บทที่ 204 เช่นนั้นก็รบกันเถิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ในที่สุดฝนในฤดูใบไม้ผลิที่หาได้ยากยิ่งก็หยุดตกแล้ว ทว่าพายุบ้าคลั่งที่แท้จริงในดินแดนปาสู่เพิ่งจะเริ่มต้น

หัวหน้าหมอขูดเนื้อเน่าบนบาดแผลของจี๋อวี่เพื่อพันแผลใหม่ ทว่าไข้สูงยังคงไม่ลด หลังจากซ่งชูอีเสร็จจากงานแล้วก็มาเฝ้าเขาที่ข้างเตียงทุกวัน

เพราะว่ามิได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ติดต่อกันหกวัน รูปร่างของซ่งชูอีที่ผอมบางอยู่แล้วยิ่งเหมือนกับข้อต่อไม้ไผ่เข้าไปทุกที ครั้นสายลมพัดเสื้อคลุมแขนกว้างจนปลิว นางก็เหมือนกับจะถูกลมพัดไปด้วย

เคราะห์ดีที่อาการของจี๋อวี่ค่อยๆ ดีขึ้น เวลาที่ตื่นนอนก็ยาวนานขึ้น ในที่สุดซ่งชูอีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

เพียงระยะเวลาไม่กี่วัน ความโกลาหลในปาสู่ก็เกินกว่าจะยับยั้ง

เดิมทีสู่อ๋องต้องการจะโจมตีรัฐปา โดยมากก็เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อย่างไรก็ตามความขัดแย้งภายในรัฐปายังไม่มั่นคง รัฐสู่สั่งกองกำลังและแทบจะรุดไปยังหลางจงภายในลมหายใจเดียว

นี่เป็นชัยชนะที่ไม่เคยมีมาก่อนในการเผชิญหน้าระหว่างปาสู่ ด้วยเหตุนี้ทั่วทั้งรัฐสู่จึงชื่นชมยินดี มุ่งมั่นที่จะทำลายรัฐปาภายในอึดแรงเดียว บัดนี้จึงละทิ้งการกดดันรัฐจูชั่วคราวและมุ่งเน้นกำลังทั้งหมดไปที่การทำลายรัฐปา

ตราบใดที่สามารถโค่นรัฐปาได้ รัฐจูก็เป็นเรื่องขี้ประติ๋ว!

แม้ว่ารัฐจูจะเป็นเพียงรัฐเล็กๆ ที่ขึ้นอยู่กับรัฐสู่แต่ก็ครอบครองพื้นที่ฮั่นจงที่อุดมสมบูรณ์และเจริญรุ่งเรืองที่สุด อีกทั้งไม่สามารถดูถูกความแข็งแกร่งของรัฐได้เลย หากไม่ใช่เพราะโจมจีไม่ได้เสียที รัฐสู่ก็คงไม่ปล่อยให้มันรกหูรกตาอยู่ตรงนั้นเรื่อยมา ในที่สุดรัฐจูก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อรัฐสู่โจมตีรัฐปา ทว่าจูโหวกลับเฝ้ามองสถานการณ์การสู้รบอย่างไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา ทันทีที่ได้ยินว่ากองทัพสู่บุกเข้าหลางจงแล้วก็รู้สึกตื่นตระหนก หากรัฐปาถูกโค่นจริงๆ รัฐจูก็ไม่มีความหวังใดๆ ที่จะอยู่รอดแล้ว! สถานการณ์การเผชิญหน้าระหว่างสามรัฐนี้ไม่อาจแตกหักได้!

ในเวลานี้ราชทูตที่ท่านมหาเสนาบดีแห่งรัฐปาส่งมาได้มาถึงรัฐจูแล้วเพื่อขอให้ต่อต้านศัตรูที่มีอำนาจด้วยกัน หลังจากพินิจพิจารณาอยู่หลายครั้ง จูโหวก็ส่งกองกำลังและแทงข้างหลังรัฐสู่ทันที

การเคลื่อนไหวนี้ทำให้สู่อ๋องบันดาลโทสะโดยสมบูรณ์

สามรัฐสู้รบกันเสมือนไฟที่โหมไหม้ ความสัมพันธ์คลุมเครือ เหตุผลของสงครามก็ถูกลืมไปนานแล้ว!

