บทที่ 206 ยึดครองป้อมปราการคอหอย

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

การรื้อถอนถนนไม้กระดานด่านเจียเหมิงเป็นเรื่องที่รีรอไม่ได้

ในคืนเดียวกันม้าเร็วหนึ่งพันนายออกเดินทางจากหวังเฉิงในรัฐสู่ โดยเดินทางไปยังด่านเจียเหมิงอย่างเหน็ดเหนื่อยทั้งวันทั้งคืน

หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ รัฐจูถูกรัฐสู่โจมตีจนไร้ทางสู้กลับ บัดนี้ยังมีกองทัพสู่สองหมื่นนายประจำการอยู่ในฮั่นจง

รัฐฉินกลับมิได้บอกรัฐจูอย่างแน่ชัดว่าจะส่งกองกำลังเท่าใด แม้ว่ากองทัพหนึ่งแสนสามหมื่นนายนั้นมาก รัฐจูก็รู้สึกไม่ใคร่แน่ใจนัก ทว่าเมื่อพิจารณาดูอีกทีแล้วต่อให้รัฐฉินมีเจตนาร้ายแล้วอย่างไรเล่า? อย่างไรก็ตามหากถูกรัฐฉินโค่นก็จะล่มสลาย ถูกรัฐสู่โค่นก็จะล่มสลายเช่นกัน จูโหวไม่มีทางทำอะไรกับสิ่งที่เป็นอยู่ได้ เพียงรู้สึกว่าต่อให้รัฐต้องล่มสลายก็จะไม่ให้สู่อ๋องได้เสวยสุข!

ด่านเจียเหมิงอยู่ในรัฐจูไม่ได้อยู่ในรัฐสู่ ผลปรากฏว่าทันทีที่สู่อ๋องส่งทหารหนึ่งพันมาถึงเขตแดนของรัฐจูก็เจอกับการกีดขวางที่แข็งแกร่ง

หลังจากกองทหารสองหมื่นนายที่ประจำการในนครได้รับคำสั่งจากสู่อ๋องก็เริ่มการต่อสู้อย่างดุเดือดกับรัฐจูทันที

ทางรัฐปาก็ได้ข่าวของทหารฉินแล้ว อย่างไรก็ดีรัฐฉู่ก็ฉวยโอกาสนี้สร้างปัญหาให้กับรัฐปาภายใต้ธงสงบความวุ่นวายของกบฏทางทิศใต้ เพียงพริบตารัฐปาต้องรับมือกับรัฐสู่และรัฐฉู่ แม้ว่าในใจจะเข้าใจเจตนาของทหารฉินแต่ก็มีเพียงจิตวิญญาณแต่เนื้อหนังอ่อนแอเหลือเกิน

จากนั้นสู่อ๋องก็สั่งให้กองทัพห้าหมื่นนายเคลื่อนตัวออกจากหวังเฉิง ท่านมหาเสนาบดีใช้ตราทหารเรียกคืนกองกำลังสามหมื่นนายจากรัฐปาทันที บวกกับกองกำลังสองหมื่นนายที่ประจำการอยู่ในรัฐจู รวมทั้งหมดก็หนึ่งแสนแล้ว สู่อ๋องคิดว่าทหารฉินไม่เข้าใจภูมิประเทศที่ซับซ้อนของปาสู่ หากสู้รบกันก็ไม่สามารถรับมือกับทุกอย่างได้ดีเช่นพวกเขา ด้วยกองกำลังหนึ่งแสนต่อหนึ่งแสนสามหมื่นนาย แม้ว่าไม่อาจชนะได้อย่างง่ายดาย แต่ก็จะสามารถปิดกั้นทหารฉินอยู่ด้านนอกด่านเจียเหมิงได้อย่างแน่นอน

ด่านเจียเหมิงมีภูมิประเทศที่เป็นอันตราย ขอเพียงปกป้องมันจนตัวตาย ครั้นเสบียงของทหารฉินเข้ามาได้อย่างยากลำบากก็ไม่สามารถยืนหยัดได้มากกว่าหนึ่งเดือน

