บทที่ 240 วางแผน (4)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 240 วางแผน (4)

เขามยุเรศหรือ เป็นสำนักที่ซูเซียนซึ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่

ทั้งสามคาดเดาไปต่างๆ นาๆ ไม่รู้ว่าลู่เซิ่งจะไปทำอะไร

“สหายจ่าน หงเซิง” ฟางถานเดินขึ้นบันไดด้านล่างหอขึ้นมาด้วยฝีเท้าเร่งรีบ “ทางนั้นเพิ่งเสร็จสิ้น จึงมาดูว่าสหายจ่านเป็นอย่างไร”

จ่านข่งหนิงเผยสีหน้าละอายใจ “สหายฟาง…ครั้งนี้ไม่ได้สิทธิ์เข้าร่วม…น่าละอายนัก”

ฟางถานเลิกคิ้ว ไม่นำพาแม้แต่น้อย

“หยวนปากระมัง คนผู้นี้มีพลังหลายส่วน ไม่กี่วันมานี้เพิ่งเลื่อนถึงระดับสัตตะลักษณ์ สหายจ่านสมควรแพ้ให้เขากระมัง”

“ถูกต้อง” จ่านข่างหนิงพยักหน้า

“พี่ใหญ่ฟางมาพอดีเลย ท่านดู คนแซ่ลู่จากสำนักมารกำเนิดจะท้าสู้ไป๋ชิงถางจากเขามยุเรศ ท่านว่าลู่เซิ่งจะต้านได้กี่กระบวนท่า” จ่านหงเซิงเห็นเรื่องราวที่เกิดบนสนาม พลันกล่าวเสียงดัง

“อ้อ? ลู่เซิ่งหรือ” ฟางถานงุนงงเล็กน้อย นึกถึงคนที่สร้างความไม่พอใจให้จ่านหงเซิง เขาก็มองตามทุกคนไปด้านนอก

“ไป๋ชิงถาง…ศิษย์น้องของซูเซียน ไม่รู้มีความสามารถขนาดไหน แต่ในฐานะรองผู้นำของเขามยุเรศ สมควรมีพลังพอใช้ ส่วนลู่เซิ่งผู้นี้…” เขาพิจารณาคนบานลานกว้างอย่างละเอียด ดวงตาเปล่งประกายสีฟ้าเล็กน้อย

“ความสามารถพอใช้ได้ แต่เผชิญหน้ากับไป๋ชิงถาง สมควรไม่เกินสามสิบกระบวนท่า” เขากล่าวอย่างราบเรียบ

“อีกอย่าง คนผู้นี้ไม่รู้จักรุกถอย หาเรื่องเขามยุเรศ สำนักมารกำเนิดคงจบสิ้นแค่ช่วงนี้แล้ว”

“ข้าลู่เซิ่งผู้นำจากสำนักมารกำเนิด ขอท้าสู่ไป๋ชิงถางแห่งเขามยุเรศ” ลู่เซิ่งเดินมาถึงด้านหน้าคนจากเขามยุเรศ แล้วกล่าวเสียงกังวาน

ไป๋ชิงถางที่กำลังคุยกับศิษย์น้องอยู่ด้านข้าง สวมอาภรณ์สีขาว แขวนดาบโค้งคู่หนึ่งไว้ที่เอว ด้ามดาบเป็นสีขาวเหมือนกัน ฝังอัญมณีสีแดง ปล่อยผมยาวนุ่มสลวยที่มีสีดำประดุจหมึกไว้ด้านข้าง ร่างกายที่สูงชะลูดของนางพิงบนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้าน ขับเน้นส่วนโค้งส่วนเว้าชวนลุ่มหลง

“สำนักมารกำเนิด ท้าสู้ข้าหรือ” พอได้ยินเสียงของลู่เซิ่ง ไป๋ชิงถางก็งงงันอยู่บ้าง ถึงแม้ตามหลักทฤษฎีแล้ว ผู้ถูกท้าห้ามปฏิเสธ ทว่านางลงมือเด็ดขาด เล่นงานอีกฝ่าย ให้สำนักของอีกฝ่ายสูญเสียกำลังรบหลักได้

