บทที่ 209 รักษาด้วยเข็มเงิน

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

“งั้นก็ดี คำไหนคำนั้น ผมจะร่วมมือกับคุณเพื่อรักษาพิษสยบให้มู่หรงซิน คุณก็ช่วยผมรักษาคนคนหนึ่ง และนับว่าได้ตอบแทนที่ผมช่วยชีวิตของพวกคุณสองปู่หลาน ไม่ติดค้างกัน!” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ได้ ไม่ติดค้างกัน ถ้างั้นผมก็จะตอบรับคุณ ถ้าหากว่าคุณตาย ผมก็ยังจะช่วยผู้ป่วยที่คุณพูดถึงคนนั้นด้วย!” จางอีเต๋อพยักหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“ดี!”

ครึ่งชั่วโมงต่อมา จางรั่วถงเดินออกมาจากห้องยา มองไปยังเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง แล้วจึงหันไปพูดกับจางอีเต๋อ “คุณปู่ เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่ะ!”

จางอีเต๋อพยักหน้า จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน มองไปยังมู่หรงอวี๋ตูแล้วพูดว่า “ตอนนี้ผมต้องการให้ทหารของคุณไปทำเรื่องเรื่องหนึ่ง!”

“เชิญกล่าวมาเถอะ!” มู่หรงอวี๋ตูรู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ เขาจึงเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมา

ในตอนแรกเริ่มนั้น มู่หรงอวี๋ตูไม่ค่อยเชื่อใจเย่เทียนเฉินมากนัก ตอนที่เย่เทียนเฉินใช้ฝ่ามือตบมู่หรงซินหลานสาวของเขาไปครั้งหนึ่งจนทำให้เธอกระอักเลือดออกมา เขาก็มีความคิดที่จะลั่นไกฆ่าเย่เทียนเฉินแล้ว แต่สุดท้ายมู่หรงอวี๋ตูก็อดทนเอาไว้ เพราะความจริงแล้วเขาก็ไม่มีหนทางอื่นที่จะรักษาพิษสยบให้หลานสาวของเขาได้ ด้วยความสามารถของมู่หรงอวี๋ตู แพทย์เฉพาะทางที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดภายในประเทศได้มาตรวจวินิจฉัยให้มู่หรงซินก่อนหน้านี้นานแล้ว ยาที่ดีที่สุดก็ใช้ไปแล้ว แต่ยังไม่มีทางรักษาพิษสยบของมู่หรงซินได้

ในตอนที่อับจนหนทาง มู่หรงอวี๋ตูก็คิดถึงข่าวลือเมื่อปีนั้น ว่ากันว่ามีหมอเทวดาคนหนึ่งสามารถยืดชีวิตให้ท่านผู้นำได้ 20 ปี ต่อให้ในสายตาของใครหลายคน นี่จะเป็นเพียงแค่ข่าวลือ เป็นแค่ข่าวลือที่ไม่กล้าเชื่อและไม่อาจเชื่อ แต่มู่หรงอวี๋ตูก็มีเพียงตัวเลือกเดียว จึงเคลื่อนไหวอำนาจอิทธิพลทั้งหมดของตระกูลมู่หรงของตน ตามหามาหลายปี ในที่สุดก็หาสถานที่ที่จางอีเต๋อซ่อนตัวอยู่พบ จึงรีบพามู่หรงซินหลานสาวของตนมา ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็จะต้องช่วยหลานสาวของตนให้ได้

ตอนนี้ เมื่อได้เห็นเย่เทียนเฉินวางหมากกับจางอีเต๋ออย่างใจเย็น การวางหมากแต่ละตาก็ทำให้ผู้คนต้องทอดถอนใจอย่างตื่นตะลึง อดไม่ได้ที่จะทำให้มู่หรงอวี๋ตูเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเย่เทียนเฉิน คนหนุ่มคนนี้นำพาความประหลาดใจมาให้ทหารที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชนแบบเขามากมายเหลือเกิน และเกรงว่าคงจะไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเท่านี้

“ให้ลูกน้องของคุณ ล้อมบ้านตระกูลจางของผมเอาไว้ในขอบเขต 100 เมตร ไม่ว่าจะอย่างไรก็อย่าให้ใครเข้ามารบกวนพวกเราได้ ถ้าหากเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้น กระทั่งเทวดาก็ช่วยหลานสาวของคุณไม่ได้แล้ว!” จางอีเต๋อมองไปยังมู่หรงอวี๋ตูแล้วพูดขึ้น

“ได้ เฮยเมี่ยน รีบไปสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำตามคำพูดของปรมาจารย์จาง!” มู่หรงอวี๋ตูสั่ง

“ขอรับ!” เฮยเมี่ยนหมุนตัวออกไปกระจายคำสั่ง

เย่เทียนเฉินมองไปยังมู่หรงซินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นแบบพิเศษ เดินไปเบื้องหน้าเธอ แล้วอุ้มมู่หรงซินขึ้นมา จากนั้นจึงพูดกับมู่หรงอวี๋ตูว่า “ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไร หรือเห็นอะไร ก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาเด็ดขาด ถ้ารักษาพิษให้หลานสาวของคุณเสร็จแล้ว พวกเราจะส่งเธอออกมาเอง!”

