บทที่ 208 การสนทนาของเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อ

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

คำพูดของเย่เทียนเฉินทำให้บุคคลที่อยู่ในที่นี้อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ กระทั่งมู่หรงอวี๋ตูที่เป็นทหารที่รอดชีวิตออกมาจากไฟสงครามได้ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่มีคนหนุ่มสาวทำตัวสงบนิ่งและพูดอย่างสบายๆ เช่นนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าตนเองได้เลย กระทั่งทำให้มู่หรงอวี๋ตูสงสัยว่า นี่จะเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนเร้นตัวตนที่ไม่สามารถคาดเดาอายุได้หรือไม่? เหมือนกับจางอีเต๋อ?

แน่นอนว่า มู่หรงอวี๋ตูไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนเป็นคนที่ผู้นำสูงสุดส่งมาคุ้มครองเขา นี่เป็นความใส่ใจที่บุคคลระดับสูงของประเทศมีให้กับตระกูลมู่หรง และเป็นท่าทีของพวกเขาที่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก จะอย่างไรคนหลายรุ่นในตระกูลของมู่หรงอวี๋ตูต่างก็ทำเพื่อความสงบและความเป็นปึกแผ่นของประเทศ สร้างผลงานออกมามากมาย ลูกชายทั้งสี่คนก็ตายไปหมดแล้ว การเสียสละเพื่อประเทศชาติและประชาชนเช่นนี้ ควรค่าที่จะทำให้ผู้คนเคารพเลื่อมใส

“แกเป็นใคร?” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยถาม

“เย่เทียนเฉิน!” เย่เทียนเฉินตอบด้วยรอยยิ้ม

“แกก็คือเย่เทียนเฉิน?” มู่หรงอวี๋ตูอดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถามออกมาอย่างแปลกใจ

คนใหญ่คนโตเช่นมู่หรงอวี๋ตูย่อมกุมข่าวสารมากมายของประเทศเอาไว้ในมือ ทุกเรื่องที่เย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่กระทำหลังจากที่กลับมาเมืองหลวงต่างก็มากพอที่จะสั่นสะท้านทั้งโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลัง โดยเฉพาะเรื่องที่กำจัดตระกูลฉินและตระกูลลั่วภายในหนึ่งคืน ทำให้กลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่มากมายอดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน เพราะคิดว่านี่จะเป็นสัญญาณว่าตระกูลเย่ที่ตกต่ำไปแล้วเกือบ 20 ปีจะโผทะยานขึ้นมาเพราะเย่เทียนเฉินอีกครั้งหนึ่งหรือไม่?

“ท่านนายพลมู่หรง เย่เทียนเฉินและผมเป็นคนที่ท่านผู้นำสั่งให้มาคุ้มครองท่านครับ!” เฮยเมี่ยนรีบก้าวออกมาแล้วพูดขึ้น

“ฉันไม่สนว่าแกจะเป็นเย่เทียนเฉินหรือจะเป็นใคร ในเมื่อแกก็พูดก็ต้องกล้ารับ หากว่าพิษของหลานสาวฉันแก้ไม่ได้ จางอีเต๋อและหลานสาวของเขาก็ต้องตาย แกก็ต้องตายด้วย!” มู่หรงอวี๋ตู มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม

“คุณเอาแต่ตั้งเงื่อนไขกับผม ไม่คิดจะฟังเงื่อนไขของผมบ้างหรือไง? หากว่าผมรักษาพิษให้หลานสาวคุณได้ คุณจะให้เธอหมั้นหมายกับผมหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินพูดออกมาด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ

“ไม่มีปัญหา ไม่เพียงแต่ฉันจะให้ซินเอ๋อร์หลานสาวของฉันหมั้นหมายกับแก แต่ยังจะสามารถทำให้ตระกูลเย่ของแกกลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวงได้อีกครั้งหนึ่งด้วย แกคิดว่าไง?” มู่หรงอวี๋ตูเองก็มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้น

หากพูดกันถึงตำแหน่งฐานะ มู่หรงอวี๋ตูย่อมมีความสามารถที่จะทำแบบนี้ เมื่อปีนั้นเขาติดตามท่านผู้นำเดินสู่หนทางการแย่งชิงแผ่นดิน สุดท้ายลูกชายทั้งสี่ก็ต้องสละชีพไปในสนามรบเพื่อประชาชนและเพื่อประเทศชาติ ขอเพียงมู่หรงอวี๋ตูเอ่ยปากกับผู้นำระดับสูงของประเทศ ย่อมไม่มีใครที่ไม่ตอบรับ ทหารผ่านศึกคนหนึ่งย่อมมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและหยิ่งทะนงของเขา