กองกำลังแห่งรัฐจูอ่อนแอกว่ารัฐสู่เล็กน้อย หลังจากความชุลมุนสองเดือนติดต่อกัน ความเสื่อมถอยก็เห็นได้ชัดเจนยิ่ง ทว่าบัดนี้รัฐปาที่มีความสัมพันธ์อันดีเสมอมากลับมัวแต่ยุ่งกับการดูแลตัวเอง ไม่เคยยื่นมือออกมาช่วยเหลือเลย

จูโหวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอความช่วยเหลือจากภายนอก รัฐที่อยู่ใกล้ที่สุดจากพวกเขาก็คือรัฐฉิน ดังนั้นกลางเดือนห้า รัฐจูจึงส่งราชทูตพร้อมกับทรัพย์สินเงินทองจำนวนสิบเกวียนมุ่งตรงไปยังรัฐฉินด้วยความรวดเร็วเพื่อขอความช่วยเหลือแล้ว

บัดนี้กองกำลังของรัฐปามีอุปสรรคนานับประการ อีกทั้งยังถูกรบกวนจากเหล่าจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งรัฐจึงตกอยู่ในสภาวะล่อแหลม ปาอ๋องก็ได้รับแรงกระตุ้นจากจูโหวและคิดที่จะขอความช่วยเหลือจากภายนอก บัดนี้มิต้องกล่าวถึงรัฐในซานตงเลย เพราะน้ำที่อยู่ไกลยากที่จะดับความกระหายในระยะใกล้ รัฐที่อยู่ใกล้ที่สุดก็มีแต่รัฐฉู่ รัฐเว่ยและรัฐฉิน

สัตว์ประหลาดขนาดมหึมาเช่นรัฐฉู่จ้องรัฐปาเหมือนเสือที่พร้อมจะตระครุบเหยื่ออยู่ตลอดเวลา มีเจตนาที่จะผนวกดินแดนอยู่แล้ว การต่อสู้ไม่เคยหยุดนิ่งเป็นเวลาหลายร้อยปี ก่อนหน้านี้ไม่นานก็ยังโดนหมาป่าอย่างพวกเขากัดเข้าให้ ดังนั้นปาอ๋องจึงตัดรัฐฉู่ออกไปโดยไม่คิด

ส่วนรัฐเว่ยนั้น เว่ยอ๋องเป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยาน ยิ่งไปกว่านั้นรัฐเว่ยได้ย้ายนครหลวงจากอันอี้ไปยังต้าเหลียงซึ่งอยู่ห่างออกไปเป็นระยะทางยาว หากรอกองทหารเดินทางไปกลับไม่แน่ว่าสู่อ๋องอาจตีหลางจงแตกแล้วก็ได้!

ในทางตรงกันข้ามรัฐฉินมักจะถูกบรรดารัฐในซานตงมองว่าป่าเถื่อน ยิ่งไปกว่านั้นหลายทศวรรษที่ผ่านมาก็ยังถูกรัฐเว่ยทำลายจนแทบไม่มีแรงที่จะต่อสู้กลับ มีเพียงการดิ้นรนเพื่อให้ดีขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมา หากจะขอความช่วยเหลือจากภายนอก รัฐฉินดูจะเหมาะสมที่สุดแล้ว!

