ตอนที่ 97 สวมหน้ากาก

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

บุรุษผู้นำของกลุ่มคนจากอารามยืนสังเกตการณ์อยู่อย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีท่าทีว่าจะเข้าไปร่วมการต่อสู้ เขาเชื่อว่าเพียงแค่เหล่าศิษย์ฝีมือไม่สูงส่งนักจากอารามก็สามารถเอาชนะได้โดยง่ายแล้ว อย่างไรเสียยอดฝีมือเกือบทั้งหมดในดินแดนนี้ก็ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนจากอาราม

ทว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้กลับทำให้เขาต้องคิดใหม่

แรกสุดคือโอวหยางชิงเฟิง

โอวหยางชิงเฟิงรู้ดีว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรเทวะราชันเก้าดารา การดึงดันจะเอาชนะมันให้ได้ถือเป็นเรื่องที่โง่งมมาก ดังนั้นเขาจึงทุ่มพลังทั้งหมดจู่โจมคนจากอารามที่เป็นเจ้านายของมันแทนตั้งแต่เริ่มต้น

ความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นนับว่าค่อนข้างดีมากทีเดียว ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นเพียงจอมยุทธ์นภมายาห้าดารา

อย่างไรก็ตาม โอวหยางชิงเฟิงก็ไม่ใช่ผู้ที่จะยอมให้ใครข่มเหงได้ง่าย ๆ

เขาให้อสูรเทวะราชันหกดาราและอสูรเทวะเก้าดาราของตนเข้าไปถ่วงเวลาอสูรเทวะราชันดาราสูงสุดของคู่ต่อสู้เอาไว้ ขณะที่ตัวเขาและอสูรเทวะราชันสามดาราตรงเข้าไปเล่นงานอีกฝ่ายไม่ยั้งมือ

“เฮ้ ๆ ๆ เจ้าโอหังมากไม่ใช่หรือ ?!”

โอวหยางชิงเฟิงเอ่ยท้าทาย เขาผสานการโจมตีกับอสูรมายาและเข้ากดดันคนจากอารามอย่างหนักหน่วง

แม้ว่าคนผู้นั้นจะแข็งแกร่งไม่น้อย แต่บางทีอาจเป็นเพราะอาศัยอยู่ในอารามมานานจึงมีความหยิ่งยโสในฝีมือของตัวเองมากเสียจนไม่คิดจะมีอสูรมายามากกว่าหนึ่ง ซึ่งเมื่อถูกโอวหยางชิงเฟิงและอสูรเทวะราชันสามดารารุมก็ทำให้เขาเสียเปรียบอย่างหนัก

ประสบการณ์การต่อสู้ของโอวหยางชิงเฟิงอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าช่ำชอง ทั้งตัวเขาและอสูรมายาคู่หูผลัดกันโจมตีซ้ายขวา พุ่งเข้ากดดันคู่ต่อสู้จากอารามจนอีกฝ่ายแทบไม่มีโอกาสพักหายใจ และด้วยความช่วยเหลือของอสูรมายาข้างกาย ในที่สุดคุณชายผู้อยู่ป่ามาหลายปีก็ฉวยโอกาสปลดปล่อยนภายุทธ์ออกมาได้

แม้ว่าคนจากอารามจะต่อต้านสุดกำลังทว่าเขาก็ยังได้รับบาดเจ็บหนักจนสูญเสียพลังในการต่อสู้ไปและก่อนที่จะตั้งตัวเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับการจู่โจมอีกระลอกของโอวหยางชิงเฟิงแล้ว

ส่วนอสูรเทวะราชันเก้าดาราที่อยู่ในครอบครองของคนจากอารามนั้น เมื่อผู้เป็นนายบาดเจ็บจนสูญเสียพลังและสมาธิมันก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย และยิ่งเมื่อถูกอสูรมายาทั้งสามของโอวหยางชิงเฟิงรุมซัดพลังโจมตีไม่เว้นช่องว่าง ในที่สุดอสูรมายาที่มีระดับสูงสุดในสมรภูมินี้ก็ถูกไล่ต้อนจนต้องหนีกลับไปอยู่ในมิติเชื่อมอสูร