น่าเสียดายที่สู่อ๋องคำนวณตกไปสองข้อ ข้อหนึ่งชาวจูยังไม่สูญพันธุ์ ผู้คนในปาสู่นั้นแข็งแรงมาก ต่อให้ผู้หญิงและคนแก่อ่อนแอหยิบอาวุธขึ้นมาก็สามารถต่อต้านได้สักพักหนึ่ง! ข้อสอง ถนนไม้กระดานที่ด่านเจียเหมิงไม่เพียงไม่ได้ทำงานแบบขอไปทีและใช้วัสดุที่ด้อยคุณภาพ แต่เพราะกลัวไม่แข็งแรงจึงเสริมพิเศษหลายชั้น ดังนั้นเมื่อทหารม้าหนึ่งพันคนไปถึงด่านเจียเหมิงในขณะที่กองทัพรัฐสู่สองหมื่นนายกำลังเปิดทางอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นจึงจะค้นพบว่ามันรื้อถอนไม่ได้

ทหารสู่เหล่านี้มิใช่ช่างมือ ไม่เข้าใจโครงสร้างของถนนไม้กระดาน ทำได้เพียงสับมันด้วยขวานขนาดใหญ่ ทันทีที่พบว่ามันหลวมขึ้นด้วยความยินดีหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามก็ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพฉินบนถนนแคบๆ แล้ว

หนึ่งพันต่อหนึ่งแสนสามหมื่น ไม่ต้องจินตนาการถึงผลลัพธ์ก็รู้ อย่าว่าแต่หนึ่งแสนสามหมื่นนายเลย เพียงแค่สามหมื่นนายก็สามารถเหยียบย่ำหนึ่งพันจนตายได้แล้ว

ทหารฉินก็กำเนิดมาจากเปลวไฟแห่งสงครามเช่นกัน และทหารที่อยู่กองหน้าล้วนแต่เป็นผู้ที่ถูกส่งไปประจำการที่หนานเจิ้งเมื่อครึ่งเดือนก่อน มิได้ออกเดินทางมาจากเสียนหยาง พวกเขามิได้เดินทางไกล มีพลังงานเต็มเปี่ยม ไม่อ่อนแอไปกว่าทหารสู่ที่ดุร้ายเลย

ขณะที่สู่อ๋องเพิ่งจะนำกองทัพมาถึงนั้น กองทัพฉินก็ยึดด่านเจียเหมิงได้อย่างง่ายดายแล้ว

เมื่อจูโหวได้รับข่าวนี้ก็ยอมแพ้ทันที สั่งให้ประชาชนปิดบ้าน กองกำลังที่เหลือทั้งหมดเฝ้าพระราชวัง เตรียมพร้อมให้เสือสองตัวนี้มีพื้นที่กว้างขวางในการต่อสู้

อย่างไรก็ตามการต่อต้านที่แข็งกร้าวของรัฐจูก่อนหน้านี้ ก็ทำให้ทหารที่ประจำการสองหมื่นนายหายไปครึ่งหนึ่ง กองทหารที่ถูกส่งมาจากรัฐปายังมีเวลาอีกครึ่งวันกว่าจะมาถึง อีกฝ่ายคือกองทัพหนึ่งแสนสามหมื่นนาย อีกทั้งยังยึดครองพื้นที่ราบสูงของด่านเจียเหมิงได้แล้ว สู่อ๋องไม่กล้าที่จะโจมตีอย่างเร่งรีบอย่างแน่นอน

ด้านรัฐฉิน ที่จริงก็ใช่ว่าจะไร้ที่ติ ถนนจินหนิวทั้งอันตรายทั้งแคบ เป็นไปไม่ได้ที่คนหนึ่งแสนสามหมื่นคนจะสามารถเดินผ่านถนนเส้นเล็กนั้นได้ในคราวเดียว ในความเป็นจริงมีทหารเพียงห้าหมื่นนายที่ยึดครองด่านเจียเหมิงเท่านั้น ส่วนที่เหลือยังคงต้องทยอยกันเดินทางมาถึง

ครั้นข่าวการยึดด่านเจียเหมิงถูกส่งกลับไปยังหนานเจิ้ง ทหารที่รักษาการณ์อยู่ในละแวกใกล้เคียงทั้งหมดเจ็ดหมื่นนายก็ไปยังปาสู่ด้วยความเร่งรีบ