ดินแดนปาสู่มีความเสี่ยงทางธรรมชาติมากมาย ดังนั้นจึงมิได้สร้างป้อมปราการสูงใหญ่เช่นเดียวกับนครในจงหยวน คนนอกไม่สามารถทำอะไรกับอันตรายจากธรรมชาติเหล่านี้ได้ ทว่าสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศของรัฐปาและรัฐสู่แทบจะเหมือนกัน ดูจากความเร็วเช่นนี้แล้ว หลางจงจะต้องถูกยึดครองภายในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนแน่ ปาอ๋องทนคิดมากไม่ได้แล้ว จึงรีบคุ้มกันผู้ส่งสารออกจากที่ปิดล้อมทันทีและรีบไปยังรัฐฉินเพื่อขอความช่วยเหลือ

ทันทีที่สู่อ๋องเห็นว่าทั้งสองรัฐต่างไปขอความช่วยเหลือจากรัฐฉิน ในใจก็คิดว่าหากรัฐฉินละโมบในของกำนัลจากสองรัฐแล้วส่งทหารออกมาช่วยจริงๆ ล่ะก็…เกรงว่าแม้แต่กองกำลังสามหมื่นก็จะไม่รอด! ที่จริงหากไม่ใช่เพราะความไม่สงบภายในของรัฐปา รัฐสู่ก็ไม่มีกำลังที่จะสู้กันสองต่อหนึ่ง แม้ว่าตอนนี้ดูเหมือนถือไพ่เหนือกว่า แต่แท้จริงแล้วบัดนี้กองกำลังค่อยๆ อ่อนแอลง ในขณะนี้กองทัพกำลังประจำการอยู่ห่างจากหลางจงสิบลี้ ขอเพียงมีกำลังเข้ามาสมทบอีกส่วนหนึ่งก็จะสามารถตีหลางจงแตกได้ แม้ว่าสู่อ๋องมักจะไม่มีความทะเยอทะยานก็ไม่สามารถต้านทานความยั่วยวนนี้ได้

สู่อ๋องคิดว่าฉินสู่เพิ่งจะสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าได้ไม่นาน นับว่ามีความสัมพันธ์ทางการทูตอยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงส่งราชทูตพร้อมทรัพย์สินเงินทองจำนวนยี่สิบเกวียนไปขอความช่วยเหลือ นอกจากนี้เขายังสัญญาว่าจะส่งเครื่องบรรณาการให้ฉินทุกปีหลังจากที่พวกเขาได้รวมตัวกับรัฐปาแล้ว

ในพระราชวังเสียนหยางแห่งรัฐฉิน

อิ๋งซื่อต้อนรับราชทูตรัฐสู่ในพระตำหนักอย่างลับๆ

“การตอบแทนของสู่อ๋องนั้นช่างมีน้ำใจเหลือเกิน” อิ๋งซื่อยิ้มเยาะอยู่ในใจ เครื่องบรรณาการรึ? หากรัฐสู่ผนวกกับรัฐปาได้ แล้วไม่คิดรุกรากรัฐฉินก็นับว่ามีคุณธรรมมากแล้ว!

ครั้นราชทูตรัฐสู่ได้ยินคำพูดของเขาแล้ว สีหน้าปิติ “ความหมายของฉินกงก็คือ…”

“ฝ่าบาท เค่อชิงมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหน้าประตูกล่าวรายงาน

“เชิญเขาเข้ามา” อิ๋งซื่อกล่าว

ประตูห้องเปิดออก จางอี๋เดินเข้ามาในชุดคลุมแขนกว้างสีเทาอมเขียว “ถวายบังคมฝ่าบาท”

“อืม” อิ๋งซื่อผลักหนังสือเทียบไปข้างหน้า “จางจื่อมีความเห็นเยี่ยงไร?”

ขันทีรีบรับหนังสือเทียบส่งไปให้จางอี๋

จางอี๋คลี่หนังสือเทียบ อ่านอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ประสานมือเอ่ย “ฉินและสู่มีมิตรภาพทางการค้า ในเมื่อสู่อ๋องมีคำขอก็ควรส่งทหารไปช่วย!” พูดจบก็เอ่ยอย่างโกรธเคือง “กระหม่อมไปเป็นราชทูตที่รัฐสู่คราวก่อน เจอกับรัฐปาลอบสังหารระหว่างทาง ดูแคลนต้าฉินของข้าเพียงนี้ หากแค้นนี้ไม่ชำระต้าฉินจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด!”