ทันทีที่โอวหยางชิงเฟิงเผด็จศึกได้ กลุ่มคนจากอารามทั้งหลายที่กำลังต่อสู้กันอยู่ก็เริ่มตื่นตระหนกในทันที

แม้ว่าเสี่ยวโร่วจะเพิ่งเคยเผชิญกับการต่อสู้แบบจริงจังและรุนแรงเช่นนี้เป็นครั้งแรก ทว่าความอ่อนด้อยประสบการณ์นี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรง เมื่อการต่อสู้ดำเนินไปสักพักสาวน้อยก็ค่อย ๆ เรียนรู้และกลายเป็นฝ่ายที่พลิกกลับมาเป็นต่อได้ และทันทีที่คู่ต่อสู้เสียสมาธิไปในจังหวะที่โอวหยางชิงเฟิงเผด็จศึกได้ นางก็ใช้โอกาสนั้นปลดปล่อยนภายุทธ์เพื่อจัดการฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว

หลังจากโอวหยางชิงเฟิงเอาชนะคู่ต่อสู้ของตนเองได้แล้ว เขาก็รีบเข้าไปช่วยเยว่ชิงเฉิงในทันที

เวลานี้เยว่ชิงเฉิงกำลังต่อสู้อยู่ในแบบหนึ่งต่อสองอย่างยากลำบาก แม้ว่าในตอนแรกนางจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและเกือบถูกเผด็จศึกอยู่หลายครั้ง อย่างไรก็ตาม หลังจากใช้กระบวนท่าแปลกประหลาดที่ได้เรียนรู้มาจากฉินอวี้โม่ครั้งแล้วครั้งเล่า นางก็ยังคงยื้อเวลาไว้ได้จนถึงตอนนี้

ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งที่กำลังจะเพลี่ยงพล้ำ เยว่ชิงเฉิงก็ใช้วายุเข็มพิษบุปผาซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาภาพมายา เมื่อใช้ผสานกับวิชาอื่น ๆ และเข็มพิษก็ทำให้คนจากอารามทั้งสองไม่สามารถป้องกันได้ พวกเขาตกอยู่ในความมึนงงชั่วขณะ วิชาดังกล่าวนี้เยว่ชิงเฉิงได้แนวคิดมาจากความรู้เรื่องกลไกที่ได้ฟังมาจากฉินอวี้โม่ สตรีผู้ชื่นชอบกลไกเอาเข็มพิษฉบับปรับปรุงใหม่ของนางมาปรับใช้กับพลังมายา คุณหนูใหญ่ตระกูลเยว่ใช้โอกาสนั้นตะโกนทำลายจังหวะของคู่ต่อสู้ก่อนจะใช้เข็มพิษอัดเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม แม้ว่าความแข็งแกร่งของศิษย์จากอารามทั้งสองจะสูงกว่านางถึงขั้นหนึ่งแต่พวกเขาก็ไม่ใช่ฝ่ายที่ได้เปรียบเลย

“มาจบงานนี้กันเถอะ !”

เสียงของโอวหยางชิงเฟิงดังขึ้นมา คุณชายรองตระกูลโอวหยางพุ่งเข้าปะทะกับคนผู้หนึ่งที่ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ของคุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอม

เมื่อเหลือคู่ต่อสู้เพียงหนึ่งเดียว แน่นอนว่าเยว่ชิงเฉิงก็กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบในทันที นางสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างไม่ยากเย็นและจบศึกในเวลาอันสั้น

แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือหลิงซวง

ไม่คิดเลยว่าโฉมงามอันดับห้าแห่งแผ่นดินที่ดูสูงส่งเป็นดรุณีสูงศักดิ์ในรั้ววังจะเป็นสตรีที่ดุเดือดเลือดพล่านได้ถึงเพียงนี้ สาวงามถือกระบี่ยักษ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวของนางเข้ากระหน่ำฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามไม่ยั้ง ในตอนที่การต่อสู้ของโอวหยางชิงเฟิงจบลง คู่ต่อสู้ของนางก็ถูกฟันจนมีสภาพยับเยินแทบลุกขึ้นยืนไม่ได้แล้ว

เหย่าเซียนเอ๋อร์และคนที่เหลือก็พยายามรีบจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้เข้าไปช่วยคนอื่น ๆ

“ฮ่า ๆ ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินพวกเจ้าต่ำเกินไปจริง ๆ !”

