

“หึ ถ้าเจ้ายอมขอโทษข้าตอนนี้ ข้าจะไม่ถือสาหาความในเรื่องที่ผ่านมา แต่หากเจ้าไม่ทำ หลังจากข้าออกไปจากที่นี่ข้าจะไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้หัวหน้ารับรู้ ถึงตอนนั้นข้าจะรอดูว่าเจ้าจะรับมือยังไง !”

หลิวเหนิงมองฉินอวี้โม่อย่างเหยียดหยามและเอ่ยคำข่มขู่ต่อ

“หุบปาก ก็แค่กองทหารรับจ้างสนธยา ข้าผู้นี้ไม่เห็นอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ”

เมื่อเห็นท่าทีที่ยโสโอหังขึ้นมาฉับพลันของหลิวเหนิงในขณะที่อวดอ้างขุมกำลังของตน ฉินอวี้โม่ก็สาดวาจาแสนเย็นชาเข้าใส่

ขนาดนายน้อยแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนนางยังไม่เคยเกรงกลัว แล้วเหตุใดนางจะต้องนึกกลัวผู้ที่เป็นเพียงสมาชิกคนหนึ่งของกองทหารรับจ้างสนธยา

“การที่กองทหารรับจ้างสนธยารับคนที่ไม่เอาไหนอย่างเจ้าเข้าทำงานก็แสดงว่าคงไม่ใช่กองทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งสักเท่าไหร่ เป็นถึงคนจากกลุ่มทหารรับจ้างระดับหนึ่งที่อุตส่าห์เดินทางไกลมาเพื่อเข้าสอบแต่กลับมาสร้างเรื่องน่าขายหน้า หากผู้คนภายนอกหรือแม้แต่ผู้เข้าสอบคนอื่นได้รับรู้เรื่องนี้เข้าก็คงจะเป็นที่ขบขันไปทั่ว”

วาจาหยิ่งยโสของฉินอวี้โม่ทำให้ใบหน้าของหลิวเหนิงตึงขึ้นมาทันที เขาไม่คิดว่าจะมีผู้ใดไม่เห็นกองทหารรับจ้างสนธยาอยู่ในสายตาเลยเช่นนี้ … ‘กองทหารรับจ้างสนธยาเป็นหนึ่งในกองทหารรับจ้างที่ยอดเยี่ยมที่สุดในดินแดนนี้เชียวนะ ไม่คิดจะเกรงขามกันบ้างเลยหรือ ?’

“ข้าให้เจ้าเลือก จะส่งลูกอสูรมายาและแผ่นป้ายของพวกเจ้ามาหรืออยากจะกลายเป็นอาหารของอสูรมายาภายในดินแดนต้องห้ามแห่งนี้”

“ไม่มีทาง หากต้องสูญเสียแผ่นป้ายให้คนอย่างพวกเจ้า ข้ายอมทำลายมันและสละสิทธิ์การสอบเสียยังดีกว่า และข้าก็จะไม่มีวันส่งลูกอสูรมายาให้เจ้าด้วย”

ดูเหมือนหลิวเหนิงจะคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว เขารีบควักเอาแผ่นป้ายประจำตัวขึ้นมาและพยายามจะบดขยี้มัน

ในดินแดนต้องห้ามแห่งนี้มีการวางค่ายกลและเขตอาคมเอาไว้เพื่อปกป้องผู้เข้าสอบ ขอเพียงแค่ทำลายป้ายประจำตัวคนผู้นั้นก็จะถูกส่งกลับออกไปทันที ไม่ว่าจะมองมุมไหนหลิวเหนิงก็รู้ตัวว่าเขาสู้ฉินอวี้โม่ไม่ได้ เขาจึงเลือกทำลายแผ่นป้ายเสียเองเพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามได้สิ่งใดไปจากเขา

“เจ้าคิดหรือว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าหนีไปง่าย ๆ เช่นนั้น ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็น นางเองก็คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าหลิวเหนิงจะต้องทำเช่นนี้ และคนอย่างฉินอวี้โม่ผู้เป็นถึงอดีตนักฆ่าแห่งศตวรรษที่ 21 ก็ไม่มีทางยอมปล่อยให้เหยื่อของตัวเองหนีรอดไปได้ง่าย ๆ