ทั้งสองฝ่ายยังคงเฝ้ามองซึ่งกันและกัน

ท้องฟ้าเริ่มมืดลง แสงไฟในค่ายทหารฉินส่องแสงอย่างต่อเนื่อง มีเสียงม้าศึกใกล้เข้ามาในบางครั้ง ทั้งกองทัพกำลังรอคอย

ท่านแม่ทัพเพิ่งจะมาถึงค่าย ภายในค่ายผู้บัญชาการนั้นเรียบง่ายและว่างเปล่ายิ่ง ไม่มีแม้แต่ที่นั่งด้วยซ้ำ มีผู้บัญชาการทหารหนึ่งนาย ที่ปรึกษาทางการทหารสองคน แม่ทัพห้านาย ตูเว่ยห้านาย และนายพลสิบนายรวมตัวกัน สิ่งเดียวที่นอกเหนือจากคนเหล่านี้คือแผนที่ขนาดใหญ่ของปาสู่ที่อยู่ใจกลางกระโจม

ชายที่ต่อสู้ในสนามรบกว่ายี่สิบคนมีอาวุธครบมือ ยืนกันอย่างเคร่งขรึม บรรยากาศภายในกระโจมนั้นน่าสะพรึงกลัว

ซ่งชูอีกับจางอี๋ก็เปลี่ยนชุดคลุมตัวใหญ่ที่รุ่มร่ามเล็กน้อยเป็นชุดเกราะสีดำ ไป๋เริ่นและจินเกอดูเหมือนจะติดเชื้อจากบรรยากาศนี้ ไม่ได้มีท่าทีเกียจคร้านเหมือนปกติ ทว่ายืนอยู่ข้างหลังทั้งสองคนอย่างเงียบๆ

ซือหม่าชั่วกล่าวด้วยความขึงขัง “สู่อ๋องเข้าสู่สนามรบเอง นับว่าเป็นโอกาสดีในการโค่นสู่ กองทัพของเราต้องทำลายกองทัพสู่ในการรบครั้งเดียว ก่อนที่กองทัพทั้งหมดจะไปถึงจะต้องรักษาด่านเจียเหมิงไว้ให้ดี จางเหลียวฟังคำสั่ง จัดทหารหนึ่งหมื่นนายป้องกันปากด่านไว้ ห้ามพลาดเด็ดขาด!”

“จางเหลียวรับคำสั่ง!”

“ซย่าเฉวียนรับคำสั่ง ซ่อนทหารม้าในหุบเขาอวิ๋นซาน ทันทีที่ทหารสู่ข้ามด่าน จัดกำลังทหารสกัดกั้นทันที!”

“ซย่าเฉวียนรับคำสั่ง!”

“นายพลทหารเท้ารับคำสั่ง ช่วยจางเหลียวรักษาด่านเจียเหมิง รอทั้งกองทัพมาถึง!”

“ทหารเท้ารับคำสั่ง!”

ท่านแม่ทัพพานายทหารคนสนิทออกไปจากกระโจมทีละคน ต่างคนต่างดำเนินการตามคำสั่งแล้ว

“ซ่งจื่อ นอกเหนือจากหุบเขาอวิ๋นซานแล้ว ไม่มีทางเข้าอื่นแล้วหรือ?” ซือหม่าชั่วยังคงสงสัยเล็กน้อย มองไปรอบๆ ที่นี่มีแต่คลื่นภูเขาอยู่ทั่วไป ถนนทุกสายถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม แม้ประตูด่านเจียเหมิงจะถูกฝังอยู่ในพุ่มไม้ครึ่งหนึ่งก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่มีทางลับอื่นที่พวกเขาไม่รู้

ซ่งชูอีพยักหน้า “ข้าเดินไปรอบๆ ภูเขาในบริเวณใกล้เคียงด้วยตัวเองหลายครั้ง อีกทั้งเคยแสร้งถามพรานท้องถิ่นด้วย บริเวณนี้นอกเหนือจากหุบเขาอวิ๋นซานแล้ว ถนนที่ใกล้ที่สุดใช้เวลาเก้าวันจึงจะสามารถอ้อมไปยังด่านเจียเหมิงได้ ไม่เช่นนั้นที่แห่งนี้จะถูกเรียกว่าป้อมปราการคอหอยได้เยี่ยงไร!”