ในตอนนี้ มู่หรงอวี๋ตูพลันรู้สึกชื่นชมเย่เทียนเฉินขึ้นมาแล้ว ต่อให้เขาจะไม่มีความสัมพันธ์กับเย่หย่วนซานแห่งตระกูลเย่ แต่เรื่องของตระกูลเย่ จะมากจะน้อยเขาก็เคยได้ยินมาบ้าง คิดไม่ถึงว่าหลานชายของตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินคนนี้ จะมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว บางทีอาจจะสามารถมีชื่อเสียงโดดเด่นขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นได้

“ผมแค่ล้อเล่นเท่านั้นแหละ ให้ทุกคนถอยออกไปก่อนเถอะครับ เหลือไว้แค่คุณและหลานสาวของคุณก็พอแล้ว ผมต้องการคุยกับปรมาจารย์จางคนนั้นสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม ส่วนจางอีเต๋อในตอนนี้ก็มองเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

มู่หรงอวี๋ตูหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโบกมือให้ทหารถือปืนทั้งหมดถอยออกไป ภายในลานบ้านของตระกูลจางที่ไม่ใหญ่โตนัก เหลือเพียงเย่เทียนเฉิน เฮยเมี่ยน มู่หรงอวี๋ตู มู่หรงซิน จางอีเต๋อ และจางรั่วถง

“หนุ่มน้อย ฉันจะพูดต่อหน้าแกอีกครั้ง ถ้าหากหลานสาวของฉันตาย ไม่ว่าพวกแกคนไหนก็ต้องตายเป็นเพื่อน!” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างเย็นชา

“งั้นคุณก็ไปนั่งดื่มชาอยู่ข้างๆ ก่อน อย่ามารบกวนผม!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่พอใจ

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน เขาก็โกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ไม่ต้องพูดถึงว่าเย่เทียนเฉินเป็นเด็กรุ่นหลังเลย กระทั่งในโลกของการทหาร หรือกระทั่งผู้นำระดับสูงในโลกการเมืองของประเทศ ก็ไม่มีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน

“ได้ ฉันจะรอดูว่าแกจะรักษาพิษให้หลานสาวของฉันยังไง!” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินเดินไปหาจางอีเต๋อโดยไม่พูดอะไรอีก เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินเดินมาทางตน จางอีเต๋อก็ปกป้องหลานสาวเอาไว้ด้านหลังโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันคุ้นเคยอย่างหนึ่ง การผันผวนของพลังพิเศษนี้แข็งแกร่งมาก เด็กหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้ลึกล้ำเกินหยั่ง ต่อให้เป็นเขาก็ไม่สามารถเอาชนะได้ ดังนั้นจึงทำให้จางอีเต๋อระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ

“หมอจาง พวกเราสองคนมาพูดคุยกันหน่อยเป็นไง?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

“คุณคิดจะคุยอะไร? หรือคุณคิดว่าหญ้าสยบกายาจะมีวิธีรักษาจริงๆ?” เขามองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ใช่แล้ว มีทางแก้ ถึงแม้จะยากและอันตรายมาก แต่ก็ต้องลองดูสักครั้ง!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม

“คุณ…” จางอีเต่อมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างประหลาดใจ

“พวกเราไม่มีเวลาให้ยืดเยื้ออีกต่อไปแล้ว มาพูดกันดีๆ เถอะ วางใจได้ ไม่มีใครทำร้ายหลานสาวของคุณหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดขัดคำพูดของจางอีเต๋อ มองไปยังจางรั่วถงที่อยู่ด้านหลังเขาแล้วพูดออกมา

ตอนนี้เอง จางรั่วถงดึงแขนเสื้อของจางอีเต๋อเบาๆ มองไปยังมู่หรงซินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นแบบพิเศษแล้วพูดขึ้นอย่างสงสารว่า “คุณปู่คะ ช่วยเธอเถอะ เธอน่าสงสารมากเลย!”

