บทที่ 205 เข้าต่อสู้ด้วยตัวเอง

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

สิบวันต่อมา กองทัพที่ออกเดินทางจากเสียนหยางบัดนี้ได้มาถึงหนานเจิ้งแล้วและเข้าร่วมกับทหารม้าห้าหมื่นนายที่ประจำการอย่างลับๆ

ซือหม่าชั่วสั่งการกองทัพหนึ่งแสนห้าหมื่นนายเข้ารัฐสู่ในฐานะท่านแม่ทัพ พร้อมจางอี๋และซ่งชูอีในฐานะที่ปรึกษาทางการทหาร

ถนนเข้าสู่รัฐปาสู่นั้นมีมาตั้งแต่ร้อยปีก่อนแล้ว โดยเริ่มจากนครเหมี่ยนเฉิงทางทิศเหนือ ผ่านด่านหยางผิงและด่านไป๋สุ่ย จนถึงเขตเจาฮว่าในกว่างหยวน จากนั้นทางทิศใต้จากด่านเจี้ยนเหมินไปจนถึงที่ราบในเฉิงตู ต่อมารัฐฉินและรัฐสู่มิได้ติดต่อกันอย่างใกล้ชิด โดยปกติแล้วมีพ่อค้าเพียงไม่กี่คนที่ผ่านทางเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ครั้นมาถึงด่านเจียเหมิงจึงก็มีเพียงไม้กระดานแคบๆ หากต้องการจะข้ามไป พ่อค้าก็ทำได้เพียงใช้ม้าแบกสินค้า ไม่สามารถใช้รถม้าได้ ดังนั้นซ่งชูอีจึงวางแผนให้รัฐสู่ซ่อมแซมถนนสายนี้เสียใหม่

สาเหตุหลักที่สู่อ๋องขยายถนนเส้นนี้ก็เพื่อขนย้ายวัวศักดิ์สิทธิ์ที่อุจจาระออกมาเป็นทองคำ ด้วยเหตุนี้ต่อมาบรรดาพ่อค้าจึงเรียกถนนสายนี้ว่าถนนจินหนิว (วัวทองคำ)

ปาสู่ในเดือนหกมีความชื้นเล็กน้อย ทั้งรัฐสู่เป็นสีเขียวชอุ่ม ทันทีที่ลมพัดผ่านก็ทำให้ต้นไม้กลายเป็นระลอกคลื่น ภูเขาสูงตระหง่าน ถนนคดเคี้ยวบนภูเขาปรากฏให้เห็นเลือนรางท่ามกลางแมกไม้ในหุบเขา

บัดนี้กองทัพในเสื้อเกราะสีดำเดินมาถึงครึ่งภูเขาแล้ว และทางนั้นยังมีคนอยู่ในภูเขาอีกลูก ถนนคดเคี้ยวพวกนี้อันตรายเป็นอย่างยิ่งสำหรับนายทหารที่เคยชินกับการขี่ม้า ทั้งหนึ่งแสนสองหมื่นนายจึงไม่ได้เดินทางอย่างฮึกเหิมทว่าขี่ม้าไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวัง

“อย่ามองลงไปด้านล่าง” ซ่งชูอีเอ่ยห้ามนายทหารด้านข้างไม่ให้มองลงไป เอ่ยขึ้นช้าๆ “ก็มิได้ให้เจ้าตรวจจับศัตรูเสียหน่อย มองไปที่นกประไร?”

เมื่อครู่นายทหารคนนั้นเพียงเหลือบมองขาทั้งสองข้างที่อ่อนแรง ในใจรู้ว่าซ่งชูอีหวังดีต่อเขาจึงรีบรับคำ

จางอี๋เงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วทอดถอนใจ “มารดาข้าเอ๋ย! แหงนหน้าขึ้นไปแล้วชวนให้เวียนหัวเสียจริง ห่วงว่าจะมีคนมาฆ่า!”

