“เสี่ยวโร่ว นี่มันก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เหตุใดคุณหนูของเจ้าถึงยังมาไม่ถึงอีก ?”
เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ กำลังนั่งรอกันอยู่ ณ จุดหนึ่งในบริเวณศูนย์กลางของดินแดนต้องห้าม พวกเขาทุกคนนั่งรอคอยและสอดส่องสายตามองไปรอบตัวด้วยความเบื่อหน่าย
เนื่องจากจุดที่เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงถูกสุ่มมาปรากฏตัวนั้นอยู่ใกล้กับกึ่งกลางของดินแดนต้องห้ามพอดิบพอดี อดีตคู่หมั้นหนุ่มสาวจึงเป็นสองคนแรกที่มาถึงที่นี่
อันที่จริงพวกเขาต่างก็ไม่ทราบว่าจุดนี้คือจุดกึ่งกลางของดินแดนต้องห้ามจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม บริเวณนี้อยู่ติดกับพื้นที่ป่าโปร่ง อีกทั้งบริเวณนี้ทั้งหมดก็เป็นพื้นที่เปิดโล่งที่ไม่มีต้นไม้ขึ้นอยู่เลย ที่สำคัญปริมาณพลังมายาภายในบรรยากาศก็เข้มข้นจนผิดปกติ พวกเขาทั้งสองจึงค่อนข้างมั่นใจว่านี่คงเป็นใจกลางของดินแดนต้องห้ามอย่างแน่นอน
หลังจากที่คู่หมายที่ดูคล้ายจะเป็นคู่แค้นเสียมากกว่ามาถึงพื้นที่แห่งนี้ เสี่ยวโร่ว หลิงซวงและเหย่าเซียนเอ๋อร์ก็ตามมาถึงในเวลาไม่นานนัก เสี่ยวโร่วและอีกสองโฉมงามได้พบกันช่วงสามวันก่อนที่พวกนางจะเดินทางถึงใจกลางดินแดนต้องห้าม ระหว่างทางแม้ว่าจะพบเจอสายตาอิจฉาริษยาและมุ่งร้ายจากผู้คนจำนวนไม่น้อย ทว่าพวกนางทั้งสามคนไม่มีผู้ใดเลยที่อ่อนแอทำให้สามารถเดินทางถึงจุดนัดพบได้อย่างปลอดภัยพร้อมด้วยแผ่นป้ายในมืออีกนับสิบ
“คุณหนูชิงเฉิง ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานคุณหนูจะต้องมาถึงแน่”
เสี่ยวโร่วส่ายศีรษะอย่างหมดปัญญา นางกังวลเกี่ยวกับฉินอวี้โม่อยู่เช่นกัน แต่นางก็ไม่ได้แสดงออกมาเด่นชัด เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นเสี่ยวโร่วจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ดูโตกว่าวัย และเมื่อใดก็ตามที่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นนางก็จะสงบนิ่งจนแม้แต่คนที่อายุมากกว่ายังรู้สึกชื่นชม
“ใช่ ข้าเองก็เชื่อในตัวอวี้โม่ อีกไม่นานนางก็คงจะมาถึงแล้ว”
องค์ชายฉีอวี้เอ่ยขึ้นมา เขากับหลิงเฟิงเพิ่งจะมาสมทบเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ทว่าพวกเขาก็ยังไม่เห็นฉินอวี้โม่ทำให้ตอนนี้พวกเขาเริ่มกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างไรก็ตาม เวลาก็ยังเหลืออีกหลายวัน พวกเขาทุกคนต่างก็เชื่อว่าอย่างไรฉินอวี้โม่ก็ต้องปรากฏตัว ดังนั้นแม้ว่าจะห่วงกังวลอยู่ไม่น้อยแต่ก็ยังไม่มีใครลงมือทำสิ่งอื่นนอกจากรอคอยอย่างเงียบ ๆ
“ข้าก็หวังเช่นนั้น ตอนนี้ระยะเวลาการสอบผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว ในมือพวกเราแต่ละคนก็มีแผ่นป้ายไม่มากเท่าไหร่ หากว่าอวี้โม่มาถึงโดยไม่มีแผ่นป้ายเลยเกรงว่าพวกเราคงจะต้องเตรียมหาป้ายมาเพิ่มไว้สำหรับนางด้วย”
เยว่ชิงเฉิงพยักหน้า แม้ว่านางจะเชื่อมั่นในตัวสหายตระกูลฉินแต่ก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้
“ที่ผ่านมาพวกเรายังไม่เห็นคนจากอารามเลย หากว่าอวี้โม่คนเดียวบังเอิญไปเจอกับกลุ่มคนของอารามกลุ่มใหญ่ เช่นนั้นก็อาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้”
โอวหยางชิงเฟิงเอ่ยขึ้น ในหลายวันนี้มานี้ไม่มีผู้ใดเห็นแม้แต่เงาของคนจากอาราม เรื่องนี้ทำให้พวกเขาอดกังวลไม่ได้ หากว่าฉินอวี้โม่ที่อยู่เพียงลำพังได้พบเจอกับกลุ่มคนของอารามเกรงว่าสถานการณ์ของนางคงจะไม่ดีแน่
“อย่าห่วงไปเลย นี่พวกเจ้าไม่เชื่อในความแข็งแกร่งของอวี้โม่อย่างนั้นหรือ ?”
