ตอนที่ 95 ปฐมบทแห่งการเผชิญหน้า

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังจากบอกลากลุ่มของสือซานอย่างแท้จริงจนเสร็จสิ้น ฉินอวี้โม่ก็ออกเดินทางไปยังใจกลางของดินแดนต้องห้ามต่อ

อดีตนักฆ่าสาวสั่งให้อสูรมายาทั้งหลายกลับไปอยู่ในร่างเล็กจิ๋วเพื่อไล่เก็บแผ่นป้ายไปตามเส้นทางที่เดินผ่านด้วยวิธีเดิม

คนบางกลุ่ม เมื่อเห็นฉินอวี้โม่อยู่ตัวคนเดียวก็ไม่ได้รีบพุ่งเข้ามาชิงป้ายของนาง พวกเขาทำเพียงแค่ส่งยิ้มให้นางแล้วจากไปแทน ฉินอวี้โม่เองก็ยิ้มตอบกลับและไม่คิดจะชิงป้ายของคนเหล่านั้นเช่นกัน

แต่ก็มีบางกลุ่มที่เห็นหญิงสาวอยู่เพียงลำพังก็ต้องการจะเข้ามาชิงป้าย ซึ่งก็แน่นอนว่าคนเหล่านั้นได้รับบทเรียนอันแสนสาหัสเป็นการตอบแทน

ยิ่งฉินอวี้โม่เข้าไปใกล้พื้นที่ใจกลางป่าลึกลับแห่งนี้มากขึ้น จำนวนผู้เข้าสอบที่นางพบเจอก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ในช่วงสามวันที่ผ่านมา คุณหนูคนงามเก็บแผ่นป้ายได้หลายสิบแผ่น นี่ทำให้นางประหลาดใจอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่เห็นสตรีอ่อนแอผู้อยู่ลำพังเป็นเหยื่อชั้นยอดจึงคิดจะเข้ามาชิงป้ายไปจากนาง

เหล่าอสูรมายาทั้งหลายในสังกัดของฉินอวี้โม่ที่ก่อนหน้านี้เคยรู้สึกเบื่อหน่ายเพราะไม่มีเรื่องสนุกให้ทำ ในเวลานี้พวกมันเกาะบนไหล่ของนายหญิงอย่างเริงร่าพลางสอดส่ายสายตามองหา *‘เหยื่อเหมาะสม’*ช่วงนี้พวกมันได้ออกมาช่วยนายหญิงของพวกมันต่อสู้บ่อยครั้ง นั่นนับว่าทุกตัวได้ยืดเส้นยืดสายจนสมใจ

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เข้ามาในดินแดนต้องห้ามจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลามากกว่าสิบวันแล้ว ทว่าฉินอวี้โม่ก็ยังไม่พบเจอคนคุ้นหน้าเลย เสี่ยวโร่ว โอวหยางชิงเฟิง เยว่ชิงเฉิง หรือแม้แต่องค์ชายฉีอวี้ รวมถึงคนอื่น ๆ ไม่ทราบว่าอยู่แห่งหนใดกันบ้างแล้ว แต่ถึงแม้จะนึกเป็นห่วงพวกพ้องอยู่บ้าง แต่ฉินอวี้โม่ก็พยายามไม่เร่งรัดตัวเองมากเกินไป นางค่อย ๆ มุ่งไปให้ถึงใจกลางของดินแดนต้องห้ามตามที่นัดกันเอาไว้ อย่างไรเวลาก็ยังเหลืออยู่อีกมาก

หลายวันผ่านไปราวชั่วพริบตา ในตอนนี้ฉินอวี้โม่อยู่ในดินแดนต้องห้ามมากว่าสิบห้าวันแล้ว นี่นับเป็นเวลาครึ่งหนึ่งของการสอบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเหลือเวลาอีกสิบห้าวันกว่าการทดสอบจะสิ้นสุด

ในสิบห้าวันที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่ก็ยังไม่พบเจอคนรู้จักเลยเช่นเดิม ในตอนนี้นางไม่ทราบเลยว่าเหล่าสหายของนางจะตกรอบไปแล้วหรือจะชิงแผ่นป้ายมาได้สักกี่มากน้อยและไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน เมื่อเวลาผ่านมานานขนาดนี้คุณหนูสี่ตระกูลฉินก็เริ่มเกิดความกังวลมากขึ้นแล้ว