จางอี๋เคยเกิดเรื่องในรัฐสู่สองครั้ง ทว่าทุกครั้งที่เห็นต้นไม้สีเขียวๆ ก็รู้สึกปวดศีรษะ

“ท่านที่ปรึกษา ข้ามภูเขาด้านหน้าไปอีกสองลูกก็ถึงรัฐจูแล้วขอรับ” นายทหารคนหนึ่งเดินกลับมาจากข้างหน้า

จางอี๋เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ประเสริฐแท้!”

“มีข่าวจากรัฐฉู่บ้างหรือไม่?” ซ่งชูอีจับบังเหียนม้าแน่น หันหน้าไปถามจางอี๋

“เมื่อเช้าตอนที่ข้าอยู่ข้างหน้าก็ได้รับข่าวแล้ว บัดนี้รัฐฉู่เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เตรียมที่จะเข้าปาสู่ด้วยข้ออ้างว่าจะสงบความวุ่นวาย” จางอี๋หัวเราะเอ่ย “วางใจเถิด รัฐฉู่ไม่มีทางปล่อยโอกาสอันดีนี้ไปอย่างแน่นอน”

ก่อนหน้านี้จางอี๋อยู่ด้านหน้ากับซือหม่าชั่ว เนื่องจากใกล้เข้าสู่รัฐจูแล้ว และเพื่อความปลอดภัยของที่ปรึกษาทางการทหารจึงต้องให้เขาอยู่ด้านหลังขบวนกับซ่งชูอี

เมื่อเอ่ยถึงรัฐฉู่ ทันใดนั้นซ่งชูอีก็นึกถึงเรื่องหนึ่งได้ “ท่านสืบเจอแล้วหรือยังว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังผู้ส่งราชโอการคนนั้นที่พบเมื่อคราวก่อน?”

“ก่อนที่จะออกจากเสียนหยางยังไม่มีผลลัพธ์ที่ชัดเจนแต่ว่า…หึ ตามการคาดเดาของข้า น่าจะเป็นฝีมือของเจาจวีจากรัฐฉู่” ครั้นเอ่ยถึงผู้นี้ จางอี๋ก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ซ่งชูอีก็เคยรู้จักบุคคลนี้ดีเป็นพิเศษในชาติที่แล้ว อดที่จะเลิกคิ้วถามมิได้ “เจาจวีหรือ บุคคลนี้เป็นผู้มีความสามารถ”

“ผู้มีความสามารถ! หึ!” จางอี๋กล่าวด้วยความโมโห “เขาก็เป็นแค่ตาแก่ตาบอด ดวงตาคู่นั้นเป็นเพียงเครื่องประดับ! แม้ว่าจางอี๋จะเป็นโจรก็เป็นโจรที่ขโมยใต้หล้า ใครจะไปอยากได้หยกชิ้นหนึ่งของเขา!”

บัดนั้นเจาจวีกล่าวโทษว่าจางอี๋ขโมยหยก เกือบทำให้เขาต้องตาย และก็เป็นครั้งนั้นที่พอจางอี๋หนีออกมาจากรัฐฉู่แล้วก็ถูกคนจับตัวแล้วพบกับซ่งชูอีระหว่างทาง

“เช่นนั้นหรือ? ข้านึกว่าดวงตาของเขาเป็นประกายดุจหิมะเสียอีก มิฉะนั้นขุนนางผู้ภักดีจะหนีไม่พ้นเงื้อมมือของเขาได้เยี่ยงไร?” ซ่งชูอีประเมินด้วยสีหน้าจริงจัง “บุคคลผู้นี้สังหารขุนนางผู้ภักดี พี่ถูกบุคคลผู้นี้ทำร้าย แสดงว่าจะต้องเป็นขุนนางผู้ภักดีอย่างไม่ต้องสงสัย!”