หลิงเฟิงกล่าววาจาอย่างหนักแน่นเพื่อปลุกปลอบทุกคนและนั่นก็รวมถึงตัวเขาเองด้วย
แม้ว่าในตอนนี้ทุกคนต่างก็มีความกังวลใจ ทว่าพวกเขาก็ไม่มีเป้าหมายและไม่รู้เลยว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปที่นอกเหนือจากการรอคอย
…
“หัวหน้า พวกเราควรทำอย่างไรต่อไป ?”
บุรุษกลุ่มหนึ่งกำลังเร้นกายอยู่ในเงามืด คนกลุ่มนี้มีสมาชิกกว่าสิบคน แต่ละคนต่างก็จับจ้องมองดูกลุ่มของเยว่ชิงเฉิงอย่างไม่วางตา และประโยคคำถามที่ดังขึ้นก็มาจากหนึ่งในสมาชิกของบุรุษกลุ่มนี้
“ฉินอวี้โม่ไม่ได้อยู่ที่นี่ เหมือนว่านางยังมาไม่ถึง คนกลุ่มนั้นเป็นสหายของนาง พวกเราจะเริ่มกันเลยไหม ?”
สมาชิกอีกคนเอ่ยขึ้นพลางหันไปมองบุรุษที่เป็นผู้นำกลุ่มของเขา คนผู้นั้นดูแล้วน่าจะมีอายุประมาณสามสิบปี ใบหน้าดุดันแต่หมองคล้ำ เขาจ้องมองเยว่ชิงเฉิงและสหายคนอื่น ๆ ด้วยสายตาลุ่มลึก ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“เตรียมลงมือ ในเมื่อฉินอวี้โม่ยังไม่ปรากฏตัวเช่นนั้นก็เริ่มจากคนพวกนั้น หากเราจับตัวพวกมันไว้ได้ข้าไม่เชื่อว่าฉินอวี้โม่จะไม่ยอมแสดงตัวออกมา”
คนผู้นั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจสั่งการ
เป้าหมายของพวกเขาคือฉินอวี้โม่ ทว่าจนป่านนี้นางก็ยังไม่เปิดเผยตัวตนออกมาเสียที เช่นนี้ก็คงต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมวางกลอุบายกันบ้าง กลุ่มคนตรงหน้านี้ล้วนเป็นสหายที่สนิทกับฉินอวี้โม่ หากว่าเริ่มจากพวกเขาก่อนก็น่าจะหลอกล่อให้ฉินอวี้โม่มาติดกับได้สำเร็จ
ยิ่งกว่านั้นเยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ในกลุ่มที่พวกเขากำลังซุ่มดูอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นคนรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ในนครไป๋อวิ๋น หากว่าคนกลุ่มนี้ล้มเหลวในการสอบเข้าโรงเรียนราชสำนัก พวกเขาก็อาจจะสามารถลดทอนพลังอำนาจของจักรวรรดิใหญ่โตแห่งนี้ลงไปได้มาก อีกทั้งยังทำให้จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยต้องเสียหน้าได้ด้วย …นี่คือโทษที่พระองค์สมควรจะได้รับในฐานะที่ไม่คิดเกรงใจและไม่ไว้หน้าคนจากอาราม
ใช่แล้วแท้จริงแล้วกลุ่มคนที่ซุ่มอยู่ในเงามืดเหล่านี้ก็คือตัวแทนจากอาราม
เมื่อเข้ามาถึงบริเวณนี้พวกเขาก็มองเห็นกลุ่มสหายของฉินอวี้โม่ที่กำลังรอคอยนางอยู่
หลังจากเฝ้าสังเกตการณ์มาแล้วสองวัน บุรุษจากอารามก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของฉินอวี้โม่ปรากฏ จนมาถึงวันนี้ หลังจากได้หารือกันแล้วพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะลงมือโจมตีกลุ่มคนรุ่นเยาว์เหล่านั้น
…