จางอีเต๋อหันไปมองหลานสาว เขาไม่ต้องการลงมือรักษาพิษของมู่หรงซินจริงๆ และไม่ใช่ว่าเขาไม่มีจิตใจอันเมตตาของคนเป็นหมอ เพียงแต่หากต้องการที่จะรักษาพิษสยบของมู่หรงซินนี้ ยากลำบากเป็นอย่างมาก กระทั่งอาจจะทำให้คนอื่นมีอันตรายถึงชีวิต ในความคิดของจางอีเต๋อ ชีวิตของทุกคนมีค่าเท่ากัน การเสียสละชีวิตของคนคนหนึ่งเพื่อไปช่วยคนอีกคนหนึ่ง ไม่นับว่าเป็นความเมตตาของผู้เป็นหมอ แต่เป็นความโหดร้ายอย่างหนึ่ง

“คุณคิดจะใช้วิธีนี้จริงๆ เหรอ? คุณจะตายเอาได้!” ทันใดนั้นจางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“นอกจากวิธีนี้แล้ว ยังมีวิธีอื่นอีกเหรอครับ? แน่นอนว่าผมมีเงื่อนไข…” เย่เทียนเฉินพูดออกมาด้วยรอยยิ้มบางเบา

“เงื่อนไขอะไร?” จางอีเต๋อเอ่ยปากถา

“ผมจะร่วมมือกับคุณเพื่อรักษาพิษสยบให้มู่หรงซิน ถ้างั้นคุณก็ต้องช่วยผมรักษาคนคนหนึ่ง มีเพียงคุณคนเดียวเท่านั้นที่จะทำได้!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง

“คุณเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะแล้วค่อยมาพูด…”

เย่เทียนเฉินมองจางอีเต๋อครั้งหนึ่ง เขาเชื่อว่าเขาคาดเดาไม่ผิด จางอีเต๋อก็คือเซียนแพทย์เทวะที่เขาตามหา เพราะในตอนที่มู่หรงอวี๋ตูจะลงมือกับจางรั่วถงหลานสาวของเขา จางอีเต๋อกระตุ้นพลังพิเศษอันแข็งแกร่งออกมาจากทั่วทั้งร่าง กระทั่งเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง นี่เป็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษ เป็นยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งที่เก็บซ่อนตัวตน และยังมีวิชาแพทย์สูงส่งอีกด้วย ถ้าไม่ใช่เซียนแพทย์เทวะแล้วจะเป็นใครไปได้?

“พวกเรามาเล่นหมากกันหน่อยเป็นไง ผมเชื่อว่าหลังจากที่วางหมากเสร็จ การเตรียมการทุกอย่างก็จะเรียบร้อยแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองไปยังกระดานหมากล้อมบนโต๊ะหิน จากนั้นจึงมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“รั่วถงไปเตรียมตัวเถอะ จัดเตรียมห้องยาให้เรียบร้อย และต้มน้ำในถังไม้ถังใหญ่ให้เต็มถัง แล้วก็นำกล่องเข็มทองของปู่ออกมาด้วย!” จางอีเต๋อชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงหันไปสั่งหลานสาวที่อยู่ด้านหลัง

จางรั่วถงมองไปยังเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้อง เริ่มต้มน้ำร้อนตามคำสั่งของคุณปู่จางอีเต๋อ จัดเตรียมห้องยา ในขณะเดียวกันก็นำกล่องใส่เข็มทองออกมา

เย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อนั่งลงบนโต๊ะหิน ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน มู่หรงอวี๋ตูและเฮยเมี่ยนยืนอยู่ด้านข้าง มองคนทั้งสองวางหมากกัน ไม่กล่าวไม่ได้ว่ามู่หรงอวี๋ตูเป็นคนที่ไม่อาจดูเบาได้จริงๆ เพียงไม่นานก็สามารถสงบสติอารมณ์ของตนได้ ไม่บุ่มบ่ามอีก เขารู้ว่าตอนนี้ตัวเลือกเดียวของเขาก็คือเชื่อใจเย่เทียนเฉินว่าเขาจะสามารถช่วยหลานสาวของตนได้

หมากดำ หมากขาว เกมหมากล้อมเริ่มขึ้นแล้ว จางอีเต๋อเริ่มวางหมากก่อน จนกระทั่งถึงตาเย่เทียนเฉินวางหมาก ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน พูดกับจางอีเต๋อด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนจะลืมไปเรื่องหนึ่ง รอแป๊บ!”

พูดจบ เย่เทียนเฉินก็ไปจากที่นั่ง เดินไปยังมู่หรงซินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น นี่เป็นผู้หญิงที่มีลักษณะที่ดีคนหนึ่ง เป็นหญิงงามดั่งดอกไม้บาน แต่ตอนนี้กลับมีใบหน้าซีดขาว ลมหายใจรวยระริน ไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะปวดใจ เย่เทียนเฉินเดินไปเบื้องหน้ามู่หรงซิน ย่อตัวลงนั่งแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เธอกลัวตายหรือเปล่า?”