แท้จริงแล้วความกังวลของฉินอวี้โม่ดูเหมือนจะไม่จำเป็นเลยเพราะเสี่ยวโร่วและพวกพ้องของฉินอวี้โม่คนอื่น ๆ ต่างก็โชคดีกันมาก ภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์พวกเขาทั้งหมดก็ได้มารวมตัวกันได้จนครบ นอกเหนือจากฉินอวี้โม่และลั่วอวิ๋น คนอื่น ๆ ที่เหลือต่างก็ล้วนมารวมตัวกันที่บริเวณใจกลางของดินแดนต้องห้ามเป็นที่เรียบร้อยและกำลังรอคอยสหายทั้งสองคนอยู่

และในสิบห้าวันที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่ก็ไม่เคยพบเจอกับอสูรมายาเลยสักตัวเช่นกัน จะยกเว้นก็แต่เพียงลูกเสือขาวที่นางส่งคืนให้สือซานเท่านั้น นั่นทำให้นางรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก ตามหลักแล้วภายในดินแดนต้องห้ามควรจะมีอสูรมายามากมายเต็มไปหมดถึงจะถูก แล้วเหตุใดนางจึงไม่เคยเห็นร่องรอยหรือกลิ่นอายของพวกมันเลยสักครั้ง

“นายหญิง ไม่ต้องห่วงหรอก บางทีพวกเราอาจจะเลือกเส้นทางที่ไม่มีอสูรมายา หรือไม่ก็โชคไม่ค่อยดีจึงไม่พบพวกมัน”

เมื่อรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของฉินอวี้โม่ เสี่ยวจินตัวกระจิริดก็เอ่ยปลอบนายหญิงของมัน

เมื่อฉินอวี้โม่ได้ยินคำปลอบโยนนั้น นางก็ยิ้มบาง ๆ ส่งให้และไม่กล่าวสิ่งใด

ในวันนี้ ฉินอวี้โม่ก็ยังคงพยายามมุ่งหน้าไปในทิศทางเดิมเหมือนอย่างทุกวัน ทว่าระหว่างทางกลับมีร่างบุรุษผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาขวางทางนางเอาไว้

คุณหนูตระกูลฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะจ้องมองชายผู้นั้น นางรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอีกฝ่ายอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มาจากอาราม

“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าคือฉินอวี้โม่สินะ ? ข้าช่างโชคดีจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอกับเจ้ารวดเร็วขนาดนี้ !”

บุรุษที่ปรากฏตัวขึ้นหัวเราะชอบใจ ก่อนหน้าที่จะถูกส่งมาเข้าร่วมการสอบภายในดินแดนต้องห้ามนี้ ลิ่วรุ่ยได้มอบภาพวาดของฉินอวี้โม่ให้พวกเขาทุกคนดูและให้จดจำใบหน้าของนางไว้ ผู้อาวุโสสองแห่งอารามยังกล่าวด้วยว่าหากผู้ใดสามารถฆ่านางได้จะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างงาม

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดชายผู้นี้จึงคิดว่าตัวเองโชคดีที่พบเจอฉินอวี้โม่ คนจากอารามรีบเข้ามาขวางทางสาวงามที่เป็นเป้าหมายทันทีโดยไม่ลังเล

“ฉินอวี้โม่ ข้าได้ยินว่ามาเจ้าเป็นผู้ที่ทำให้ลิ่วเยว่ต้องตาย เจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่าบุตรชายของผู้อาวุโสสองผู้นั้นเป็นคนจองหองจนน่ารังเกียจ พวกเราที่อยู่ในอารามต่างก็ยินดีและสะใจที่มันตายเสียได้ ในเรื่องนี้พวกเราต้องขอบคุณเจ้าแล้ว”

บุรุษจากอารามหยุดครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ “แต่ที่พวกเรายอมมาครั้งนี้ก็เพราะว่าเป็นคำสั่งของผู้อาวุโสสองและเขายังสัญญาว่าจะมอบรางวัลอย่างงามให้ผู้ที่สังหารเจ้าได้ ฉะนั้นอย่าได้ตำหนิข้าเลย และไม่ต้องห่วงข้าสัญญาจะไม่ทำให้เจ้าเสียโฉมและจะไม่ให้เจ้าต้องตายอย่างทรมาน”

บุรุษจากอารามผู้นี้กล่าวเสียงดังราวกับว่าชีวิตของฉินอวี้โม่อยู่ในกำมือของเขาแล้ว และเขาก็กำลังจะได้รับรางวัลก้อนโตเป็นที่แน่นอน ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววับ ริมฝีปากของเขาก็แทบจะหุบยิ้มไม่ได้เลย

“นายหญิง สหายมนุษย์ผู้นี้เป็นใครกันหรือเจ้าคะ ? ดูจากท่าทางแล้วข้าว่าเขาคงจะสติไม่ดีเท่าไหร่”

เมื่อเห็นบุรุษจากอารามคนที่จู่ ๆ ก็โผล่ออกมาพูดเองเออเอง อีกทั้งยังยืนยิ้มบ้างหัวเราะบ้างอยู่คนเดียวแล้ว เสี่ยวเยี่ยตัวจิ๋วก็สงสัยอย่างหนักจนอดเอ่ยถามอย่างงุนงงไม่ได้

“น้องเหมียว คนสติไม่ดีไม่มีทางได้เข้ามาที่นี่หรอก ข้าว่านะ บางทีคงจะเป็นเพราะได้เห็นหน้านายหญิง เจ้านั่นมันเลยกลัวจนสติแตกไปแล้วแหง ๆ ถึงได้ยืนพูดคนเดียวหัวเราะคนเดียวแบบนั้นน่ะ”

เสี่ยวเฮยมองดูมนุษย์ผู้อยู่ตรงหน้าก่อนจะพยักหน้าหนักแน่นแล้วแสดงความคิดเห็น มันเห็นด้วยกับเสี่ยวเยี่ยเรื่องที่บุรุษผู้นั้นสติไม่ดีอย่างสุดใจ

“เฮ้ ! พวกเจ้าหยุดล้อเล่นกันได้แล้ว ข้าว่าเขาแค่หิวมากกว่า เห็นไหมว่ามีน้ำลายไหลออกมาจากมุมปากของเขาด้วย”

ฉินอวี้โม่อดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินบทสนทนาของอสูรมายาตัวเล็กตัวน้อยบนไหล่ของนาง อดีตนักฆ่าสาวก็อดผสมโรงไปด้วยไม่ได้

อาจจะเป็นเพราะความเงียบงันของพื้นที่บริเวณนี้และด้วยความเผลอไผลหรือตั้งใจก็ไม่อาจทราบได้ ทว่าเหล่าอสูรกระจ้อยร่อยบนไหล่บางของฉินอวี้โม่นั้นก็ไม่คิดจะปกปิดคำพูดหรือเสียงของตัวเอง คนจากอารามที่กำลังหัวเราะชอบใจอยู่จึงได้ยินบทสนทนาของนายหญิงคนงามและอสูรมายาอย่างชัดเจน

เสียงเหล่านั้นทำให้เขาได้สติรู้ตัว และเพราะคำพูดที่ทำให้เขาดูน่าขายหน้าของฉินอวี้โม่ บุรุษจากอารามจึงรีบเช็ดน้ำลายที่ปากไปตามสัญชาตญาณ

“ฮ่า ๆ ๆ ไอ้เจ้านี่มันโง่อะไรขนาดนี้ !”

เสี่ยวเฮยและอสูรมายาตัวน้อยตัวนิดอื่น ๆ แทบจะหยุดหัวเราะไม่ได้เลย

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ให้พวกมันเปลี่ยนไปอยู่ในร่างมนุษย์ ตอนนี้พวกมันจึงทำได้เพียงหัวเราะน้ำตาไหลอยู่บนไหล่ของนาง ซึ่งตัวที่เส้นตื้นมากหน่อยอย่างเจ้าม้าดำและเหยี่ยวทองก็ขำก๊ากจนกลิ้งตกลงไปนอนหัวเราะอยู่บนพื้นแล้ว

“นี่พวกเจ้าล้อข้าเล่นอย่างนั้นรึ ?!”