ราชทูตเป็นตัวแทนของบ้านเมือง แน่นอนว่าการสกัดฆ่าของรัฐปามิใช่เรื่องเล็ก

จางอี๋เคยเป็นราชทูตที่รัฐสู่สองครั้ง ราชทูตสู่ผู้นี้จำเขาได้ ครั้นได้ยินจางอี๋กล่าวหาว่ารัฐปาเป็นคนน่ารังเกียจก็อดที่จะดีใจมิได้

“ถูกต้อง” อิ๋งซื่อมองไปยังราชทูตรัฐสู่ เอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าสู่อ๋องต้องการยืมกองกำลังเท่าใด?”

ราชทูตรัฐสู่ตอบ “แปดหมื่นพ่ะย่ะค่ะ”

แปดหมื่นไม่น้อยเลยทีเดียว! สู่อ๋องก็กลัวว่าหากยืมมากไปจะถูกกองทัพฉินควบคุม ทว่าครุ่นคิดดูแล้วกองทัพฉินก็ไม่รู้จักถนนหนทางในรัฐสู่ หากไม่มีการนำทางโดยกองทัพสู่ ต่อให้กองทัพมีมากเพียงใดก็เหมือนกับแมลงวันไร้หัว ไม่สามารถคุมสถานการณ์อะไรได้ ดังนั้นจึงบังอาจเอ่ยปากขอ

จางอี๋ตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ท่านราชทูตน่าจะทราบดีกว่ากองทัพข้าเพิ่งจะรบกับรัฐเว่ยอย่างดุเดือด แม้ได้รับชัยชนะทว่าก็สูญเสียความแข็งแกร่งไปมากจริงๆ ทหารแปดหมื่นนายนั้นมากเกินไปแล้ว”

ครั้นรัฐสู่ได้ยินดังนี้ ก็รู้สึกว่ารัฐฉินมิได้มีเจตนาร้ายใดๆ จึงกล่าวว่า “แม้นกระหม่อมจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ปิดทว่าก็ได้ยินมาว่า ฉินเว่ยต่อสู้กันในช่วงหลัง รัฐฉินสังหารทหารเว่ยไปแปดหมื่นนาย รัฐเว่ยสูญเสียความแข็งแกร่งไปมาก ไม่กล้ารุกรานไประยะเวลาหนึ่ง สำหรับรัฐฉินแล้วทหารม้าแปดหมื่นนายคงไม่นับว่ามากดอกกระมัง?”

เรื่องนี้สั่นสะเทือนใต้หล้า ตราบใดที่เข้ามายังรัฐฉินก็สามารถสืบถามได้อย่างง่ายดาย

กองทัพสังหารขนาดใหญ่เช่นนี้น่าตกใจเล็กน้อย แต่ว่าฉินเว่ยเป็นคู่แค้น จักรพรรดิองค์สุดท้ายสิ้นพระชนม์ในสมรภูมิฉินและเว่ย ฉินเกือบถูกเว่ยโค่นล้ม บัดนี้รัฐฉินแข็งแร่งแล้ว เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะวางแผนแก้แค้น สำหรับเรื่องนี้ ในแต่ละรัฐล้วนไม่มีผู้ใดที่คัดค้าน

“ดี” อิ๋งซื่อเอ่ย “ท่านกลับไปเรียนสู่อ๋อง รัฐฉินเต็มใจที่จะส่งกองกำลังแปดหมื่นนาย ทว่าสู่อ๋องได้โปรดอย่าลืมคำมั่นสัญญา”

ท่านราชทูตยินดียิ่ง ค้อมคำนับเอ่ย “ฉินกงทรงพระเจริญหมื่นปี”