“อืม!” มู่หรงอวี๋ตูพยักหน้า

จางอีเต๋อและเย่เทียนเฉินที่อุ้มมู่หรงซินเดินเข้าไปในห้องยาด้วยกัน มู่หรงอวี๋ตูทำได้เพียงนั่งลง เขาในตอนนี้รู้สึกว่าตนเองแก่ชราลงไปมาก เพื่อที่จะแก้พิษสยบให้มู่หรงซินผู้เป็นหลาน เขาจึงเป็นห่วงเป็นกังวลมาก ในฐานะที่เป็นชายชราที่เป็นไม้ใกล้ฝั่ง เป็นทหารผ่านศึกที่ผ่านสงครามมานานหลายปี เขายอมรับการตายของบุตรชายทั้งสี่ได้ แต่ไม่สามารถเห็นเลือดเนื้อคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของตระกูลมู่หรงเสียชีวิตไปได้

เย่เทียนเฉินอุ้มมู่หรงซินเข้าไปในห้องยา จางอีเต๋อเดินตามไปด้านหลัง และยังมีจางรั่วถงที่เดินเข้าไปด้วยกัน เมื่อเห็นท่าทางเป็นกังวลของจางรั่วถงและจางอีเต๋อ เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม แล้วพูดหยอกล้อขึ้นมาว่า

“ในห้องยานี้ร้อนมากจริงๆ ถอดเสื้อผ้าออกดีไหม?”

“ในช่วงเวลาเป็นตายคุณยังจะสบายอารมณ์ได้อีก ดูเบาไม่ได้เลยจริงๆ!” จางอีเต๋อเดินไปด้านข้าง หยิบกล่องสีทองออกมาแล้วเปิดออก ด้านในเต็มไปด้วยเข็มทองเปล่งประกาย ทั้งหมดล้วนทำมาจากทองแท้

ในตอนที่เห็นจางอีเต๋อเปิดกล่องสีเหลืองแล้วพบว่าด้านในมีเข็มทองที่ทำจากทองบริสุทธิ์นั้น เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เข็มทองนี้ไม่ว่าจะเป็นด้านมูลค่าหรือด้านฝีมือ ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่สามารถทำออกมาได้อย่างแน่นอน ก็เหมือนกับเสื้อผ้าที่ปักเย็บจากด้ายทองคำ องค์ความรู้ของคนโบราณ บางครั้งก็วิจิตรพิสดารจริงๆ ทำให้คนรุ่นหลังรู้สึกว่าฝีมือห่างไกลกันมาก

“ฝังเข็มที่จุดลมปราณด้วยเข็มทอง คุณจะใช้วิธีนี้เหรอครับ?” เย่เทียนเฉินมองจางอีเต๋อแล้วถามขึ้น

“คุณรู้จักเรื่องเหล่านี้ได้ยังไง? ด้วยอายุของคุณ ต้องไม่รู้เรื่องโบราณเก่าแก่อะไรถึงจะถูก!” จางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วถามด้วยความสงสัย

ความจริงแล้ว ในตอนที่จางอีเต๋อเห็นเย่เทียนเฉิน ในใจก็เกิดความสงสัยและความตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษ เป็นผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถทางการรักษาอันแข็งแกร่งคนหนึ่ง ปิดซ่อนตัวตนจากโลกมาหลายปี และไม่คิดอยากจะไปข้องเกี่ยวกับการชิงดีชิงเด่นอีก ยิ่งไปกว่านั้นในโลกแห่งนี้ ผู้คนรู้จักและเข้าใจผู้มีพลังพิเศษน้อยมาก แต่เมื่อเห็นเย่เทียนเฉิน ถึงแม้เขาจะซ่อนกลิ่นอายพลังพิเศษอันแข็งแกร่งของตนอยู่ แต่จางอีเต๋อยังคงสามารถสัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ลึกล้ำเกินคาดเดา