ในตอนที่บุรุษจากอารามสัมผัสที่มุมปากของตัวเอง เขาก็พบว่าแท้จริงแล้วไม่ได้มีน้ำลายไหลออกมาแต่อย่างใด เขาเพียงแค่ถูกอีกฝ่ายปั่นหัวเล่นเท่านั้น

“ ‘ล้อเล่น’ หรือ ? ข้ามา *‘เล่น(งาน)’*เจ้าจริง ๆ ต่างหากล่ะ !”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและเงื้อกำปั้นพุ่งหมัดตรงเข้าซัดใบหน้าของอีกฝ่ายทันที

บุรุษที่มาจากอารามยังไม่ทันตั้งตัว หมัดของฉินอวี้โม่ก็พุ่งเข้ากระแทกเบ้าตาของเขาแล้วจนตาของเขาเขียวช้ำกลายเป็นหมีแพนด้าในชั่วพริบตา

“กล้าดียังไงถึงมาลงมือกับข้า ?”

บุรุษผู้นั้นยืนมองฉินอวี้โม่ด้วยความเดือดดาล

“มีกฎข้อไหนกันที่ระบุว่าข้าไม่สามารถลงมือเล่นงานผู้ที่ต้องการสังหารข้าได้ ?”

ฉินอวี้โม่จ้องมองอีกฝ่ายและเอ่ยด้วยเสียงไม่ดังไม่เบา

“ข้าจะบอกให้นะว่า คนจากอารามอย่างเจ้าเป็นพวกโง่เง่าไร้สมอง ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดขุมกำลังยิ่งใหญ่อย่างนั้นถึงได้ส่งพวกหน้าโง่อย่างเจ้าเข้ามาฆ่าข้า”

“นี่เจ้ากล้าด่าข้า  !”

เมื่อคนจากอารามได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ก็โกรธแค้นอย่างหนัก บรรยากาศในตอนนี้ก็ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก หญิงสาวผู้นี้ถึงกับกล้าด่าเขาว่าเจ้าหน้าโง่ นางเป็นสตรีน่ารังเกียจโดยแท้

“ฮ่า ๆ ๆ เรียกเจ้าว่าเจ้าหน้าโง่แล้วมันผิดตรงไหน ? ใครใช้ให้เจ้าโง่เง่าเองเล่า ? หากไม่อยากให้ผู้อื่นด่าก็อย่าทำตัวโง่นักสิ !”

ฉินอวี้โม่ยิ้มเย้ย สำหรับผู้ที่ต้องการเอาชีวิตนางไป คนอย่างนักฆ่าระดับพระกาฬแห่งศตวรรษที่ 21 ไม่เคยมีคำว่าปรานีให้อยู่แล้ว

“ฮึ่ย ! เตรียมตัวตาย !”

บุรุษจากอารามนั้นเหลืออดขึ้นทุกทีและเวลานี้ก็สุดจะทนแล้ว ผู้ที่ถูกส่งมาให้สังหารสตรีผู้หนึ่งเรียกสิงโตที่น่าเกรงขามอสูรมายาคู่ใจของตนออกมาในทันที

“โอ้โห ! ไม่ธรรมดาจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าคนโง่อย่างเจ้าจะมีอสูรเทวะราชันกับเขาด้วย”

ฉินอวี้โม่กล่าวออกไปอย่างนึกทึ่ง ทว่านางก็ไม่มีอาการตื่นตระหนกแม้แต่น้อย สิงโตตัวนั้นเป็นเพียงอสูรเทวะราชันสองดารา ไม่ว่าอสูรเทวะราชันของนางตัวใดก็สามารถเอาชนะมันแบบหนึ่งต่อหนึ่งได้ทั้งหมด

“เสี่ยวเฮย เจ้าสงเคราะห์สหายผู้นั้นหน่อยสิ บอกให้เขารู้ทีว่าเลือดของเขาสีอะไร บางทีเขาอาจจะโง่เกินจนไม่รู้เรื่องนี้เลยก็ได้”