หลิวเหนิงที่ต้องการทำลายป้ายเพื่อหลบหนีนั้น ในตอนที่ควักแผ่นป้ายออกมาจะเตรียมจะบดขยี้เขาก็พบว่าตัวเองไม่สามารถขยับร่างกายได้ มือข้างที่ถือแผ่นป้ายอยู่แข็งค้างไปเสียแล้วราวกับถูกผู้อื่นควบคุมเอาไว้ ร่างกายของเขาเสมือนไม่ใช่ของตัวเอง ใบหน้าที่เคยชั่วร้ายเต็มไปด้วยอาการตื่นตระหนก ขณะนี้ความหยิ่งยโสทั้งหมดที่เคยมีได้จางหายไปจนหมดสิ้น

ในคราแรกเหตุผลที่เขาไม่เกรงกลัวก็เป็นเพราะว่าอย่างเลวร้ายที่สุดเขาก็ยังสามารถชิงทำลายแผ่นป้ายของตัวเองแล้วกลับออกไปได้ ทว่าในตอนนี้เขากลับไม่สามารถควบคุมร่างกายได้เลย ใจของเขาของเขาจึงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

“เอาล่ะ ดูเหมือนเจ้าจะเลือกทางที่จะกลายเป็นอาหารของอสูรมายาสินะ”

ฉินอวี้โม่แสร้งทำเป็นถอนหายใจอย่างอับจนปัญญา ก่อนจะยื่นมือเข้าไปเพื่อฉวยเอาป้ายของหลิวเหนิงมา

อย่างไรก็ตาม กลับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นรอยยิ้มอันแปลกประหลาดของเหล่าอสูรมายาทั้งหลายของนาง

คนอื่น ๆ กำลังคิดว่าฉินอวี้โม่แข็งแกร่งจนถึงกับสามารถใช้สภาวะพลังผนึกการเคลื่อนไหวของหลิวเหนิงได้ แต่แท้จริงแล้วนั่นเป็นฝีมือของสิ่งที่อาศัยอยู่ภายในจิตของนางต่างหาก หากจะให้กล่าวอย่างสัตย์จริงก็ต้องบอกว่าในตอนนี้ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ยังไม่เพียงพอที่จะทำเช่นนั้นได้

“ข้าเองก็ไม่อยากจะให้มือข้าต้องแปดเปื้อนด้วยการสังหารคนอย่างเจ้า ฉะนั้นข้าจะให้โอกาสอีกครั้ง ครั้งนี้มีสองทางให้เจ้าเลือกเช่นเดิม”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวต่อ “ทางแรกก็คือส่งลูกอสูรมายากับแผ่นป้ายมาหลังจากนั้นก็คลานเข้ามาก้มหัวขอขมาพวกเราสามครั้งแล้วเราจะปล่อยเจ้าไป ทางที่สองก็คือเป็นอาหารให้อสูรมายาอยู่ที่นี่ จะเลือกทางไหนก็ตัดสินใจเอาเอง !”

ฉินอวี้โม่มองหลิวเหนิงที่กำลังยืนแข็งค้างอยู่ด้วยสายตาดุดัน นางต้องการทดสอบดูว่าจิตใจของคนผู้นี้จะแข็งแกร่งเพียงใด

ในตอนนี้หลิวเหนิงไม่สามารถขยับร่างกายได้ แม้แต่ปากก็ยังขยับไม่ได้ทำให้เขาเอ่ยสิ่งใดไม่ออก บุรุษผู้กำลังหวาดกลัวทำได้เพียงฟังเสียงอันเย็นยะเยือกของฉินอวี้โม่เท่านั้น ตอนนี้เขาไม่สงสัยในวาจาและความแข็งแกร่งของสตรีตรงหน้าอีกแล้ว หากเขายังไม่ยอม เขาเกรงว่าวันนี้เขาคงได้ตายจริง ๆ แน่

หากแผ่นป้ายในมือของเขาถูกชิงเอาไป อีกไม่นานก็คงมีคนจากทางโรงเรียนราชสำนักมารับตัวเขาออกไปและถือว่าสอบตกอย่างสมบูรณ์

แม้ว่าเขาจะยังพอมีเวลาเหลือให้ชิงป้ายกลับมา ทว่าเขาก็มั่นใจว่าสตรีน่ากลัวผู้นี้คงไม่เปิดโอกาสนั้นให้แน่ ตอนนี้ไม่ว่าทางใดก็เท่ากับเขาสอบตกโดยสมบูรณ์ไปแล้ว

“โอ้ ! ข้าลืมไปเลยว่าเจ้าพูดไม่ได้”