จางอี๋เอ่ย “สิ่งที่สำคัญคือจะต้องยึดกองทัพสู่ทั้งหมด ทางที่ดีที่สุดคือให้กองกำลังทั้งหมดของพวกเขาที่ประจำการในรัฐปาย้ายไปด่านเจียเหมิงแล้วทำลายล้างในบัดดล โดยเฉพาะสู่อ๋องที่จะต้องสังหารให้ได้ มิฉะนั้นทันทีที่ปล่อยให้ทหารสู่หลบหนีเข้าไปซ่อนตัวในป่าเขา ปัญหาก็จะตามมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”

“ถูกต้อง” ซ่งชูอีเอ่ย “ส่งสายลับไปสำรวจสถานการณ์ของกองทัพสู่ก่อน ในขณะเดียวกันก็ระวังสายลับรัฐสู่ให้มาก การล่อเขากลับเข้าสู่กองทัพไม่ใช่เรื่องยาก”

รัฐฉินเดินทัพด้วยทหารม้าหนึ่งแสนสามหมื่นนายก่อน จากนั้นก็ยังมีอีกเจ็ดหมื่นนาย รวมทั้งหมดเป็นสองแสนนาย ตราบใดที่สายลับของรัฐสู่สืบเจอจำนวนคนที่แท้จริงของกองทัพรัฐฉินก็เป็นไปไม่ได้ที่สู่อ๋องจะส่งทหารแปดถึงเก้าหมื่นคนไปสู่ความตาย

ซ่งชูอีเอ่ยเตือนสติ “สู่อ๋องในวัยหนุ่มมีความสำเร็จทางการทหารที่โดดเด่น ไม่รู้ว่าปัจจุบันยังมีความน่าเกรงขามหลงเหลือหรือไม่ ทว่าต้องระวังท่านแม่ทัพถูอู้ด้วย”

จางอี๋เคยอ่าน ‘ทิวทัศน์รัฐสู่’ ที่ซ่งชูอีบันทึกไว้ ในช่วงแรกของบันทึกที่สองกล่าวถึงชนเผ่าถูอู้ลึกลับที่ให้กำเนิดแม่ทัพผู้ทรงพลัง ในใจรู้ว่านางกลัวผลที่จะตามมาเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่ากันว่าโลกใบนี้จะมีเรื่องแปลกประหลาดมากมาย แต่มีหลายสิ่งที่คลุมเครือไม่ชัดเจนและจางอี๋ก็จะไม่ประมาทเช่นกัน

ซือหม่าชั่วก็เคยอ่านเช่นกันจึงอดที่จะถามมิได้ “ท่านแม่ทัพถูอู้รุ่นนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง?”

“ข้าเคยสืบอย่างละเอียดและเคยถือโอกาสติดต่อกันสองครั้ง ทว่าเขาเพิ่งออกมาจากชนเผ่าได้ไม่นาน ไม่ใคร่ได้สื่อสารกับผู้คนนัก ข่าวที่สืบมาได้จึงน้อยมาก” ซ่งชูอีเห็นว่าไป๋เริ่นซุกตัวเข้ามา ยื่นมือลูบๆ ขนบนหัวของมัน “ทว่าถูอู้ลี่เป็นผู้นำทัพหนึ่งแสนนายในการเปิดสงครามกับรัฐปา ใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนก็สามารถบุกเข้าหลางจงโดยตรง อันที่จริงแล้วไม่อาจดูถูกพลังของเขาได้เลย”

แม้ว่ารัฐปาเกิดความวุ่นวายภายใน ทว่าจริงๆ แล้วสถานะของจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นขึ้นอยู่กับประชาชนมากกว่า อำนาจทางทหารในมือนั้นมีไม่มาก ความไม่สงบในรัฐปาก็มิใช่การกบฏ การที่ถูอู้ลี่สามารถเอาชนะกองทัพรัฐปาได้อย่างรวดเร็วด้วยทหารม้าหนึ่งแสนนายนั้นมิได้อาศัยเพียงโอกาสและโชคเท่านั้น