ดังนั้นนอกจากซูเซียนกับหยวนปาที่มีพลังระดับสุดยอดแล้ว คนที่เหลือแทบจะไม่เกิดกรณีท้าสู้คนเดียวอีก

ไม่ใช่ไม่ได้ แต่ว่าไม่กล้า ต่อให้ชนะแล้วอย่างไร ตอนออกไปถูกศิษย์พี่ศิษย์น้องของอีกฝ่ายมาท้าสู้กลุ้มรุม สุดท้ายไม่ว่าชนะหรือแพ้ก็ไม่มีจุดจบที่ดี

ไป๋ชิงถางลุกขึ้นจากเก้าอี้หวายอยางเกียจคร้าน ขายาวกลมกลึงและเล็กเรียว ผิวของขาส่วนที่เปิดเปลือยเหมือนกับงาช้างชั้นยอด เปล่งปลั่งแวววาวราวกับหยก

“ท้าสู้กับข้าใช่หรือไม่ คิดดีแล้วหรือ ศิษย์น้องลู่จากสำนักมารกำเนิด” นางพอลุกขึ้น ก็ห้ามปรามศิษย์น้องที่คิดเข้าชิงลงมือก่อนเอาไว้

“จะลองดู” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างจริงจัง ตอนนี้เขาใช้เยื่อดำระดับฉลักษณ์ อีกฝ่ายก็อยู่ในระดับฉลักษณ์เช่นกัน แต่ว่าเป็นระดับฉลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ ถือเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดที่เหี้ยมหาญสุกงอมถึงขีดสุดในทุกๆ ด้าน

ใช้เพียงวิชาลับของสำนักมารกำเนิด เขาไม่มั่นใจว่าจะชนะอีกฝ่ายได้จริงๆ มาถึงระดับนี้แล้ว พละกำลังกับความเร็วของสภาพหยินโชติช่วงไม่อาจตัดสินแพ้ชนะอย่างเด็ดขาดได้ ดังนั้นเขาจึงได้แค่บอกว่าจะลองดู

ส่วนเหอเซียงจื่อที่ตามมาด้านหลังของเขาอึ้งงันไปแล้ว นางนึกไม่ถึงว่าลู่เซิ่งจะมาขอท้าไป๋ชิงถางอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้

“สำนักมารกำเนิด ได้ยินว่าเป็นสำนักระดับท้ายที่ใกล้จะหลุดจากร้อยเส้นสาย ลู่เซิ่งผู้นี้ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน คงจะเป็นศิษย์ที่ซ่อนตัวมาโดยตลอด” ศิษย์น้องที่อยู่ด้านข้างไป๋ชิงถางแนะนำอีกฝ่ายให้นางรู้จักเบาๆ

“อย่างนั้นก็มาเถอะ” ไป๋ชิงถางเอ่ยอย่างไม่นำพา “กำลังว่างอยู่พอดี” นางบิดขี้เกียจ เดินออกจากกลุ่มเขามยุเรศ แล้วไปหยุดยืนอยู่ตรงข้ามลู่เซิ่ง

รอบๆ ทั้งสองกลายเป็นที่ว่างอย่างรวดเร็ว

“โปรดชี้แนะ” ไป๋ชิงถางชักดาบคู่ออกมา ประกายดาบเหมือนกับดอกไม้ เปล่งแสงขึ้นด้านข้างหลายอึดใจ เร็วจนทำให้คนเห็นแค่เงาที่หลงเหลือ

ลู่เซิ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง เยื่อดำครอบคลุมทั่วร่าง สะกิดเท้าพุ่งทะยานออกไป

ฟู่ว

ไอสีดำจำนวนมากกระจายออกไปรอบข้างของเขาเหมือนกับหนวด แล้วพุ่งเข้าหาไป๋ชิงถางจากทั่วสี่ทิศแปดทาง พริบตานั้นมีปราณมารหลายสิบกลุ่มพุ่งเข้าหาไป๋ชิงถาง

ตูมๆๆๆ!