ฉินอวี้โม่แสร้งทำเป็นฉุกคิดขึ้นมาได้ก่อนจะดีดนิ้ว ทันใดนั้นเองหลิวเหนิงก็ได้รับอิสรภาพกลับคืนมา ทว่าก็มีเพียงปากเท่านั้นที่ขยับได้

“ข้าขอเลือกทางแรก”

เมื่อได้โอกาสพูด หลิวเหนิงก็รีบโพล่งคำตอบออกไปทันทีโดยไม่ลังเล

เขารู้สึกว่าพลังมายาในร่างกายของตัวเองกำลังเหือดแห้งไปอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ต้องเป็นฝีมือของคนตรงหน้าแน่ แต่เรื่องเช่นนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ?

“อย่าคิดจะเล่นลูกไม้อะไรกับพวกเรา เพราะว่าตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่”

ทันทีที่ฉินอวี้โม่โบกมือ ในที่สุดร่างกายของหลิวเหนิงก็เคลื่อนไหวได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม สายตาที่เขาใช้มองฉินอวี้โม่ก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว เขาไม่กล้าคิดที่จะหนีอีกต่อไป

ไม่ทราบเช่นกันว่าหลิวเหนิงนำมันออกมาจากที่ใด แต่เพียงชั่วพริบตาลูกเสือสีขาวตัวน้อยขนปุกปุยก็ปรากฏขึ้นมาในมือของเขา

— ฟุ่บ ! —

ทว่าหลิวเหนิงยังไม่ทันได้ตอบสนอง ลูกเสือขาวก็ไปอยู่ในมือของฉินอวี้โม่แล้ว

“โอ้ ! ช่างเป็นเสือน้อยที่น่ารักน่าชัง”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและส่งมอบเจ้าเสือน้อยกลับคืนให้สือซาน

“มันเป็นของเจ้า”

เมื่อสือซานและพวกพ้องทั้งหมดเห็นฉินอวี้โม่ส่งลูกเสือขาวกลับมาให้ก็ตกตะลึงไม่น้อย แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือออกไปรับ

“แม่นาง มันเคยเป็นของเราก็จริง แต่ตอนนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว”

สือซานกล่าวอย่างสงบ เขาไม่เคยคิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะเอาลูกเสือขาวมาคืนให้เขาเช่นนี้ แม้มันจะเคยเป็นของเขาแต่เมื่อนางเอาชนะหลิวเหนิงได้มันก็สมควรเป็นของนาง บุรุษผู้มีคุณธรรมสูงส่งจึงรีบปฏิเสธอย่างไม่ลังเล

“เจ้าเอาคืนไปเถิด ข้ามีอสูรมายาอยู่มากพอแล้ว”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ นางยืนยันจะส่งลูกอสูรมายาให้สือซาน นางรู้สึกได้ว่าเจ้าเสือขาวตัวนี้มีศักยภาพที่ดี อย่างน้อย ๆ มันก็น่าจะเติบโตขึ้นจนเป็นถึงอสูรระดับเทวะราชันได้ อีกทั้งเวลานี้ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ขาดแคลนอสูรมายา ยิ่งกว่านั้นนางมีเสือสาวเสี่ยวเยี่ยอยู่แล้ว หากว่าเอาเสือมาอีกตัวก็เกรงว่าจะมากเกินไป ที่สำคัญที่สุดคือนางประทับใจในความเป็นสุภาพบุรุษของสือซานและพี่น้องของเขาจึงยินดีจะมอบสิ่งตอบแทนความดีให้แก่พวกเขา

สือซานมองฉินอวี้โม่ที่ยืนกรานจะมอบเสือขาวให้อย่างแน่วแน่ ในที่สุดเขาก็พยักหน้าและรับมันมา

“เอาล่ะ ทุกคนมารวมกันทางนี้ หลิวเหนิงกำลังจะคุกเข่าและขอโทษพวกเราแล้ว”

ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนจะให้สือซานและพวกพ้องที่เหลือมายืนเรียงกัน

ใบหน้าของสือซานและคนอื่น ๆ ในกลุ่มไม่อาจปกปิดรอยยิ้มไว้ได้เลย พวกเขายืนเรียงแถวกันและจ้องมองหลิวเหนิงด้วยรอยยิ้มสะใจ

เหล่าอสูรมายาในร่างมนุษย์ของฉินอวี้โม่ก็ยืนคุ้มเชิงอยู่ไม่ไกลเพื่อรอคอยให้หลิวเหนิงทำการขอขมา