ในระหว่างที่เยว่ชิงเฉิงและคณะกำลังสนทนากันอยู่ จู่ ๆ พวกเขาก็รู้สึกถึงเจตนาชั่วร้ายกระแสหนึ่งกำลังพุ่งตรงมา และเมื่อหันไปมอง คนทั้งหมดก็พบว่าคนจากอารามกว่าสิบคนกำลังก้าวเข้ามาใกล้
“ศิษย์จากอารามกำลังตรงมาทางนี้ ระวังตัวกันด้วย”
ฉีอวี้กล่าวเตือนสหายอย่างใจเย็น เนื่องจากเป็นถึงองค์ชายแห่งจักรวรรดิ บุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์จึงมีความสุขุม กล้าหาญ และควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดีเยี่ยม
เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ พยักหน้า ทุกคนลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวตั้งรับ สายตาทุกคู่จ้องเขม็งไปยังเหล่าผู้รุกราน
“โอ้ ! ช่างบังเอิญยิ่งนัก ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอพวกเจ้าทุกคนที่นี่”
บุรุษที่เป็นผู้นำของกลุ่มจากอารามแสร้งเอ่ยทักทายก่อนจะหันไปกะพริบตาเป็นสัญญาณให้พวกพ้องที่อยู่ด้านหลัง กลุ่มศิษย์จากอารามทั้งหมดพยักหน้า ทันใดนั้นพวกเขาก็พุ่งเข้าไปปิดล้อมเหล่าสหายของฉินอวี้โม่เอาไว้
“จะบังเอิญหรือไม่บังเอิญก็ไม่สำคัญ เราอยากรู้แค่ว่าพวกเจ้ามีธุระอะไร ?”
เพียงแค่ดูด้วยตาก็ทราบว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาดี อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งหมดก็ไม่ได้มีความกลัวอยู่เลย เยว่ชิงเฉิงเอ่ยถามออกไปเสียงแข็ง คิ้วเรียวงามขมวดเล็กน้อย
“ฮ่า ๆ ๆ นี่คือการสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนัก แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเราต้องการก็ต้องเป็นแผ่นป้ายประจำตัวของพวกเจ้า หลายวันที่ผ่านมาพวกเจ้าก็น่าจะฉกชิงเอาของผู้อื่นมาได้ไม่น้อย ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงจะครอบครองแผ่นป้ายจำนวนมากอยู่แน่”
หัวหน้าของคนจากอารามหัวเราะพลางไล่สายตามองดูเยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ก่อนจะกล่าวออกไปโดยไม่คิดจะปิดบังจุดประสงค์ น้ำเสียงของเขาฉายแววแห่งความชั่วร้ายเต็มสิบส่วน
“ฮ่า ๆ เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดมาก หากว่าอยากจะชิงป้ายของพวกเราก็เชิญเข้ามาได้เลย แต่อย่าได้ฝันว่าเพียงแค่มาจากอารามแล้วผู้อื่นจะต้องก้มหัวให้พวกเจ้า”
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มเย็นและพร้อมกันนั้นคุณชายตระกูลใหญ่ก็เรียกอสูรมายาออกมาทันที ส่วนเยว่ชิงเฉิงและสหายคนอื่น ๆ เองก็เรียกอสูรมายาของตนออกมาอย่างไม่ลังเลเช่นกัน
“ฮ่า ๆ แข็งแกร่งกันไม่เบานี่”
เมื่อเห็นว่า*‘เหยื่อ’* ตรงหน้าเรียกอสูรมายาออกมา กลุ่มคนจากอารามก็ยิ้มเย้ยหยัน
“ฮ่า ๆ ๆ เอ้าเร็ว ! ศิษย์แห่งอารามอันยิ่งใหญ่เรียกอสูรมายาของพวกเจ้าออกมาให้หมด มาวัดกันให้รู้ไปว่าฝ่ายใดจะเหนือกว่า !”