จางอี๋ที่อารมณ์ไม่ดีในตอนแรก ได้ยินซ่งชูอีกล่าวเช่นนี้กลับหัวเราะออกมาแล้ว “วิธีพูดของเจ้าเป็นเรื่องใหม่จริงๆ”

เจาจวีเป็นมหาเสนาบดีในรัฐฉู่ หากประเมินอย่างเป็นกลางแล้วก็ใช้ว่าจะไม่มีความดีเลย เพียงแต่เป็นศัตรูกับขุนนางผู้ภักดีโดยธรรมชาติ ผู้ที่ถูกเขาทำร้ายทั้งหมดมีจำนวนไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียง ยกตัวอย่างเช่นชุนเซินจวิน ชวีหยวน จางอี๋และอื่นๆ ซ่งชูอีครุ่นคิดดูแล้วบัดนี้ชวีหยวนยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดี ยังมิได้กระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย

เจาจวีมีความเพียรพยายามเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ภารกิจทำร้ายขุนนางผู้ภักดีมีมากขึ้นทุกที ฆ่าขุนนางร้ายไม่ผิดตัวแต่ก็ไม่ปล่อยขุนนางผู้ภักดี เรียกได้ว่าเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง!

“หากมิใช่เพราะข้าบาดเจ็บสาหัส ก็จะได้มองดูเขาเป็นฆาตกรฆ่าขุนนางผู้ภักดีอย่างมีความสุขแล้ว” จางอี๋หัวเราะขมขื่น

ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “แม้ว่าบุคคลนี้จะเหี้ยมโหดแต่ถึงอย่างไรก็เป็นท่านมหาเสนาบดีคนหนึ่ง สามารถแยกแยะถูกผิดได้ชัดเจน หากพวกเขาได้เรียนรู้ความลับของราชทูตฉินจะใช้วิธีสกปรกเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?”

“หวยจินเป็นบุคคลนอกจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจนนัก! ไม่ใช่เขาจริงๆ” จางอี๋เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “หากบุคคลนี้จงใจเปิดเผยข้อบกพร่องและส่งสัญญาณเตือนรัฐฉิน เหตุใดต้องส่งผู้ด้อยประสบการณ์เช่นนั้น วิธีไม่สวย…ช่างเถิด อย่าดึงคนที่อยู่ไกลเข้ามาเลย ควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความท้าทายเถิด!”

ซ่งชูอีพยักหน้า มีบางเรื่อง หากไม่สามารถคิดถึงผลลัพธ์ได้ก็อย่าไปคิดจะดีกว่า

จางอี๋เงยหน้าขึ้นและเห็นว่าพื้นที่เขียวชอุ่มที่เดิมทีไกลสุดลูกหูลูกตาเบาบางลง กำแพงดินที่อยู่บนเนินเขาท่ามกลางหมอกควันโผล่ขึ้นมาให้เห็นจากที่ไกลๆ มันตั้งสูงตระหง่านราวกับเป็นประตูบานใหญ่ แม้ว่าจะดูใกล้ทว่าด้วยเส้นทางที่วกวนในภูเขา อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งวันกว่าจะไปถึง

เมื่อเงี่ยหูฟังก็ดูเหมือนมีเสียงกลองสงครามดังอยู่ในระยะไกล

สงครามระหว่างปาสู่และจูยังคงดำเนินต่อไป บัดนี้สู่อ๋องกำลังเดินไปรอบๆ ภายในพระราชวังอย่างกังวล สระปลาที่ถูกขุดกลางท้องพระโรงได้กลายเป็นที่ปลูกดอกบัวไปแล้ว ใบไม้สีเขียวงดงามดุจหยก แย่งกันเติบโตอย่างแออัดอยู่ในสระน้ำ ดอกบัวมีทั้งบานเต็มที่และที่บานเพียงครึ่ง รูปร่างแตกต่างกัน

ทัศนียภาพงดงามเช่นนี้ ทว่าไม่มีขุนนางใดที่มีกะใจชื่นชม

“กราบ…”

เสียงหนึ่งดังขึ้น สู่อ๋องก็หันไปมองอย่างมีความสุข “ส่งตัวเข้ามา”

ขันทีถ่ายทอดพระราชดำรัสด้วยเสียงสูง สายลับคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก “ถวายบังคมฝ่าบาท กองทัพฉินมาถึงด่านเจียเหมิงแล้ว ทว่าตามรายงานของสายลับมีประมาณแสนกว่าคน!”