“พวกเจ้า…”

หลิวเหนิงหน้าตาบิดเบี้ยว เขารู้สึกว่าตนกำลังถูกหยามอย่างรุนแรง นี่เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เขาอับอายที่สุดในชีวิต ทว่าเขาก็ไม่กล้าพอที่จะเอ่ยสิ่งใด

— ตุบ ! —

ในที่สุดหลิวเหนิงก็คุกเข่าลงและคลานเข้าไปหาฉินอวี้โม่และกลุ่มของสือซาน “ข้าต้องขออภัยที่ล่วงเกินพวกเจ้า”

“หากว่ามีครั้งต่อไป ข้าจะไม่ลังเลที่จะฆ่าเจ้าทิ้งทันที”

ฉินอวี้โม่กล่าวตอบไปด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก ทว่าน้ำเสียงและแววตาของนางกลับเต็มไปด้วยเจตนาสังหารและมันก็ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกขนหัวลุก

“อีกอย่าง หากว่าเจ้าอยากจะนำเรื่องนี้ไปรายงานหัวหน้า และถ้าหากว่ากองทหารรับจ้างของเจ้าอยากจะมาช่วยทวงความเป็นธรรมให้เจ้า ก็จำไว้ว่าข้ามีนามว่า ฉิน-อวี้-โม่”

ฉินอวี้โม่ยิ้มร้ายแล้วเอ่ยบอกชื่อของนางช้า ๆ ชัด ๆ ให้อีกฝ่ายได้รับรู้และจดจำ

เห็นชัดว่าหลิวเหนิงเกลียดนางเป็นอย่างมาก อย่างไรอีกไม่นานคนน่ารังเกียจผู้นี้ก็คงจะหาทางกลับมาเอาเรื่องเป็นแน่ แต่ฉินอวี้โม่ก็ไม่คิดจะใส่ใจ ไหน ๆ พวกเขาก็จะมาแล้ว ช่วยให้มาเร็วหน่อยก็จะดีไม่น้อย นางจะได้สะสางทุกอย่างให้จบสิ้นกันไป

“ไปได้แล้ว อีกไม่นานก็คงจะมีคนจากโรงเรียนมารับเจ้า”

ฉินอวี้โม่ส่งรอยยิ้มน่าขนลุกเป็นการส่งท้ายแล้วหันไปกล่าวลากลุ่มของสือซาน ก่อนที่สาวงามจะพาคณะอสูรมายาออกเดินทางต่อไปในทิศตะวันออกเฉียงเหนือตามเดิม

สือซานและคนอื่น ๆ ยิ้มเย้ยหยันหลิวเหนิงอย่างสะใจ ก่อนจะตามฉินอวี้โม่ไปอย่างรวดเร็ว วันนี้เป็นหนึ่งในวันที่พวกเขารู้สึกดีที่สุดวันหนึ่งเลยทีเดียว

และไม่นานหลังจากที่ฉินอวี้โม่และกลุ่มของสือซานจากไป คนจากทางโรงเรียนราชสำนักก็ปรากฏตัวตรงหน้าหลิวเหนิงและพวกพ้อง

“นี่พวกเจ้าตกรอบพร้อมกันในคราเดียวมากขนาดนี้เชียวหรือ ?”

คนจากทางโรงเรียนประหลาดใจจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม เมื่อเห็นผู้เข้าสอบนับสิบสูญเสียแผ่นป้ายไปพร้อมกันเช่นนี้

หลิวเหนิงรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก เขาได้แต่นิ่งเงียบและจ้องมองไปในทิศทางที่ฉินอวี้โม่เดินจากไปอย่างเจ็บช้ำ คนจากทางโรงเรียนเองก็พอเข้าใจว่าตอนนี้หลิวเหนิงและคนทั้งหมดคงจะอยู่ในอารมณ์เศร้าหมอง เขาจึงไม่กล่าวสิ่งใดอีกและรีบพาทุกคนออกไปจากดินแดนต้องห้าม

แท้จริงแล้วฉินอวี้โม่และกลุ่มของสือซานนั้นยังไม่ได้จากไปไหน พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดและกำลังมองดูหลิวเหนิงถูกคนของทางโรงเรียนพาตัวออกไป

“แม่นางฉินอวี้โม่ วันนี้พวกเราต้องขอบคุณเจ้าจริง ๆ”