ฉินอวี้โม่เอ่ยสั่งเจ้ายูนิคอร์นเส้นตื้นที่ยังคงนอนขำกลิ้งอยู่บนพื้น

“ได้เลยนายหญิง”

เมื่อได้ยินคำสั่งของฉินอวี้โม่ เสี่ยวเฮยก็ลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้น ม้าตัวน้อยสีดำทมิฬรีบพุ่งตัวออกไปและเปลี่ยนกลายเป็นยูนิคอร์นสีนิลแสนสง่างาม

“เจ้าสิงห์น้อย มาให้พี่เฮยกระทืบสักทีซิเร็ว ๆ เข้า”

เสี่ยวเฮยกล่าวยั่วยุฝ่ายตรงข้าม มันเห็นว่า จู่ ๆ สิงโตตัวใหญ่ก็ถอยหนีออกไปเมื่อเห็นร่างที่แท้จริงอันหล่อเหลาองอาจของมันปรากฏขึ้น ยูนิคอร์นสีนิลก็พุ่งเข้าใส่สิงโตดุร้ายตัวนั้นด้วยความดุร้ายที่มากยิ่งกว่า

“หึ ! เจ้าเองก็มีอสูรเทวะราชันด้วยหรือเนี่ย ไม่แปลกเลยว่าเหตุใดลิ่วเยว่ถึงได้เสียท่าได้”

เมื่อได้เห็นร่างแท้จริงของเสี่ยวเฮยที่แผ่แรงกดดันอันหนักหน่วงออกมา บุรุษจากอารามก็ตกตะลึงไปไม่น้อย ทันใดนั้นเองเขาก็เริ่มเข้าใจบางอย่างขึ้นมาได้บ้างแล้ว

ฉินอวี้โม่อดไม่ได้ที่จะกลอกตา เหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่าการที่อารามส่งคนผู้นี้มาฆ่านางมันเป็นการดูถูกสติปัญญาของนางกันนะ

“เหอะ มีอสูรเทวะราชันแล้วมันยังไง ? อย่างไรเจ้าก็ต้องถูกข้าสังหารอยู่ดี”

บุรุษจากอารามแค่นเสียงอย่างเย็นชา เขาชักดาบออกมาก่อนจะพุ่งเข้าหาฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่าย หญิงสาวไม่ได้ชักอาวุธของตัวเองออกมาและยังปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามพุ่งเข้าใส่นางโดยไม่คิดจะหลบหลีก

อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูทำเพียงแค่ยืนมองอีกฝ่าย คนจากอารามผู้นี้เป็นแค่จอมยุทธ์ขอบเขตนภมายาสามดาราเท่านั้น เขายังห่างชั้นกับนางอยู่ถึงห้าดารา แม้ว่าจะพยายามอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางอยู่ดี

สาวนักฆ่าเบี่ยงตัวหลบดาบที่พุ่งตรงมาได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่หมัดของนางจะพุ่งสวนเข้าใส่ใบหน้าของเขาอีกครั้ง

— ปัง ! —

บุรุษจากอารามถูกแรงกระแทกจากหมัดของฉินอวี้โม่ส่งให้กระเด็นออกไปปะทะกับต้นไม้ในป่าจนล้มระเนระนาดไปหลายต้นก่อนจะกลิ้งหลุน ๆ อย่างหมดท่าไปบนพื้น

เมื่อเห็นแสงจาง ๆ ที่ห่อหุ้มกำปั้นของศัตรูร่างบางอยู่ บุรุษจากอารามก็รู้ทันทีว่าฉินอวี้โม่ก็เป็นจอมยุทธ์ขอบเขตนภมายาเช่นกัน อย่างไรก็ตามความเร็วของฉินอวี้โม่ก็เหนือกว่าเขามาก เขาไม่มีเวลาหรือโอกาสจะหลบเลี่ยงได้เลยก่อนที่หมัดนั้นจะถึงตัวเขา