ซือหม่าชั่วรู้สึกเกรงขามอยู่ในใจ

“เช่นนั้นก็ใช้แผนการดีกว่า” จางอี๋เอ่ยเรียบๆ

ซ่งชูอีเม้มริมฝีปากเล็กน้อย มิได้คัดค้านแต่ก็มิได้สนับสนุน

จางอี๋ก็มิได้กล่าวถึงมันอีก เพราะว่าไม่เข้าใจนิสัยของถูอู้ลี่ และไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสู่อ๋องและถูอู้ลี่ หากวางแผนผลีผลามไปไม่แน่ว่าอาจจะท่าดีทีเหลวก็ได้

เงียบงันครู่หนึ่ง ซ่งชูอีก็เอ่ยขึ้น “ใช้แผนการในการทหารเถิด ข้าคิดว่าคราวนี้เราต้องสู้ศึกจริงแล้ว”

“เพราะเหตุใดเล่า?” ซือหม่าชั่วเอ่ยถามด้วยความงุนงง เขาเป็นแม่ทัพคนหนึ่งแต่ก็ไม่หยาบคาย เขาเชื่อว่าเป็นการดีที่สุดที่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมอันชาญฉลาดเพื่อลดการเสียสละในสงคราม

จางอี๋อธิบาย “หากพวกเราต้องการผนวกปาสู่เพื่อที่จะให้เป็นยุ้งฉางสำหรับต้าฉินนั้น การโค่นรัฐเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ทหารสู่ก็ไม่อาจเหลือไว้ได้ ครั้นรัฐฉู่เห็นว่าพวกเราสู้อย่างสุดความสามารถ ก็จะไม่มีทางปล่อยโอกาสโจมตีรัฐปาไปแน่ แต่ก็จะไม่โจมตีด้วยกำลังทั้งหมดทันที พวกเราล่อลวงให้รัฐสู่ถอนความกดดันออกจากรัฐปา รัฐปาก็สามารถต่อต้านฉู่ด้วยกำลังทั้งหมดที่มีได้ รัฐฉู่มิได้มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์เช่นพวกเรา การพุ่งเข้าโจมตีรัฐปาของพวกเขาไม่ต่างจากในอดีตมากนัก รอจนกระทั่งปาฉู่ต่อสู้กันจนบาดเจ็บแล้ว กองทัพของพวกเราก็สามารถเดินทัพเข้าไปโดยไม่อุปสรรคกีดขวาง การผนวกรัฐปาก็จะประหยัดแรงไปมาก”

ซ่งชูอีกล่าวเสริม “อีกอย่าง ในความคิดของข้าสู่อ๋องในทุกรัชกาลเชื่อใจท่านแม่ทัพถูอู้โดยปราศจากเงื่อนไข ได้รับการยกย่องให้เป็นคนสนิท และคิดว่ารัชกาลนี้ก็คงไม่ต่างกัน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ในระยะยาว เกรงว่าต้องลำบากท่านแม่ทัพต้องต่อสู้นองเลือดอย่างแท้จริงแล้ว!”

ซ่งชูอีสบตากับจางอี๋ ค่อนข้างมีความรู้สึกสนิทสนมกัน

ซือหม่าชั่วพยักหน้า ยิ้มเอ่ย “ท่านทั้งสองวางแผนลึกซึ้งและมองการณ์ไกล ข้าเทียบไม่ติดเลย”

“ท่านแม่ทัพกล่าวเกินไปแล้ว” จางอี๋กับซ่งชูอีกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน

“ท่านแม่ทัพ มีราชทูตสู่มาขอพบขอรับ” เสียงของทหารรายงานอยู่นอกกระโจม

ซือหม่าชั่วครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ไม่พบ ไปบอกราชทูตสู่ว่าทหารฉินมาสงบความวุ่นวายตามคำขอของรัฐปาและรัฐจู ”

“ขอรับ!”