และสิ่งที่ไม่คาดคิดสำหรับศึกครั้งนี้คือบุรุษผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่มคนจากอารามกลับไม่มีท่าทีที่หวาดกลัวให้เห็นเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าคนของเขาจะพ่ายแพ้ไปแล้วเกือบครึ่งแต่เขาก็ยังยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อน ดูแล้วคนผู้นี้ยังคงมีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม

“ในเมื่อเจ้าพวกนั้นมันไร้ประโยชน์ งั้นข้าก็คงจะต้องลงมือมอบบทเรียนให้พวกเจ้าเองแล้ว !”

สิ้นเสียงประกาศดังก้องนั้น สภาวะพลังอันรุนแรงก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของบุรุษวัยใกล้สามสิบปีผู้นั้น

ตั้งแต่เมื่อครั้งได้ยินวาจาของชายผู้นั้น โอวหยางชิงเฟิงและสหายคนอื่น ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจมากอยู่แล้ว  ตอนนี้เมื่อได้สัมผัสกับสภาวะพลังและกลิ่นอายทรงพลังอย่างน่าหวาดหวั่นจากร่างของเขา กลุ่มสหายของฉินอวี้โม่ก็ยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้น

“เจ้าเป็นใครกันแน่ ?”

องค์ชายสามฉีอวี้ถามออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วกระบี่ขมวดมุ่นอย่างกังขา สภาวะพลังที่แผ่ออกมานั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมากเห็นได้ชัดเลยว่าบุรุษผู้นั้นเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตมายาบรรพชน แต่ที่น่าแปลกคืออีกฝ่ายดูเหมือนอายุยังไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ ในรอบหลายปีมานี้นอกจากหานโม่ฉือแล้วเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีผู้ที่บรรลุขอบเขตมายาบรรพชนตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบ ที่สำคัญชายตรงหน้าพวกเขานี้ยังไม่ใช่เพียงแต่ ‘เพิ่งทะลวงพลังได้’ เท่านั้น แต่ยังเป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนหลายดาราอีกด้วย

และที่ก่อนหน้านี้พวกเขาสัมผัสได้ว่าคนผู้นี้เป็นเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตนภมายามันคงจะไม่ใช่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา

กล่าวกันว่าเมื่อจอมยุทธ์เข้าถึงขอบเขตมายาบรรพชน คนผู้นั้นก็จะสามารถกดระดับพลังไว้ได้เป็นการชั่วคราว หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตนเองให้ดูอ่อนเยาว์ลงกว่าปกติก็สามารถทำได้ ซึ่งนั่นก็เป็นวิธีการที่บุรุษผู้อยู่ตรงหน้าเหล่าคนรุ่นเยาว์แห่งนครไป๋อวิ๋นกำลังใช้อยู่ในขณะนี้

ในขณะที่กำลังครุ่นคิดกันอย่างหนัก ฉีอวี้และคนอื่น ๆ ก็เริ่มจะคาดเดาได้ถึงตัวตนจริงแท้ของคนผู้นี้แล้ว

“คำตอบก็อยู่ในใจของพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ?”

บุรุษขอบเขตมายาบรรพชนผู้นั้นเผยรอยยิ้มบางก่อนจะเปลี่ยนโฉมกลับไปเป็นโฉมหน้าที่แท้จริง

“ผู้อาวุโสสองแห่งอาราม เป็นเจ้าจริง ๆ !”