“ไม่กลัว!” มู่หรงซินลืมตาอย่างอ่อนล้า มองไปยังเย่เทียนเฉิน ต่อให้ชายที่อยู่ตรงข้ามจะดูแปลกหน้า แต่กลับให้ความรู้สึกปลอดภัย เป็นความปลอดภัยที่ออกมาจากใจ

“ในเมื่อเธอไม่กลัวตาย งั้นก็ตายให้เร็วหน่อยจะได้ไม่ต้องเจ็บปวด!”

ในขณะที่พูด เย่เทียนเฉินก็ใช้ฝ่ามือตบลงไปที่หน้าอกของมู่หรงซินเบาๆ ไม่นานมู่หรงซินก็หลับตาลง มุมปากมีเลือดสีดำไหลออกมา มู่หรงอวี๋ตู เฮยเมี่ยน และจางอีเต๋อ ทั้งสามคนได้เห็นดังนั้นต่างพากันตกตะลึง

“แก…” มู่หรงอวี๋ตูคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเย่เทียนเฉินพูดขัด

“ในเมื่อคุณเชื่อใจผม ก็อย่าพูดอะไร รอให้หลานสาวของคุณตายไปจริงๆ ก่อนค่อยมาคิดบัญชีกับผมก็ไม่สาย!” เย่เทียนเฉินพูดกับมู่หรงอวี๋ตูด้วยรอยยิ้ม

เย่เทียนเฉินกลับไปนั่งตรงข้ามจางอีเต๋ออีกครั้ง ไม่ได้พูดอะไรกับจางอีเต๋อในทันที แต่วางหมากลงไปก่อน ห้านาทีผ่านไป จางอีเต๋อก็แพ้หมากกระดานนี้แล้ว โดยที่เย่เทียนเฉินใช้กลหมากฆ่าตัวตาย ยอมละทิ้งหมากตายเพื่อชัยชนะ ทำให้จางอีเต๋อตกตะลึง มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างไม่คาดคิด

“คุณถึงกับจะใช้วิธีนี้เลยเหรอ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง? นั่นไม่ใช่การวางหมาก แต่เป็นพิษสยบ เป็นพิษสยบที่เกือบจะไม่มีวิธีแก้!” จางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถาม

“ผมเชื่อว่าด้วยวิชาแพทย์ของผู้อาวุโสอย่างคุณคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก และด้วยการร่วมมือกันอย่างแข็งแกร่งของพวกเราสองคน พิษสยบก็จะถูกแก้ไขได้!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วยิ้มอย่างเชื่อมั่นในตัวเอง

“คนหนุ่มที่เชื่อมั่นในตนเองและแข็งแกร่งเหมือนเธอ บนโลกนี้มีไม่มากเลยจริงๆ !” จางอีเต๋อพูดอย่างแฝงนัยยะบางอย่าง

“เซียนแพทย์เทวะ ผมคิดว่าคุณคงไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของคุณออกมาแน่ คุณกับผมเป็นคนประเภทเดียวกัน เชื่อว่าคุณก็คงเข้าใจ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดอย่างจริงจัง

“คุณ…คุณเป็น…จริงๆ ด้วย ฮ่าๆๆๆ ประเทศจีนมีคนที่แข็งแกร่งแบบคุณ และยังอายุน้อยเพียงเท่านี้ เชื่อว่าคุณคงไม่ตายเร็วหรอก ยังมีเรื่องอีกมากมายหลายอย่างที่รอให้คุณไปทำ!” ทันใดนั้นจางอีเต๋อหัวเราะออกมาแล้วพูดขึ้น

มู่หรงอวี๋ตูและเฮยเมี่ยนที่อยู่บริเวณนั้น ไม่เข้าใจบทสนทนาของเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อ แต่พวกเขาสองคนดูเหมือนจะพูดคุยกันอย่างมีความสุขมาก และในการสนทนาก็ทำให้เกิดความเห็นบางอย่างที่ตรงกัน

คนผู้หนึ่งคือผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าซึ่งมาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลก อีกคนหนึ่งคือผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาที่หาได้ยากแม้กระทั่งในช่วงยุคสิ้นโลก ทั้งสองต่างก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จะสามารถรักษาพิษสยบที่เดิมทีมีเพียงเส้นทางแห่งความตายเพียงทางเดียวได้หรือไม่?

……………………………