ถ้าหากว่าไม่ได้แม่นางผู้งดงามผู้นี้เข้ามาช่วย เกรงว่าคงเป็นฝ่ายพวกเขาเองที่ถูกส่งตัวกลับออกไปและสอบตกทั้งหมด ดีไม่ดีหลายคนอาจจะมีอันตรายถึงชีวิตเลยด้วยซ้ำ

“ข้าแค่คิดว่าก่อนหน้านี้ที่พวกเจ้าไม่รังแกหญิงสาวผู้อ่อนแอนั่นแสดงว่าพวกเจ้าเป็นคนดี เมื่อข้าพบเห็นคนดีถูกรังแกข้าก็ต้องช่วยเป็นธรรมดา ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวออกไปด้วยท่าทีสบาย ๆ วันนี้ที่นางบังเอิญมาพบคนดีกลุ่มนี้ก็เพียงแต่รู้สึกอยากช่วยเหลือ สิ่งตอบแทนหรือคำขอบคุณนางไม่ได้สนใจตั้งแต่แรก

เมื่อสือซานและคนอื่น ๆ ได้ยินคำพูดที่สงบของสตรีตรงหน้า พวกเขาก็ยิ้มกว้าง

ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดมีความสุขเป็นอย่างมาก ดีเหลือเกินที่ในตอนที่พวกเขาเห็นสตรีงามนามฉินอวี้โม่ผู้นี้เป็นเพียง ‘หญิงสาวผู้อ่อนแอ’ นั้น พวกเขาไม่ได้มีความคิดที่จะชิงแผ่นป้ายของนางมา หาไม่พวกเขาก็คงจะถูกส่งตัวกลับออกไปและสอบตกกันหมดตั้งนานแล้ว

“ป้ายพวกนี้ข้าให้พวกเจ้า พวกเจ้ายังไม่แข็งแกร่งมาก ฉะนั้นอย่าเข้าไปให้ลึกกว่านี้จะดีกว่า หากพวกเจ้าฝึกฝนอยู่แถว ๆ นี้เพื่อรอเวลา ข้าเชื่อว่าแผ่นป้ายพวกนี้ก็น่าจะเพียงพอให้คนในกลุ่มของพวกเจ้าผ่านการคัดเลือกเพื่อเข้าโรงเรียนได้หนึ่งถึงสองคน ส่วนคนอื่น ๆ ก็พยายามใช้เวลาที่เหลือไขว่คว้ากันเอาเอง ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าต้องทำได้”

ฉินอวี้โม่มอบแผ่นป้ายทั้งหมดที่ได้มาจากพวกหลิวเหนิงให้กับสือซาน แผ่นป้ายทั้งหมดที่แย่งชิงมาได้มีถึงสิบแปดแผ่น นี่นับเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่และมันก็แสดงให้เห็นว่าพวกหลิวเหนิงก็ไปชิงป้ายของผู้อื่นมาไม่น้อย

“แม่นาง พวกเรายอมรับไม่ได้หรอก แม่นางเก็บไว้เถิด แม่นางจะได้ผ่านการคัดเลือก”

สือซานและคนอื่น ๆ ส่ายศีรษะอย่างแรง พวกเขารับน้ำใจนี้ของฉินอวี้โม่ไม่ได้จริง ๆ

“อะไรเล่า นี่พวกเจ้าคิดว่าอย่างข้าหากไม่มีป้ายสิบแปดแผ่นนี้แล้วจะสอบไม่ผ่านอย่างนั้นหรือ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะได้เข้าไปศึกษาในโรงเรียนราชสำนัก ไว้ในอนาคตถ้าได้พบหน้ากันในโรงเรียนพวกเจ้าก็เลี้ยงอาหารข้าสักมื้อก็แล้วกัน”

เมื่อได้ยินวาจาเช่นนั้นของฉินอวี้โม่ ถึงแม้จะรู้ดีว่าฉินอวี้โม่จงใจพูดเพื่อให้พวกเขาสบายใจแต่สือซานและคนทั้งหมดก็ยินดีรับแผ่นป้ายมา ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังตั้งใจไว้แล้วว่าพวกเขาจะหาทางตอบแทนแม่นางผู้นี้ให้ได้อย่างแน่นอน

หนึ่งสตรีผู้มากับอสูรมายาในร่างมนุษย์และหลายบุรุษที่กำลังซาบซึ้งน้ำใจของนางยิ้มให้กันอย่างมีไมตรี

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำในวันนี้ของนางจะทำให้เกิดขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองขึ้นในอนาคต

.