“ว่าไงนะ?” สู่อ๋องร้องเสียงหลง

เสียงฮือฮาเต็มท้องพระโรง ขุนนางท่านหนึ่งลุกขึ้นยืนทันที “บัดนั้นจะยืมกองทัพแปดหมื่นนายยังลังเล บัดนี้กลับส่งมาแสนนาย ฝ่าบาท รัฐฉินต้องการแผนการชั่วร้ายแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”

“พูดเช่นนี้ แสดงว่ารัฐฉินคิดจะช่วยรัฐจูเช่นนั้นหรือ?” สู่อ๋องกล่าวอย่างเหลือเชื่อ เขาจินตนาการไม่ออกว่ารัฐฉินมีเหตุผลใดที่จะช่วยรัฐปาทว่ากลับไม่ช่วยรัฐสู่

“บัดนี้ดูเหมือนว่ารัฐฉินวางแผนลับกับปาและจูสองรัฐนานแล้ว! ฝ่าบาทได้โปรดมีราชโองการรับศึกเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ท่านมหาเสนาบดีเอ่ย

ชั่วขณะหนึ่งไม่มีใครคิดว่ารัฐฉินมีความคิดที่จะกลืนกินดินแดนทั้งหมด ท้ายที่สุดแล้วความคิดที่จะโค่นสามรัฐด้วยกำลังหนึ่งแสนคนเป็นความฝันที่งี่เง่าสิ้นดี

“ใครจะรวมกองทัพป้องกันศัตรูได้!” สู่อ๋องเอ่ยถาม

นั่นเป็นกองทัพขนาดหนึ่งแสนนายเชียวนะ! ครั้นพ่นวาจาเช่นนี้ ทั่วทั้งท้องพระโรงก็เงียบงัน

เมื่อมองดูแล้ว ไม่มีท่านแม่ทัพในท้องพระโรงคนใดที่สามารถสั่งการกองทัพได้ บัดนี้ท่านแม่ทัพใหญ่หนึ่งเดียวที่มาจากเผ่าถูอู้ก็ยังอยู่ในสนามรบกับรัฐปา ไม่สามารถกลับมาได้ในเวลานี้

ทันใดนั้นสู่อ๋องก็บันดาลโทสะ ตบโต๊ะเอ่ยด้วยความโมโห “กว่าเหรินจะออกรบด้วยตัวเอง!”

สู่อ๋องเองก็เป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญที่หาได้ยากคนหนึ่ง…เพียงแต่ไม่รู้ว่ายังหลงเหลือทักษะอยู่เท่าใดหลังจากไม่ได้ออกรบมาเป็นเวลาหลายปี

เดิมทีท่านมหาเสนาบดีต้องการจะห้ามปราม ทว่าเมื่อหันมองดูแล้วก็เห็นว่าไม่มีใครที่สามารถใช้งานได้จริงๆ อย่างไรก็ดีกองทัพของรัฐฉินจำนวนหนึ่งแสนคนมิใช่เรื่องล้อเล่น ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ หากรัฐฉินสามารถเข้ามาอย่างง่ายดาย รัฐสู่ก็จะล่มสลายในไม่ช้า! ถึงตอนนั้นสู่อ๋องก็จะเป็นเหมือนองค์จวินแห่งรัฐที่ล่มสลาย หากสามารถกันกองทัพฉินอยู่นอกด่านเจียเหมิงได้ ไม่แน่ว่ายังมีความหวัง

ท่านมหาเสนาบดีคิดดังนี้ ก็กลืนวาจาทั้งหมดลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือสั่งคนทำลายถนนไม้กระดานที่ด่านเจียเหมิงเสีย!”