ปราณมารมากมายถูกดาบคู่สะกิดใส่แล้วระเบิดอย่างง่ายดาย เข้าใกล้ไม่ได้

ไม่ว่าจะเป็นซ้ายขวาหน้าหลังบนล่าง ปราณมารทั้งหมดก็เข้าใกล้ไป๋ชิงถางในรัศมีครึ่งหมี่ไม่ได้ นางก้าวไปด้านหน้าด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ทั้งยังมีเวลาว่างมองการต่อสู้ระหว่างซูเซียนกับหยวนปาที่อยู่ไกลออกไป

ฟู่ว!

ทันใดนั้น ใบหน้าไป๋ชิงถางแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ตั้งสมาธิในพริบตา กระโดดไปทางซ้ายเบาๆ

ตูม!

ที่ที่นางยืนอยู่ในตอนแรกระเบิดเป็นหลุมใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายหมี่ เศษหินมากมายกระเด็นออกไปใส่คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เหมือนกับกระสุน

เนื่องจากป้องกันไม่ทัน ศิษย์จากเขามยุเรศจำนวนไม่น้อยได้รับบาดเจ็บ

‘พละกำลังแข็งแกร่งมาก ทั้งยังว่องไวอีกต่างหาก’ ไป๋ชิงถางหลบหลีกการลงมืออย่างคลุ้มคลั่งของลู่เซิ่งด้วยความเร็วสูง

การเคลื่อนไหวของคนทั้งสองใช้ความเร็วสู้ความเร็ว แม้แต่ศิษย์เขามยุเรศธรรมดาก็มองตามไม่ทัน ทว่าพวกเขามีความรู้สึกไวมากต่อกระแสอากาศ ส่วนใหญ่เป็นสายเลือดรูปแบบกระแสอากาศ จึงสัมผัสการต่อสู้ของคนทั้งสองได้จากการเปลี่ยนแปลงของอากาศ

สองแขนของลู่เซิ่งเหมือนดาบ ฟันตัดเฉือน กระแทกทุบตบ ใช้กระบวนท่ามากมายไม่ขาดสาย ยังเร็วกว่าห่าฝนพายุคลั่งเสียอีก

ไป๋ชิงถางก็รวดเร็วว่องไวเช่นกัน หลบกระบวนท่าทั้งหมดของลู่เซิ่งด้วยความเร็วสูง ดาบคู่ข้างกายนางเหมือนกับมีชีวิต ทิ่มแทงปราณมารที่โอบล้อมเข้ามาจนระเบิดเอง

ป้องกันแน่นหนาชนิดไม่ปล่อยให้น้ำหยดซึม

“พละกำลังแข็งแกร่งมาก แต่ถ้าไม่โดนก็ไม่มีประโยชน์” ขณะเคลื่อนไหวเร็วถึงขีดสุด ไป๋ชิงถางยกห้านิ้วขึ้นมากลางหว่างคิ้ว ดีดออก แสงสีฟ้าจุดหนึ่งกะพริบแล้วหายไป

ฟู่ว…

กระแสอากาศขนาดใหญ่จำนวนมากระเบิดออกมาระหว่างห้านิ้ว กระแสอากาศสีขาวเหมือนกับหมอกควัน ห่อหุ้มวนเวียนรอบฝ่ามือของนาง

“วิชาลับ หมอกกำเนิด”

ผัวะ!

ลู่เซิ่งใช้แข็งชนแข็ง ปะทะฝ่ามือกับไป๋ชิงถาง

ควันสีขาวกับปราณมารพันเกี่ยวกัน ไม่นานปราณมารก็ถูกควันขาวขับสลายไปเป็นจำนวนมาก ในระดับเดียวกัน ปราณมารของสำนักมารกำเนิดสู้วิชาลับของสำนักอื่นไม่ได้จริงๆ

ปราณมารแบบนี้สุดท้ายก็เป็นสิ่งที่หยิบยืมมาจากภายนอก ไม่ได้อาศัยสายเลือดของตัวเองสร้างเป็นรูปเป็นร่างเหมือนอย่างควันขาว