หัวหน้าคนจากอารามหัวเราะลั่นก่อนจะส่งสัญญาณมือสั่งให้คนของเขาเรียกอสูรมายาในครอบครองออกมา
ศิษย์จากอารามทั้งหมดหันมองหน้ากันแล้วพยักหน้าก่อนจะเรียกอสูรมายาทั้งหมดของตนออกมาในทันที
อสูรมายาของเหล่าศิษย์จากอารามนั้น ตัวที่มีระดับต่ำที่สุดคืออสูรเทวะราชันสองดารา ส่วนตัวที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นถึงอสูรเทวะราชันเก้าดารา นี่นับเป็นขุมกำลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม บุรุษที่ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มคนจากอารามกลับไม่ได้เรียกอสูรมายาของเขาออกมา นั่นเป็นเพราะเขาคิดว่าแค่อสูรของเหล่าลูกน้องในบัญชาก็ทรงพลังมากพอแล้ว
“ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้ารีบยอมแพ้แต่โดยดีและส่งป้ายของพวกเจ้ามาซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า คุณหนูคุณชายทั้งหลาย… การสอบเข้าโรงเรียนยังถือเป็นเรื่องเล็กเมื่อเทียบกับชีวิต พวกเจ้าจงคิดให้ดี ๆ”
คนที่เป็นหัวหน้าของศิษย์จากอารามกล่าววาจาเย้ยหยันพร้อมเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
“เจ้าละเมออยู่รึไง ? จะให้เรายอมแพ้หรือ ฝันไปเถอะ !”
ถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่าทางฝ่ายอารามแข็งแกร่งกว่าขั้นหนึ่ง แต่บนใบหน้าของเยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้มีความกลัวอยู่เลย พวกเขาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่วแน่
พวกเขาทุกคนล้วนเป็นความภาคภูมิใจของตระกูล พวกเขาขอเลือกที่จะพยายามให้ถึงที่สุดก่อน หากเป็นไปได้เมื่อจะต้องยอมแพ้แก่ผู้ใด อีกฝ่ายก็ต้องเป็นบุคคลที่คู่ควรเท่านั้น แต่สำหรับคนจากอารามกลุ่มนี้แล้วต่อให้ต้องแลกชีวิตพวกเขาก็ไม่มีวันยอม
ยิ่งกว่านั้น พวกเขาก็อาจจะไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องพ่ายแพ้ก็ได้
“เหอะ เช่นนั้นก็อย่าได้ตำหนิทีหลังก็แล้วกัน หากว่าพวกเราลงมือกับพวกเจ้าหนักเกินไป !”
ผู้นำของกลุ่มคนจากอารามแค่นเสียงอย่างดูถูกพลางโบกมือสั่งการลูกน้อง ศิษย์จากอารามนับสิบพุ่งเข้าจู่โจมเยว่ชิงเฉิงและสหายทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
“ช้าก่อน !”
ทันใดนั้นก็มีเสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้น เขาก็คือลั่วอวิ๋นที่กำลังรีบวิ่งตรงมาหา
“ลั่วอวิ๋น เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ? รีบหนีไปเร็ว !”
เมื่อเห็นว่าลั่วอวิ๋นกำลังวิ่งตรงเข้ามา เยว่ชิงเฉิงก็ตะโกนไล่ในทันที คนผู้นี้จะนับว่า ‘มาได้ประจวบเหมาะ’ ก็ได้ แต่หากกล่าวว่า ‘มาไม่ถูกจังหวะเวลาเสียเลย’ จะถูกต้องมากกว่า ตอนที่เขามาถึงทุกคนก็กำลังเริ่มต่อสู้แล้ว แม้ว่าตัวเขาจะอ่อนแอที่สุดในกลุ่มแต่ก็ยังไม่ลังเลที่จะรีบวิ่งตรงเข้ามาเพื่อช่วยเหลือเพื่อนพ้องทุกคน
“ถ้าพวกเจ้าต้องการจะสู้ก็เพิ่มข้าไปอีกคน”
ลั่วอวิ๋นยิ้มพลางวิ่งไปหาเยว่ชิงเฉิงและสหายคนอื่น ๆ
“ข้าจะไม่มีวันทิ้งสหายของข้าเด็ดขาด”
เมื่อได้ยินวาจาอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของลั่วอวิ๋น เหล่าสหายของฉินอวี้โม่ทุกคนก็ได้แต่ส่ายศีรษะและถอนหายใจ ตอนนี้พวกเขาไม่ทราบว่าควรจะชื่นชมและซาบซึ้งในมิตรภาพของคนผู้นี้ก่อนหรือจะด่าว่าเขาโง่ก่อนดี
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต้องคิดว่าข้าโง่ แต่จะให้ข้ายืนดูพวกเจ้าถูกรังแกอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร เมื่อเห็นเพื่อนอยู่ในอันตรายข้าก็ต้องรีบช่วย มีข้าเพิ่มอีกคนก็อาจจะดีกว่าไม่มี พวกเรามาร่วมมือกันแสดงให้คนพวกนั้นเห็นว่าพวกเราไม่ใช่ผู้ที่จะให้ใครรังแกได้ง่าย ๆ”
ลั่วอวิ๋นยิ้มแล้วกล่าวขณะที่ตั้งท่ารับมือศัตรูอยู่เคียงข้างสหายทั้งหลายของตนอย่างมั่นคง
การปรากฏตัวของลั่วอวิ๋นทำให้เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ตกตะลึงไม่น้อย ทว่าวาจาของพวกเขาก็ทำให้ทุกคนรู้สึกฮึกเหิม แม้แต่องค์ชายฉีอวี้ยังอดยิ้มออกมาไม่ได้
“ลั่วอวิ๋น ต่อไปนี้เจ้าถือว่าเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกับข้าโอวหยางชิงเฟิง !”