— โฮกกกก ! —

มีเสียงร้องที่เจ็บปวดทรมานดังขึ้น สิงโตคู่ใจของคนจากอารามถูกเสี่ยวเฮยเล่นงานจนบริเวณหัวของมันเกิดเป็นแผลกว้างและลึก เลือดจำนวนมากไหลนองออกมาซึ่งดูแล้วก็น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าไม่คิดจะถามไถ่หรือสืบหาความแข็งแกร่งของผู้อื่นก่อนจะลงมือฆ่าบ้างหรือ เจ้าทำเช่นนี้ก็เท่ากับเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่าเท่านั้น”

ฉินอวี้โม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพลางสาดสายตามองอีกฝ่ายอย่างดูแคลน

ครั้งนี้ เดิมทีบุรุษจากอารามคิดว่าจะสามารถข่มเหงรังแกฉินอวี้โม่ได้ง่าย ๆ ทว่าเขากลับต้องพ่ายแพ้หมดท่าและรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก

“หึ ถือว่าเจ้าฝีมือไม่ธรรมดา แต่อย่างไรแค่นี้ก็มิอาจต้านทานขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่กว่าผืนนภาหนักแน่นดังขุนเขาและมากมายมหาศาลดั่งสายธารของอารามเราได้ ครั้งหน้าเจ้าไม่รอดแน่ ระวังตัวไว้เถอะ !”

คนจากอารามตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นก่อนจะจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาอาฆาตแค้น เขานำแผ่นป้ายผู้เข้าสอบของตัวเองออกมาแล้วทำลายมันทิ้งโดยไม่ลังเล

แสงจาง ๆ ปรากฏขึ้นรอบตัวชายผู้นั้นก่อนที่ร่างของเขาจะเลือนหายไป คนจากอารามผู้หนึ่งถูกส่งกลับออกไปด้านนอกแล้ว

“ฮึ !”

ฉินอวี้โม่แค่นเสียง ในตอนนี้เองที่นางรู้สึกว่าศิษย์ของอารามนั้นน่าสนใจไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ลังเลเลยที่จะทำลายแผ่นป้ายและหนีออกไป ดูเหมือนว่าคนผู้นี้ก็ยังมีสมองอยู่บ้าง

“นายหญิง เจ้านั่นมันหนีไปแล้ว”

เสี่ยวเฮยชะงักงันไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบบินกลับมาหาฉินอวี้โม่ เมื่อครู่มันกำลังพัวพันกับการต่อสู้อย่างเมามันกับเจ้าสิงน้อยนั่นอยู่ ทว่าอีกฝ่ายกลับหายตัวไปอย่างกะทันหันเสียอย่างนั้น

“โธ่เอ๊ย ! ข้านะอุตส่าห์จะปล่อยลูกถีบทะลวงพุงมันซักป้าบ มันดันรีบหนีไปซะได้”

“เอาหน่า ๆ เจ้าม้า แกมีโอกาสได้เตะก้านคอสิงโตอ้วนนั่นก็ดีแล้วหน่า เป็นข้าจะหักกระดูกมาต้มกินซะให้เข็ด…”

“เอาล่ะ พวกเราเองก็ไปกันเถอะ”

ฉินอวี้โม่ส่ายหน้าและออกเดินทางต่ออย่างรวดเร็ว หากว่าคนจากอารามเป็นอย่างบุรุษที่เพิ่งพบเจอทั้งหมดนางก็เบาใจไปได้มาก คนผู้นี้ไม่ได้ร้ายกาจอะไรนัก สำหรับนางอีกฝ่ายดูไม่ต่างจากตัวตลกธรรมดาเลยสักนิด

“รอด้วยนายหญิง !”

เสี่ยวเฮยยังคุยโม้ไม่ทันจบนายหญิงของมันก็ออกตัวเดินไปก่อนแล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้นทั้งยูนิคอร์นสีนิลและพวกพ้องอสูรมายาตัวอื่น ๆ ก็รีบไล่ตามไป

ทว่าแม้จะตามนายหญิงมาได้ทันแล้ว พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะยกเรื่องเมื่อครู่มาคุยฟุ้งกันอยู่ คณะเดินทางอวี้โม่ที่ประกอบด้วยหนึ่งคนกับหลายตัวหัวเราะเสียงดังอย่างครื้นเครง