เมื่อเห็นใบหน้าของบุรุษจากอารามผู้นั้น ม่านตาของโอวหยางชิงเฟิงก็หดย่อลงอย่างฉับพลัน ทว่าในดวงตาก็ยังไม่มีแววแห่งความหวาดกลัวปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย

แม้ว่าความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์นภมายาและจอมยุทธ์มายาบรรพชนจะต่างกันมาก แต่พวกเขาทั้งหมดก็ไม่กลัว

“ผู้อาวุโส ต้องถึงกับปลอมตัวเป็นคนรุ่นเยาว์เพื่อให้ได้เข้าร่วมสอบ ทำเช่นนี้ไม่รู้จักอับอายบ้างหรือ ?”

เยว่ชิงเฉิงเอ่ยวาจาเย้ยหยันออกไปก่อนจะหันไปส่งสายตาเป็นสัญญาณให้พวกพ้อง

แน่นอนว่าสหายทุกคนเข้าใจความหมายจากสายตาของคุณหนูตระกูลช่างหลอมดี นางต้องการให้พวกเขารีบหนีไปก่อน ส่วนนางจะสกัดคนผู้นั้นไว้เอง

“ไม่จำเป็น วันนี้พวกเราจะร่วมแรงร่วมใจกัน ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าขอบเขตมายาบรรพชนจะแข็งแกร่งเพียงใด”

หลิงซวงเอ่ยออกมาด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่เต็มเปี่ยม

อีกฝ่ายเป็นถึงผู้อาวุโสของอารามอีกทั้งยังเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตมายาบรรพชน ตัวตนระดับนี้อย่าว่าแต่ประมือด้วยเลยเพราะเพียงแค่จะพบเห็นก็ยังหาได้ยากยิ่ง ในเมื่อมีโอกาสแล้วนางก็อยากจะลองรับมือดูสักตั้ง หากว่าเข้าขั้นวิกฤตแล้วจริง ๆ ก็ยังสามารถทำลายป้ายและหนีออกไปได้ทันที อย่างไรก็ตามการทำลายป้ายจะถือเป็นทางเลือกสุดท้ายที่พวกเขาจะทำ เพราะใจจริงแล้วไม่มีผู้ใดอยากจะตกรอบ แน่นอนว่าทุกคนอยากจะอยู่รอฉินอวี้โม่ให้ถึงที่สุด

“ฮ่า ๆ ๆ ดี ถือว่าพวกเจ้ามีความกล้า อย่างไรก็ตาม ในวันนี้จะไม่มีพวกเจ้าคนใดได้กลับออกไปอย่างเด็ดขาด ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็นเองว่าความห่างชั้นของขอบเขตนภมายาและมายาบรรพชนเป็นเช่นไร !”

ลิ่วรุ่ยหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกันนั้นเขาก็เรียกอสูรมายาในครอบครองออกมา

เมื่ออสูรมายาของผู้อาวุโสสองแห่งอารามปรากฏกายขึ้น เหล่าอสูรมายาทั้งหลายในสมรภูมิแห่งนี้ก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวในทันที

“นายท่านอสูรตัวนี้ก้าวเข้าสู่ ‘ขอบเขตสวรรค์’ แล้ว”

อสูรมายาของโอวหยางชิงเฟิงกล่าวขึ้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรมายาที่อยู่ในขอบเขตเหนือกว่า พลังของมันจึงถูกข่มเอาไว้

แม้ว่าคำเรียกขานถึง ‘อสูรเทวะราชัน’ จะดูเป็นคำที่อลังการและยิ่งใหญ่ แต่ถ้าหากจัดลำดับตามความเป็นจริงแล้ว ‘อสูรมายาระดับเทวะราชัน’ ก็ยังเป็นเพียงอสูรระดับกลางเท่านั้น

เหนือขึ้นไปจากอสูรมายาระดับเทวะราชัน คือเหล่าอสูรที่ก้าวผ่านทัณฑ์อัสนีไปได้แล้ว อสูรเหล่านี้ถูกเรียกขานกันว่า*‘อสูรสวรรค์’* อสูรสวรรค์นั้นแบ่งออกเป็นสี่ระดับตามความแข็งแกร่ง เริ่มต้นจาก ‘อสูรสวรรค์ขั้นต้น’ที่ถือว่าอ่อนแอที่สุด ถัดมาคือ‘ราชาอสูรสวรรค์’และถัดไปอีกเป็น‘จักรพรรดิอสูรสวรรค์’ส่วนอสูรสวรรค์ขั้นสูงสุดที่นับว่าแข็งแกร่งมากที่สุดเป็นที่รู้จักกันในนามเรียกขานว่า‘เทพอสูร’