“คุณกับผมก็เป็นผู้มีพลังพิเศษเหมือนกัน แล้วคุณก็ยังเป็นเซียนแพทย์เทวะ เป็นผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถทางด้านการรักษา คิดว่าคุณเองก็คงจะเข้าใจ มีหลายเรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปไม่รู้ แต่ว่าผมเป็นผู้มีพลังพิเศษเหมือนกัน จะรู้ถึงความลึกลับบางอย่างก็ไม่มีอะไรน่าแปลกมั้งครับ?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เย่เทียนเฉินรู้ว่าต่อหน้าจางอีเต๋อ หากต้องการที่จะปิดบังฐานะผู้มีพลังพิเศษของตัวเองคงไม่สามารถกระทำได้ เพราะต่อให้ปิดซ่อนไปตอนนี้ อีกสักครู่ที่ต้องรักษาพิษสยบให้มู่หรงซิน ก็ยังต้องเปิดเผยออกมาอยู่ดี ส่วนเรื่องที่ตนเองเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าที่กลับชาติมาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลกนั้น แน่นอนว่าไม่อาจบอกจางอีเต๋อได้ เพราะหากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาเลย ต่อให้เป็นจางอีเต๋อที่เป็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษเช่นเดียวกัน ก็เกรงว่าจะไม่เชื่อ

“ในเมื่อคุณรู้จักวิธีการฝังเข็มทองที่จุดลมปราณ งั้นก็ต้องรู้ว่าพวกเราจะช่วยแก้พิษให้มู่หรงซินได้ยังไงใช่ไหม? คุณจะใช้หยางควบคุมหยินเพื่อบีบบังคับให้หญ้าสยบกายาในร่างกายของเธอออกมาจริงๆ เหรอ?” จางอีเต๋อเอ่ยปากถามอย่างกังวล

“นอกจากวิธีนี้แล้ว ยังมีวิธีอื่นที่สามารถแก้พิษสยบให้มู่หรงซินได้อีกเหรอ? หญ้าสยบกายากระตุ้นหยินจนเกิดความเย็น มีเพียงใช้หยางถึงจะบีบบังคับมันออกมาได้ มิฉะนั้นก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้น

“แต่ว่าแบบนั้นคุณอาจจะตายได้ ต่อให้คุณจะมีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งก็อาจจะตาย ในตอนที่หญ้าสยบกายาไม่มีร่างแฝงที่แน่นอน จะไม่ยอมสลัดออกไปจากร่างแฝงดั้งเดิมโดยเด็ดขาด เมื่อหญ้าสยบกายาที่ทำให้หยินเพิ่มจนเกิดความเย็นนี้เข้าไปในร่างกายของคุณ คุณก็จะถูกมันดูดกลืนเลือดจนกลายเป็นศพแห้ง!” จางอีเต๋อขมวดคิ้วแล้วกล่าวขึ้น

จางอีเต๋อไม่ได้เจตนาพูดให้ตื่นตกใจ และไม่ได้กำลังพูดเกินจริง แต่เป็นแบบนี้จริงๆ หญ้าสยบกายาเอาแต่ใจเป็นอย่างมาก เดิมทีคนที่ถูกพิษสยบนี้ทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น ถ้าหากคิดที่จะแก้พิษ นอกจากใช้ชีวิตแลกชีวิตแล้วก็ไม่มีวิธีอื่นอีก พูดอย่างชัดเจนก็คือ ต้องให้คนคนหนึ่งใช้ร่างกายของตัวเองดูดหญ้าสยบกายาออกมาไว้ในร่างกายของตน เพื่อที่จะแก้พิษให้คนอื่น ตัวเองจะต้องถูกพิษแทน นี่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนในการกำจัดหญ้าสยบกายา

และนี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมในตอนที่จางอีเต๋อเห็นมู่หรงซิน ต่อให้มู่หรงอวี๋ตูจะจ่อปืนที่ศีรษะของเขา ก็ไม่ยินยอมที่จะแก้พิษให้มู่หรงซิน หมอที่ต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริงจะมองว่าทุกชีวิตเท่าเทียมกัน หากจะต้องใช้ชีวิตของคนคนหนึ่งมาช่วยชีวิตของมู่หรงซินจริงๆ จางอีเต๋อทำไม่ลง เขาเดินอยู่บนเส้นทางการแพทย์มาหลายปี มีวิชาแพทย์ลึกล้ำ รวมกับที่เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาที่แข็งแกร่ง สามารถกล่าวได้ว่าบนโลกนี้ไม่มีอาการป่วยใดที่เขารักษาไม่ได้ แต่หากต้องทำร้ายชีวิตของคนอื่น เพื่อช่วยเหลือชีวิตของคนอีกคนหนึ่ง จางอีเต๋อทำไม่ลงจริงๆ

ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเย่เทียนเฉินถึงรู้วิธีแก้พิษหญ้าสยบกายานั้น เนื่องจากในช่วงยุคสิ้นโลก เขามีฐานะเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ต่อให้ไม่นับว่าเป็นยอดฝีมือขั้นสูงสุด แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้ความลับต่างๆ มากมาย ในช่วงยุคสิ้นโลกซึ่งเป็นโลกที่มีความแปลกประหลาดทุกอย่าง คล้ายกับโลกที่ย้อนกลับไปในยุคของเทพนิยาย เต็มไปด้วยความลึกลับที่ไม่สามารถเข้าใจได้ ไม่เพียงแต่มีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่ง ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ มนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์กลายพันธุ์ อีกทั้งยังมีคนประหลาดที่รู้จักวิชาโบราณต่างๆ “สยบ” นั้นเป็นหนึ่งในวิชาโบราณเหล่านั้น เป็นคำสาปไร้รูปลักษณ์ สามารถฆ่าคนได้โดยที่อยู่ห่างไกลเป็นพันลี้

เมื่อปีนั้นเย่เทียนเฉินหาวัตถุดิบที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเพื่อนำมาหลอมอาวุธเทวะให้ตนเองจนพบ เขาได้ออกเดินทางไปยังสถานที่ต้องห้ามมากมาย ที่นั่นเขาพบกับหินจารึกแผ่นหนึ่ง บนหินจารึกมีตัวอักษรโบราณสลักอยู่แถวหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะบันทึกเกี่ยวกับหญ้าสยบกายาเอาไว้

“ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง หากว่ารักษาพิษสยบให้มู่หรงซินไม่ได้ คุณกับหลานสาวของคุณก็ต้องตาย บางทีคุณอาจจะแข็งแกร่งจนสามารถฆ่าเปิดทางหนีออกไปได้ แต่หลานสาวของคุณไปด้วยไม่ไหวแน่นอน ดังนั้นผมจึงต้องการช่วยคุณและหลานสาว แน่นอนว่าผมเองก็มีเงื่อนไข หลังจากที่รักษาพิษสยบให้มู่หรงซินแล้ว คุณจะต้องไปรักษาผู้ป่วยคนนึงให้ผมฟรีๆ!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม

“ได้ งั้นคุณเข้าไปกับผมก่อน ผมจะเปิดจุดลมปราณในร่างกายของคุณ เพื่อป้องกันไม่ให้หญ้าสยบกายาเข้าไปในร่างและดูดเลือดของคุณจนแห้งเหือดในทันที!” จางอีเต๋อคิดครู่หนึ่ง มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินวางมู่หรงซินลง จางรั่วถงรีบเข้ามาประคองมู่หรงซิน จางอีเต๋อพูดกับจางรั่วถงว่า “ถอดเสื้อผ้าของเธอออกให้หมด นำเธอลงไปในถังไม้ และแขวนผ้าม่านไว้ตรงข้ามถังไม้ด้วย!”

“เข้าใจแล้วค่ะคุณปู่!” จางรั่วถงพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

จนกระทั่งเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อเดินออกมาจากห้องเล็กๆ ที่อยู่ติดกัน มู่หรงซินก็ถูกขอเสื้อผ้าออกจนเปลือยเปล่า นั่งอยู่ในถังน้ำอันใหญ่ สีหน้ายังคงซีดขาวมากเช่นเดิม ลมหายใจยังคงรวยระริน จางรั่วถงยืนเฝ้าอยู่ด้านข้าง คอยเติมน้ำร้อนในถังไม้ไม่หยุดหย่อน

“ถอดเสื้อผ้าของคุณออกให้หมดด้วย เข้าไปนั่งหันหน้าให้มู่หรงซินในถังไม้ กอดเธอเอาไว้ ปากชนปาก!” จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง

“อะไรนะ? ผมต้องเปลือยอยู่กับมู่หรงซิน แล้วยังต้องเอาปากชนปากด้วย? นี่…ไม่จริงมั้ง ผมเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่ชอบฉวยโอกาส!” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้นอย่างตื่นตะลึง

“ไม่ทำแบบนี้ก็แก้พิษของหญ้าสยบกายาไม่ได้ ในเมื่อคุณรู้จักหญ้าสยบกายา ก็ต้องเข้าใจว่ามีเพียงวิธีนี้ถึงจะสามารถนำหญ้าสยบกายาออกมาได้ใช่ไหม?”

จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์ คิดว่าคนคนนี้จงใจเสแสร้ง สาวสวยคนหนึ่ง นั่งหันหน้าเข้าหาคุณด้วยร่างกายเปลือยเปล่า แล้วยังให้คุณกอดเธอเอาไว้และจูบเธอ ผู้ชายคนไหนบ้างที่จะไม่ตื่นเต้น? เด็กน้อยอย่างคุณยังจะมาเสแสร้งทำไมอีก?

……………………………..