“ตลกเป็นบ้าเลย พวกคนจากอารามนี่มันเป็น*‘ตลกคาเฟ่’*ชัด ๆ”

หลังจากอยู่กับฉินอวี้โม่มาได้พักใหญ่ เหล่าอสูรมายาก็ได้เรียนรู้คำศัพท์ในศตวรรษที่ 21 จากนางไปแล้วหลายคำ และพวกมันก็อดไม่ได้ที่จะใช้ศัพท์ใหม่ที่ได้รู้มาในประโยคสนทนา อย่างเช่นที่เสี่ยวเฮยเอ่ยคำว่า *‘ตลกคาเฟ่’*ได้อย่างคล่องปาก มันรู้สึกว่าใช้แล้วก็ ‘เท่เป็นบ้าเลย’

“ใช่ ๆ ข้าว่าเจ้านั่นมันจะต้องเป็น..โมซา–..มาซู–…อ่า..มา– อะไรนะที่นายหญิงเคยพูด…”

เสี่ยวจินจดจำคำศัพท์พวกนั้นไม่ค่อยได้ มันเคยได้ยินที่นายหญิงของมันพูดและอยากจะใช้คำแปลกใหม่บ้าง ทว่าเจ้าเหยี่ยวที่เหลือตัวกระจ้อยร่อยก็นึกไม่ออกจนต้องเอาปีกขึ้นมาเกาแก้มแล้วเอ่ยถามอย่างเก้อเขิน

“เขาเรียกว่ามาโซคิสม์*”

*มาโซคิสม์ หมายถึง พวกที่ชื่นชอบความเจ็บปวด

ม่อเสียผู้ที่นานครั้งจะกล่าวขึ้นมาสักทีกลับเป็นผู้ที่จดจำคำศัพท์ใหม่ได้ดีกว่าผู้ใดกล่าวขึ้นมาเพื่อช่วยเสี่ยวจินแก้หน้า

“ใช่ ๆ นั่นแหละ”

เสี่ยวจินพยักหน้า ขณะที่อสูรมายาตัวอื่น ๆ ต่างก็หัวเราะลั่นอย่างขำขัน

“เฮ้อ~ ถ้าหากว่าพวกเจ้ายังไม่รู้จักระวังคำพูดไว้บ้าง ข้ากลัวว่าคำพูดคำจาของเจ้าจะพาลให้คนอื่น ๆ โกรธพวกเจ้าเอาได้นะ”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะอย่างอับจนปัญญา นับวันอสูรมายาของนางยิ่งร้ายกาจมากขึ้นไปทุกที

“ฮ่า ๆ ก็นายหญิงเป็นคนสอนพวกเราไม่ใช่หรือ ?”

เสี่ยวเฮยยิ้มอย่างมีความสุข มันพบว่ามันโชคดีแล้วจริง ๆ ที่ได้มาเป็นอสูรมายาของฉินอวี้โม่ การติดตามนายหญิงทำให้มันรู้สึกสนุกและยังได้เลื่อนระดับขึ้นไปอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

ฉินอวี้โม่ได้แต่ส่ายศีรษะกับความกวนแบบเด็กเกรียน ๆ ของเจ้าอาชาสีหมึก ยิ่งคณะอสูรของนางขยายตัวและมีสมาชิกมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งครึกครื้นขึ้น และเด็ก ๆ พวกนี้ของนางนับวันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคตหากว่านางสร้างกองทัพอสูรมายาขึ้นมาได้ ผู้ใดที่กล้ามาหาเรื่องฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็คงต้องเตรียมขุดหลุมฝังศพของตัวเองรอไว้ได้เลย

หนึ่งสาวงามกับอีกหลายอสูรมายาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานขณะมุ่งหน้าไปยังใจกลางของดินแดนต้องห้าม เวลานี้ฉินอวี้โม่ไม่รู้เลยว่ากำลังมีอันตรายคืบคลานเข้าไปหาเหล่าสหายที่รอคอยนางอยู่ อย่างไรก็ตาม คุณหนูสี่ตระกูลฉินผู้แข็งแกร่งเองก็ค่อย ๆ เข้าไปยังบริเวณใจกลางและค่อย ๆ เข้าใกล้สหายของนางแล้ว

.