ส่วนอสูรร่างใหญ่ที่มีรูปร่างแปลกประหลาดที่ลิ่วรุ่ยเรียกออกมานั้นเป็น*‘อสูรสวรรค์ขั้นต้น’*

เมื่อเทียบกับอสูรมายาที่มีอยู่มากมายหลายล้านตัวบนแผ่นดินนี้แล้ว อสูรสวรรค์จัดเป็นประชากรส่วนน้อยที่น้อยแสนน้อยและหาได้ยากยิ่ง และถ้าหากจะนับในหมู่อสูรมายาด้วยกันอสูรเทวะราชันคือระดับสูงสุด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้คนจะแซ่ซ้องให้อสูรเทวะราชันให้เป็นราชาในหมู่อสูร และก็ไม่แปลกอีกเช่นกันที่อสูรสวรรค์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเป็นที่กล่าวถึง

อย่างไรก็ตาม ความห่างชั้นของอสูรมายาธรรมดากับอสูรที่เคยผ่านทัณฑ์อัสนีจนกลายเป็นอสูรสวรรค์แล้วนั้น เรียกได้ว่า ‘ต่างกันราวฟ้ากับก้นเหวลึก’ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าอสูรสวรรค์พลังของอสูรเทวะราชันจะถูกกดข่มลงไปถึงห้าส่วน

“เหล่าอสูรมายาทั้งหลาย อย่าเพิ่งหวาดหวั่นไปเลย พวกเจ้าหาโอกาสเล่นงานผู้อาวุโสสอง ส่วนพวกเราจะเข้าไปหยุดอสูรสวรรค์นั่นเอง !”

แน่นอนว่าโอวหยางชิงเฟิงก็รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งอันผิดปกติของอสูรของผู้นำกลุ่มศัตรูที่เพิ่งปรากฏกายขึ้นเช่นกัน เขาจึงประกาศเสียงก้องร้องบอกอสูรมายาทุกตัวในกลุ่ม

“ไม่ นายท่าน พวกเราจะร่วมมือกันจัดการกับเจ้านั่น แม้ว่ามันจะเป็นอสูรสวรรค์ แต่พวกเราก็มีมากกว่า แม้ว่าเราจะอ่อนแอแต่หากร่วมมือกันก็น่าจะหยุดมันได้”

อสูรมายาทั้งหมดส่ายหัว ก่อนที่พวกมันทุกตัวจะเปลี่ยนไปอยู่ในร่างจริงและพุ่งเข้าจู่โจมอสูรสวรรค์ของลิ่วรุ่ยอย่างไม่ลังเล

“พวกเราเองก็ลงมือได้ !”

เมื่อเห็นดังนั้น กลุ่มคนรุ่นเยาว์ทั้งหมดก็หันมองหน้ากันก่อนจะพุ่งเข้าจู่โจมลิ่วรุ่ยโดยไม่รีรอ

“ฮ่า ๆ ๆ เข้ามาเลย วันนี้ผู้เฒ่าคนนี้จะสั่งสอนเด็กอย่างพวกเจ้าให้รู้จักที่ต่ำที่สูง”

ลิ่วรุ่ยหัวเราะเย้ยหยันบ้าคลั่งอีกครั้ง เขายืนนิ่งมองดูทุกคนที่กำลังพุ่งเข้ามาโจมตีโดยไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย

เยว่ชิงเฉิงเข้าไปถึงตัวลิ่วรุ่ยเป็นคนแรก นางใช้ทักษะการโจมตีที่พิสดารและใช้วิชาวายุเข็มพิษบุปผาพุ่งเข้าใส่ลิ่วรุ่ยในทันที

ทว่าทันใดนั้นรอบกายของลิ่วรุ่ยก็ก่อเกิดม่านพลังไม่ทราบที่มายกตัวขึ้นปกป้องร่างของเขาจากพลังของเยว่ชิงเฉิงในทันที การโจมตีอันพิสดารของสตรีผู้ชื่นชอบกลไกถูกอีกฝ่ายป้องกันไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เข็มพิษทั้งหมดของนางร่วงกราวลงบนพื้นอย่างไร้ความหมาย มันไม่สามารถทำอะไรบุรุษอาวุโสจากอารามได้เลย

“ทักษะนภายุทธ์: คมกระบี่หมุนวน !”