ทางนี้ส่งรัฐสู่ออกไปแล้ว จางอี๋ก็วุ่นอยู่กับการวิ่งไปปลอบใจจูและปาสองรัฐ กล่าวหาสู่อ๋องต่อหน้าท่านราชทูตทั้งสอง อย่างโกรธเคืองว่าไร้มารยาทกับฉินกงเป็นอย่างมาก ไม่เคยเห็นศักดิ์ศรีของฉินอยู่ในสายตาเลย ครั้งนี้หน้าด้านมาขอความช่วยเหลือ รัฐฉินไม่มีทางรับปากอย่างแน่นอน บัดนี้รับปากรัฐสู่ผิวเผินก็เพราะนึกถึงสถานการณ์ส่วนรวม ในกรณีที่รัฐฉินไม่ตอบตกลง รัฐสู่ที่บุกโจมตีทั้งสองรัฐภายใต้ความสิ้นหวังจะไม่เป็นการโอ้อวดแต่สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าหรอกหรือ?

หลังจากตั้งใจส่งราชทูตทั้งสามรัฐแยกออกจากกัน รัฐฉินก็ได้ให้ราชทูตส่งของกำนัลที่พวกเขานำมาให้ไปยังรัฐหานเพื่อหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการทูต

ในช่วงเวลาที่สำคัญ รัฐฉินต้องจัดการกับความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างให้ดี แม้ว่าเว่ยจะพ่ายแพ้ในสงคราม ทว่าหากรัฐหานส่งทหารมายังรัฐฉิน จะรู้ได้เยี่ยงไรว่ารัฐเว่ยจะไม่เข้ามาก่อกวนอีก? ทุกครั้งที่แต่ละรัฐต่อสู้กันก็มีกองทัพแสนถึงสองแสนนาย ทหารม้าแปดหมื่นไม่นับว่ามาก ทว่ารัฐฉินต้องการที่จะโค่นรัฐสู่ พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงทหารชั้นยอด นอกจากนี้ยังมีทหารม้าอีกห้าหมื่นนายที่มาถึงหนานเจิ้งอย่างลับๆ รวมกันแล้วก็กลายเป็นกำลังพลที่ยิ่งใหญ่กองหนึ่ง

เรื่องความวุ่นวานของเจี๋ย[1]โจ้ว[2]แห่งปาสู่เป็นที่รู้จักกันดีในใต้หล้า

ปลายเดือนห้า รัฐฉินยกธง “ผิงล่วน (สงบความวุ่นวาย)” ระดมกองทัพแปดหมื่นนายไปยังรัฐปาสู่

รัฐหานเห็นว่ารัฐฉินส่งทหารออกไปด้วยความชอบธรรม หากเอามีดแทงข้างหลังก็ดูไร้คุณธรรมนัก หากเว่ย ฉี เจ้าได้รับข้อมูลนี้แล้วฉวยโอกาสส่งกองกำลังติดอาวุธมาปราบปรามรัฐหานจะทำเยี่ยงไรเล่า? แต่เมื่อได้เห็นรัฐฉินส่งทรัพย์สินจำนวนหนึ่งเข้ามาก็มีคำสั่งออกไปทันที ว่าจะต้องสนับสนุนรัฐฉินในการสงบความวุ่นวานแห่งปาสู่อย่างสุดความสามารถ

ในโลกแห่งสงครามครั้งใหญ่นั้น ความสัมพันธ์ทางการทูตก็เป็นเรื่องประหลาดเช่นนี้ แต่ละรัฐด้านหนึ่งก็ราวกับสัตว์ป่าดุร้าย อีกด้านหนึ่งก็ก้าวเดินอย่างระมัดระวัง

รอบนอกนครหนานเจิ้ง

แสงอาทิตย์สว่างจ้า บัดนี้มีความรู้สึกของฤดูร้อนแล้ว เด็กหนุ่มคนหนึ่งนอนอาบแดดอยู่บนเขาพร้อมคาบหญ้าจิ้งจอกเขียวอยู่ในปาก เสียงฝึกซ้อมที่พร้อมเพรียงและงดงามดังมาสนามฝึกซ้อมทหารกองหลังตรงเนินเขา

ผู้ชายรูปร่างกำยำคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ เขา กำลังก้มหน้ามองดูการฝึกทหารกองหลังนี้

“อวี่ เข้ากองทัพฉินเถิด” จู่ๆ เด็กหนุ่มก็ลืมตาและหันไปมองชายร่างกำยำ แสงแดดที่สว่างจ้าทำให้เขาต้องหรี่ตาอีกครั้ง

จี๋อวี่หันไปมองนาง มิได้ตอบ “ท่าน ไม่เคยผ่านพิธีการแต่งงานกระมัง?”