โอวหยางชิงเฟิงกล่าวออกมาพลางตบบ่าของลั่วอวิ๋นอย่างหนักแน่น แม้ว่าเขาจะรู้จักบุตรชายของเจ้าเมืองเยว่กวางผู้นี้ ทว่าก็รู้จักได้เพียงไม่นานและรู้จักเพราะเขาเป็นสหายของฉินอวี้โม่ พวกเขาทั้งสองจึงยังไม่สนิทกันมากนัก และถึงแม้จะนับลั่วอวิ๋นเป็นสหายผู้หนึ่งแต่พวกเขาก็ไม่เคยได้พูดคุยกันเลย
บุตรชายเจ้าเมืองผู้นี้แสดงให้เห็นน้ำใจอันน่านับถือ เขาไม่คิดทอดทิ้งพวกพ้องแม้จะรู้ดีว่าอาจจะเอาชีวิตมาเสี่ยง หลังจากวันนี้โอวหยางชิงเฟิงตัดสินใจแล้วว่าจะพยายามผูกสัมพันธ์กับสหายน่านับถืออย่างลั่วอวิ๋นผู้นี้เอาไว้
“เอาล่ะ มาสั่งสอนคนพวกนี้กันเถอะ”
ลั่วอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อย่างแย่ที่สุดเราก็แค่ตกรอบเท่านั้น ไม่มีอะไรต้องกลัว !”
หลิงซวงเอ่ยเสียงใสด้วยรอยยิ้มหวาน น้ำเสียงของนางดูเรียบง่ายแต่ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและกล้าหาญ
“ใช่ ให้คนจากอารามได้รู้ว่าคนของจักรวรรดิเราไม่ใช่ผู้ที่ใครจะมาข่มเหงรังแกได้ง่าย ๆ”
เหย่าเซียนเอ๋อร์พยักหน้าเห็นด้วยแล้วเอ่ยสนับสนุน
ศิษย์จากอารามมักจะคิดอยู่เสมอว่าพวกตนมีสถานะที่พิเศษและสูงส่ง คนน่ารังเกียจเหล่านี้ทะนงตนตลอดเวลาว่า ถ้าหากต้องการจะรังแกผู้ใดในแผ่นดินก็ทำได้โดยง่าย วันนี้พวกเขาจะให้คนจากขุมกำลังใหญ่นี้ได้รู้เอาไว้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะยินยอมถูกพวกเขาข่มเหง และหากว่าอยากจะรังแกกัน พวกเขาก็จะต้องเตรียมตัวที่จะเสียใจเอาไว้ให้ดี
“ดี ดีมาก ! พวกเจ้ากล่าวได้ยอดเยี่ยมมาก ๆ แต่อย่าลืมสิเวลานี้พวกเจ้าอยู่ต่อหน้าความแข็งแกร่งที่ห่างชั้นกันอย่างมหาศาล ข้าเกรงว่าเพียงแค่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อันเด็ดเดี่ยวคงจะไม่เพียงพอ เตรียมตัวกลับไปนั่งจิบน้ำชาท่องบทกลอนอยู่ที่บ้านกันได้แล้ว พวกข้าจะสงเคราะห์ให้เอง !”