หลิงซวงเปล่งเสียงเย็นชาออกมาครั้งหนึ่ง นางกระโดดม้วนตัวกลางอากาศและใช้กระบี่ยักษ์ที่ห่อหุ้มด้วยพลังมายาฟาดเข้าใส่ลิ่วรุ่ยที่อยู่ด้านล่าง

“ยังอ่อนหัด !”

ลิ่วรุ่ยกล่าวขึ้นมาอย่างใจเย็นพลางขว้างก้อนแสงเข้าไปสกัดกระบี่ยักษ์ของหลิงซวงในฉับพลัน ก้อนแสงปะทะนภายุทธ์ของสตรีโฉมงามผู้หาญกล้าจนเกิดแสงสว่างจ้ากลางอากาศกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศ

— เพล้ง ! —

เกิดเสียงแตกหักดังขึ้น กระบี่ของหลิงซวงถูกทำลายจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทว่าก้อนแสงของลิ่วรุ่ยยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น มันยังคงมีพลังเปี่ยมล้นและพุ่งเข้าจู่โจมคู่ต่อสู้อย่างไม่ลดละ

“ทักษะนภายุทธ์: เทพธิดาโบยบิน !”

เหย่าเซียนเอ๋อร์เห็นก้อนแสงกำลังจะเข้าถึงตัวหลิงซวง นางก็ไม่รั้งรอรีบปลดปล่อยนภายุทธ์ออกไปเพื่อสกัดก้อนแสงนั้นไว้

โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ ใช้โอกาสนี้ปลดปล่อยนภายุทธ์เข้าใส่ผู้อาวุโสสองแห่งอารามเช่นกัน ทว่าก็ถูกลิ่วรุ่ยปัดป้องได้โดยสมบูรณ์ ซ้ำยังถูกอีกฝ่ายตอบโต้กลับมาด้วยกระบวนท่าที่รุนแรงกว่า !

“ไม่ได้การ ความห่างชั้นมีมากเกินไป !”

เมื่อเห็นว่าการโจมตีของทุกคนไม่ได้ผลแม้แต่น้อย เสี่ยวโร่วที่ยืนอยู่อีกด้านจึงยังไม่ได้บุ่มบ่ามก้าวออกไป สาวใช้น้อยรีบครุ่นคิดหาวิธีโต้ตอบ

“คุณหนูเคยบอกว่า กระบวนท่ายิ่งอลังการยิ่งใช้ไม่ได้ผล ตรงกันข้ามกระบวนท่ายิ่งดูเรียบง่ายและธรรมดากลับให้ผลที่ดีกว่า บ่อยครั้งที่การโจมตีง่าย ๆ สามารถส่งผลลัพธ์ที่ใหญ่หลวง การใช้พลังทั้งหมดรวมเป็นหนึ่งจะได้ผลดีกว่าใช้อย่างกระจัดกระจาย…”

เมื่อทบทวนถึงสิ่งที่ฉินอวี้โม่เคยสอน ทันใดนั้นเสี่ยวโร่วก็ตระหนักถึงบางสิ่งขึ้นมา

สาวน้อยรีดเค้นพลังมายาทั้งหมดในร่างกายมารวมไว้คล้ายกับเป็นเข็มเล็ก ๆ เล่มหนึ่งอยู่ตรงหน้า  นางค่อย ๆ หลอมรวมพลังอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้ศัตรูสังเกตเห็น

“ตอนนี้แหละ !”