ในด้านการควบคุม ปราณมารที่ยืมมาคล่องแคล่วเกาะกลุ่มสู้ควันขาวไม่ได้

ลู่เซิ่งใช้เยื่อดำกับปราณมารระดับฉลักษณ์เช่นกัน ทว่าปราณมารพอกระจาย ก็ถูกควันขาวสะกดไว้จนหมดสิ้น

ทั้งสองพันตูกันสักพัก ควันขาวรอบตัวลู่เซิ่งยิ่งมายิ่งมาก ควันขาวเหล่านี้มีอุณหภูมิต่ำสุดขีด ในนี้ยังแฝงกลิ่นหอมพิเศษบางอย่าง กลิ่นหอมมีผลสร้างภาพหลอน

โครม!

ลู่เซิ่งถูกฝ่ามือประทับใส่ทรวงอก โซเซถอยหลังไปหลายก้าว

“ท่านมีพลังแข็งแกร่ง ผู้แซ่ลู่ขอยอมแพ้” เขาประสานมือกล่าว ถ่วงเวลานานขนาดนี้ สมควรทำตามคำขอของหลี่ซิ่วอิงสำเร็จแล้วกระมัง

หลี่ซิ่วอิงไม่ได้บอกว่าต้องชนะ นี่ไม่มีใครรับประกันได้ เขาเพียงถ่วงเวลาไป๋ชิงถางไว้สักพัก ก็นับว่าทำตามสัญญาสำเร็จแล้ว

“ศิษย์น้องลู่มีพลังกล้าแข็ง ชิงถางเพียงชนะเพราะโชคช่วย” ไป๋ชิงถางลอบมองทรวงอกลู่เซิ่งอย่างกริ่งเกรง ตรงนั้นนอกจากเสื้อผ้าถูกกระแทกขาดแล้ว บนผิวหนังไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย

คนผู้นี้…หนังหนายิ่ง…

ทว่าเป้าหมายถ่วงเวลานางของลู่เซิ่งสำเร็จแล้ว

ตอนนี้การต่อสู้ของหยวนปากับเซียนซูที่อยู่ไม่ไกลแบ่งผลแพ้ชนะแล้ว ซูเซียนหน้าซีดเซียว แพ้ไปหนึ่งกระบวนท่า ขณะลู่เซิ่งถ่วงเวลาไป๋ชิงถาง หยวนปาก็ถอยกลับไปในสภาพสมบูรณ์

พริบตาที่ทราบต้นสายปลายเหตุ ไป๋ชิงถางก็แค่นเสียง กวาดตามองลู่เซิ่ง

“ที่แท้วางแผนแบบนี้ไว้”

“มีคนไหว้วานข้าไว้” ลู่เซิ่งว่า “ไปเถอะศิษย์พี่เหอเซียง” เขาหมุนตัวเดินไปยังตำแหน่งเดิมของสำนักมารกำเนิด

“อะ…อ้อ…” เหอเซียงจื่อใบหน้าสับสน ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

การต่อสู้ช่วงที่สองเป็นศึกชุลมุน เพียงแต่ว่าทุกคนรักษาหลักการผู้นำสู้กับผู้นำโดยสัญชาติญาณ

พอมาถึงระดับชั้นนี้ พลังของผู้นำก็แข็งแกร่งกว่าศิษย์คนอื่นๆ เกินไป ความจริงในช่วงที่สอง จำนวนคนไม่ส่งผลกระทบมากนัก หลักๆ ดูที่ยอดฝีมือ

ลู่เซิ่งถ่วงเวลาไป๋ชิงถาง ทำให้หยวนปาได้รับชัยชนะ นับว่าหลี่ซิ่วอิงช่วยเหลือหยวนปาล้มเขามยุเรศได้

ช่วงที่สองจบลงอย่างรวดเร็ว ไป๋ชิงถางอับอายกลายเป็นโทสะ ร่วมมือกับซูเซียนกวาดล้างสำนักทุกสำนักที่เหลือ

สามอันดับแรกที่ตัดสินออกมาแล้วได้แก่ สำนักอรุณสมุทร เขามยุเรศ รวมถึงหุบเขาหมื่นเฟิง (เมเปิล)