ซ่งชูอีกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ทั้งชีวิตนี้ข้าไม่เคยคิดที่จะใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายอย่างจริงจัง การแต่งงานจะมีหรือไม่มีก็ได้”

“ข้านึกว่าผู้หญิงทุกคนต่างรอคอยผู้ชายแสนดี” จี๋อวี่ประหลาดใจมาก ใครกันที่สามารถสั่งสอนเด็กผู้หญิงที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้

ซ่งชูอีหัวเราะเย้ยหยัน เปลี่ยนข้างคาบคาบหญ้าจิ้งจอกเขียวที่อยู่ในปาก “ในยุคนี้มีแต่ไฟสงครามและการนองเลือดทั่วทุกแห่ง ไม่เหมาะแก่การเพ้อฝัน”

“หากบ้านเมืองสงบแล้ว ท่านจะเต็มใจใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับคนนั้นหรือไม่?” สายตาของจี๋อวี่หยุดอยู่ที่เจ้าอี่โหลวซึ่งสวมชุดเกราะสีดำในสนามฝึก

“เอ๋?” ซ่งชูอีลุกขึ้นนั่ง มองไปตามสายตาของจี๋อวี่ “เหตุใดเจ้าถึงได้น่าเบื่อเช่นนี้!”

“เจ้าล่ะ?” ซ่งชูอีเปลี่ยนหัวข้อ “คิดจะหาภรรยาแล้วใช้ชีวิตหรือไม่?”

“ขอรับ ทว่านางจากไปหลายปีแล้ว” ครั้นจี๋อวี่นึกถึงภรรยาที่ตายไป สีหน้าก็มืดมน

เขาแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้าน้อยมาก ไม่ใช่ว่าแสดงออกไม่เก่ง ทว่าในโลกใบนี้ไม่มีใครหรือเรื่องใดที่สามารถทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหวได้ อย่างไรก็ดีการเฉียดตายครั้งนี้ ซ่งชูอีและจี้ฮ่วนดูแลเขาอย่างหนักซึ่งทำให้เขาเปิดใจขึ้นเล็กน้อย ครั้นคิดว่าซ่งชูอีก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุน้อยๆ คนหนึ่ง จึงรู้สึกเห็นใจนางอยู่บ้าง

นางรู้ดีว่าภรรยาของเขาจากโลกนี้ไปหลายปีแล้ว ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าจะต้องปลอบใจเยี่ยงไร บังเอิญเห็นว่าที่ใต้ภูเขามีทหารนายหนึ่งวิ่งตรงมาทางนี้อย่างเร่งรีบ ก็ลุกขึ้นตบๆ ฝุ่นบนตัว ลงจากภูเขาช้าๆ พร้อมคาบหญ้าจิ้งจอกเขียวอยู่ในปาก “เช่นนั้นก็รบกันเถิด! ท่านแม่ทัพซย่าหมายตาเจ้ามานานแล้ว”

วาจาดีๆ ก็สามารถกลายความหมายด้วยปากของนางได้! ทว่าเมื่อจี๋อวี่มองดูแผ่นหลังผอมบางของนางก็ยิ้ม

[1] เจี๋ย จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เซี่ย ชื่อเดิม หลีว์กุ่ย เป็นหนึ่งในจักรพรรดิที่กดขี่ข่มเหงและมักมากในกามที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์จีน

[2] โจ้ว จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ซาง ทรราชที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จีน