เสี่ยวโร่วเปล่งเสียงไม่ดังไม่เบาออกมา เข็มที่อัดแน่นไปด้วยพลังมายาของเสี่ยวโร่วพุ่งเข้าใส่ลิ่วรุ่ยอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผู้ปลดปล่อยพลังนั้นหมดสติไปจากการฝืนใช้พลังเกินขีดจำกัด ร่างเล็ก ๆ ล้มลงไปกองกับพื้น ลมหายใจของสาวน้อยอ่อนล้ารวยรินเป็นอย่างมาก

“เหอะ นี่เจ้าคิดจะทำลายการป้องกันของข้าด้วยการโจมตีธรรมดาเช่นนั้นน่ะหรือ ?”

เมื่อเห็นเข็มเล็ก ๆ พุ่งตรงเข้ามาหา ลิ่วรุ่ยก็แค่นเสียงเหยียดหยาม บุรุษอาวุโสขว้างก้อนแสงออกไป

— ปัง ! —

ทุกคนในที่แห่งนั้นมองเห็นการปะทะกันระหว่างเข็มพลังของเสี่ยวโร่วและก้อนแสงของลิ่วรุ่ยอย่างชัดเจน เสียงจากการปะทะนั้นกึกก้องไปทั่วและดังไกลหลายลี้

เสี้ยวลมหายใจถัดมาแสงสว่างที่รุนแรงชวนแสบตาก็ระเบิดออกเป็นวงกว้าง ทว่าเข็มสีเงินของเสี่ยวโร่วกลับสามารถพุ่งทะลุก้อนแสงของลิ่วรุ่ยเข้าไป ก่อนจะทะลวงผ่านม่านป้องกันอันแข็งแกร่งของเขาจนเข้าไปถึงร่างอาวุโสนั้นได้ในพริบตา

“อ๊ากกกก !”

เสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดดังขึ้น

เมื่อแสงสว่างจางหายไปแล้ว ภาพที่ลิ่วรุ่ยผู้อาวุโสสองแห่งอารามกำลังเช็ดหยดเลือดที่มุมปากออกก็ปรากฏต่อทุกสายตา ยิ่งไปกว่านั้นตรงบริเวณหัวไหล่ข้างหนึ่งของเขาก็เกิดเป็นรอยแผลเล็ก ๆ ปรากฏอยู่ ซึ่งถึงแม้จะมีขนาดเล็กแต่แผลนั้นก็คล้ายจะลึกมาก เพราะมันยังคงมีเลือดมากมายไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง

“สุดยอดไปเลยเสี่ยวโร่ว !”

เมื่อเหล่าคนรุ่นเยาว์ในกลุ่มสหายของฉินอวี้โม่เห็นว่าลิ่วรุ่ยได้รับบาดเจ็บเป็นครั้งแรก พวกเขาก็ร้องอุทานอย่างตื่นเต้น ขอเพียงแค่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้พวกเขาก็นับว่ามีโอกาสชนะแล้ว

“หึ กล้าทำให้ข้าบาดเจ็บ เจ้าหาที่ตายแล้ว !”

ลิ่วรุ่ยเปล่งเสียงตวาดอย่างเดือดดาล การถูกยอดฝีมือขอบเขตนภมายาอ่อนแอทำให้บาดเจ็บถือเป็นเรื่องที่ทำให้เขาเสียหน้ามาก

“ลงนรกไปเสียเถอะ !”

ร่างของลิ่วรุ่ยหายวับไปอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากเงา เขากำลังพุ่งเข้าจู่โจมเสี่ยวโร่วด้วยความเร็วที่ยากจะมองเห็น

และด้วยความเร็วนั้นจึงไม่มีผู้ใดหยุดยั้งเขาได้ เพียงพริบตาเดียวผู้อาวุโสแห่งอารามก็เข้าถึงตัวเสี่ยวโร่วแล้ว

และเสี่ยวโร่วที่เพิ่งจะมีแรงลุกขึ้นยืนก็ไม่มีพลังเพียงพอที่จะป้องกันตัวหรือหลบหนีได้เลย

ในตอนที่สาวน้อยกำลังจะหยิบเอาป้ายประจำตัวออกมาและทำลายมัน ร่างร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้วปกป้องนางเอาไว้