ผู้นำของกลุ่มคนจากอารามสาดวาจาเหยียดหยามพลางโบกมือสั่งการให้คนของเขาลงมือได้
หากไม่นับบุรุษที่เป็นหัวหน้า ฝ่ายอารามจะมีคนอยู่ทั้งหมดสิบคน ทว่าทางฝ่ายของเยว่ชิงเฉิงเองก็มีคนน้อยกว่าเพียงสองคนเท่านั้น แท้จริงแล้วก็นับว่าต่างกันไม่มากนัก
“อสูรเทวะราชันเก้าดาราและเจ้านายของมันปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
โอวหยางชิงเฟิงเอ่ยขึ้นมาและพุ่งเข้าไปหยุดอสูรเทวะราชันเก้าดาราเอาไว้ในทันที เขารู้ดีว่าอสูรตัวนี้และบุรุษผู้ครอบครองมันแข็งแกร่งที่สุดในที่นี้แล้ว หากไม่นับรวมบุรุษที่เป็นหัวหน้าซึ่งยังไม่แสดงฝีมือให้เห็น
แม้ว่าอสูรเทวะราชันของโอวหยางชิงเฟิงจะมีระดับเพียงแค่เทวะราชันหกดารา แต่เขาก็ยังมีอสูรเทวะราชันสามดาราและอสูรเทวะเก้าดาราอยู่อีก เมื่อสู้กันด้วยจำนวนสามต่อหนึ่ง อย่างไรทางเขาก็ไม่ใช่ฝ่ายที่จะเสียเปรียบ
“ส่วนเจ้าเสือตัวนั้นปล่อยเป็นหน้าที่ข้าเอง”
องค์ชายฉีอวี้เอ่ยปากขึ้มมาพร้อมกับพุ่งเข้าไปหยุดอสูรเทวะราชันเจ็ดดาราเอาไว้
อสูรเทวะราชันของฉีอวี้เองก็อยู่ในขั้นดาราที่หกเช่นเดียวกับของโอวหยางชิงเฟิง ทว่าองค์ชายแห่งจักรวรรดิครอบครองอสูรระดับนั้นอยู่ถึงสองตัว เมื่อรวมเข้ากับตัวเขาเองแล้วก็เท่ากับว่าพวกเขาต่อสู้ในอัตราสามต่อสองเมื่อรวมเจ้าของ นั่นหมายความว่าเขาเองก็ไม่ใช่ฝ่ายที่เสียเปรียบเช่นกัน
“สองคนนั้นให้เป็นหน้าที่ข้า”
เยว่ชิงเฉิงเข้าไปประกาศจองบุรุษสองคนที่มีระดับพลังต่ำที่สุดในกลุ่ม ในช่วงที่ผ่านมานี้ฝีมือของนางนับว่าพัฒนารุดหน้าไปไม่น้อย อีกทั้งนางยังมีอสูรเทวะราชันแปดดาราอยู่เคียงข้าง คุณหนูใหญ่แห่งสมาคมช่างหลอมจึงมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก
“สองคนนั้นข้าขอ”
หลิงเฟิงไม่ได้เป็นเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตนภมายาเท่านั้น แต่เขายังเป็นมือกระบี่ผู้มีฝีมือสูงส่งมากอีกด้วย เขาสามารถรับมือกับศัตรูแบบหนึ่งต่อสองได้อย่างสบาย
ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือต่างก็รับมือกับฝ่ายตรงข้ามกันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ก็ยังคงเหลือผู้นำของกลุ่มคนจากอารามที่ตอนนี้ยังไม่ได้เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
ทางด้านเสี่ยวโร่วนั้น คู่ต่อสู้ของนางคือจอมยุทธ์นภมายาสามดาราและอสูรเทวะราชันห้าดารา ในตอนนี้ระดับพลังของเสี่ยวโร่วพัฒนาขึ้นบ้างแล้ว สาวน้อยกลายเป็นจอมยุทธ์นภมายาสองดาราซึ่งก็เท่ากับฝ่ายตรงข้ามเหนือกว่านางเพียงดาราเดียวเท่านั้น
อสูรมายาของเสี่ยวโร่วอยู่ระดับเทวะราชันสี่ดาราและหนึ่งดารา ด้วยอัตราสามต่อหนึ่งนี้ หากไม่ใช่เพราะนางด้อยประสบการณ์ด้านการต่อสู้ อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางเลย
การต่อสู้อันดุเดือดของคนสองกลุ่มดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมากให้ล้อมวงเข้ามาดู ในตอนนี้ ณ จุดศูนย์กลางของดินแดนต้องห้ามดูคึกคักขึ้นมาแล้ว !