ในเวลานี้รัฐสู่ส่งราชทูตมาเพื่อต้องการที่จะทำความเข้าใจเจตนาของรัฐฉิน รัฐฉินแสดงจุดยืนที่ชัดเจนเพื่อให้ความมั่นใจแก่รัฐปา ทำให้พวกเขาต่อสู้กับรัฐฉู่อย่างเต็มกำลังโดยไร้ความกังวล ท้ายที่สุดแล้วการยึดปาสู่ของรัฐฉินคือการยึดครองพื้นที่สูงและล่อลวงรัฐฉู่ ไม่สามารถแบ่งปาสู่กับรัฐฉู่ได้เป็นอันขาด!

จางอี๋กับซ่งชูอีถอยออกไปจากค่ายผู้บัญชาการ ต่างคนต่างกลับกระโจมของตัวเอง ทั้งสองคนวางใจกับความสามารถของซือหม่าชั่วมาก แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เขานำกองกำลังสองแสนนาย ทว่าเขายังไม่เคยล้มเหลวจากการสู้รบสิบกว่าครั้งที่ผ่านมาเลย สาเหตุที่ทำให้พวกเขาสองคนเชื่อใจซือหม่าชั่วยังมิได้หมดเพียงเท่านี้ ขณะที่เขาเผยความสามารถอันโดดเด่นเป็นครั้งแรกนั้นยังเป็นเพียงผู้บังคับกองพันเท่านั้น ในสงครามระหว่างฉินเว่ย เขาได้มีส่วนร่วมและเป็นผู้นำในการนำทหารม้าสามพันนายบุกด่านหานกู่ และฟื้นคืนดินแดนที่สูญเสียไปในบัดดล

คนผู้นี้ทั้งแข็งแกร่งและมั่นคง ไม่น้อยหน้าไปกว่ากงซุนเหยี่ยนในฐานะผู้บังคับบัญชาเลย!

เดือนหกอากาศร้อน ในด่านเจียเหมิงก็เต็มไปด้วยซากศพระหว่างการสู้รบระหว่างรัฐสู่และรัฐจูแล้ว ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งวันก็เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ทหารสู่ทำได้เพียงเริ่มทำความสะอาดสนามรบและฝังซากศพท่ามกลางความสิ้นหวัง

ในตอนกลางคืนได้ยินเพียงเสียงความเคลื่อนไหวเท่านั้น ทั้งๆ ที่ไม่เงียบสงบนักทว่ากลับน่าหดหู่จนทำให้หายใจไม่ออก

ซ่งชูอีนอนไม่หลับ จึงขึ้นไปยังประตูด่านเพื่อดูสถานการณ์ของทหารสู่ในระยะไกล

ในเวลานี้นางมีเพียงไป๋เริ่นข้างกายเท่านั้น ครั้นซย่าเฉวียนเห็นจี๋อวี่เป็นครั้งแรกก็ตั้งใจอยากได้เขามาอยู่ใต้บังคับบัญชา เอ่ยปากกับซ่งชูอีอยู่บ่อยครั้ง

หลังจากที่จี๋อวี่คุยกับจี้ฮ่วนครั้งหนึ่งแล้ว ก็มอบเขาให้กับซย่าเฉวียน ซย่าเฉวียนยังแต่งตั้งตำแหน่งนายพลให้เขา ทว่าทหารในรัฐฉินมีมาก ผู้ที่มีตำแหน่งนายพลจึงมีมากกว่าในรัฐเว่ย์มาก

ท่านแม่ทัพมีสิทธิ์แต่งตั้งตำแหน่งภายนอกได้ แต่ตำแหน่งเหล่านี้เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น จำต้องมีบรรดาศักดิ์ชั้นสูงจึงจะสามารถนั่งในตำแหน่งได้อย่างมั่นคง โดยทั่วไปแล้วขอเพียงสงครามประสบชัยชนะ บรรดาศักดิ์ก็ไปไหนไม่รอดแล้ว

ส่วนจี้ฮ่วนที่ต้องการเข้ารบก็เข้ากองทัพฉินในตำแหน่งนายร้อย เขาถูกลดตำแหน่งหากเทียบกับรัฐเว่ย์ แต่ว่าข้อดีของเขาคนนี้คือไม่ต้องการในชื่อเสียงและโชคลาภ ตราบใดที่สามารถเข้ารบได้ก็มีความสุขจนยิ้มกว้างถึงใบหูไม่ว่าตำแหน่งจะสูงหรือต่ำก็ตาม