ผู้นำของสำนักอรุณสมุทรคือหยวนปา เขามยุเรศเป็นซูเซียนกับไป๋ชิงถาง หุบเขาหมื่นเฟิงคือเสิ่นโยวโยว

สำนักมารกำเนิด เนื่องจากไม่ชนะสักครั้ง ดังนั้นจึงอยู่อันดับท้ายๆ กับอีกสี่สำนักที่เหลือ

หลังจากศึกที่สับสนในช่วงนี้จบลง นักพรตของสำนักบัวสวรรค์ก็เริ่มนับจำนวนชัยชนะ สำนักที่ชมดูการต่อสู้ด้านนอกก็พากันเข้าลานกว้าง

ผู้บาดเจ็บถูกพาไปรักษา สำนักที่ชนะได้รับป้ายคำสั่งสำหรับเข้าร่วมการประลองช่วงต่อไป

สำนักที่เหลือซึ่งไม่ได้สามอันดับแรกได้รับป้ายเข้าชม

สำนักสวนปลอดโปร่งกับสำนักหยกกังวานเจอตัวพวกลู่เซิ่งจากสำนักมารกำเนิดแล้ว พอดีที่หลี่ซิ่วอิงและเยวี่ยเซิ่งหย่าจากหุบเขาน้ำแข็งมาด้วย

“สหายลู่ ครั้งนี้ขอบคุณท่านมาก หลังออกไปจะมีศิษย์มอบของให้ตามสัญญา” หลี่ซิ่วอิงยิ้มแฉ่ง ประสานมือให้ลู่เซิ่ง

“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งตอบกลับอย่างราบเรียบ

เยวี่ยเซิ่งหย่ายืนยิ้มอยู่ด้านข้าง ในตางามที่มองลู่เซิ่งแฝงความชื่นชม

“ไม่รู้ศิษย์น้องลู่มีแผนการอะไรต่อ” นางถามเบาๆ

“ชมการต่อสู้ต่อกระมัง รอจนอาจารย์กลับมาค่อยกลับพร้อมกัน” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างรวบรัด

“พอดีว่าหลังงานชุมนุมข้าจะไปจัดการธุระที่เมืองกระดิ่งขาวด้วย มิสู้ร่วมทางกับพวกท่านตอนสุดท้ายเป็นอย่างไร” เยวี่ยเซิ่งหย่ากล่าวอย่างปลอดโปร่ง

“ย่อมได้…” ลู่เซิ่งยังคิดจะพูดอะไรอีก

“สหายลู่!” พวกจ่านข่งหนิงก็มาถึงแล้วเช่นกัน

เพียงแต่จ่านข่งหนิงกับเฉินอวิ๋นซีมีใบหน้าเป็นกังวล ต่างจากความยินดีบนใบหน้าของพวกเหอเซียงจื่อ

“เหอเซียงรอบนี้พวกเจ้าลำบากแล้ว เขามยุเรศไม่ใช่สำนักทั่วไป ซูเซียนมีพลังแข็งกล้าสุดขีด ทั้งยังเจ้าคิดเจ้าแค้น ไปหาเรื่องนางเข้า ตอนนี้เจ้าสำนักของพวกเจ้าก็ไม่อยู่ เกรงว่าจะเกิดเรื่อง…” เฉินอวิ๋นซีกล่าวเบาๆ

“หา?” เหอเซียงจื่อพลันงุนงง สีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

“ขากลับครั้งนี้ข้าว่าสหายลู่กับเหอเซียงร่วมทางกับพวกเราเถอะ พวกเราจะร่วมทางกับสหายฟาง มีสหายฟางคอยป้องกันให้ ต่อให้เป็นซูเซียนก็ไม่กล้าล่วงเกิน” จ่านข่งหนิงแนะนำ

ฟางถานเดินเนิบนาบมาถึงพร้อมกับกับจ่านหงเซิง ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้น

“ข้าอย่างไรก็ได้ ต่อให้คนเยอะก็ไม่มีผลอะไร”

ลู่เซิ่งมองคนผู้นี้ “ไม่ต้องแล้ว พวกเราจะจัดการกันเอง” เขามีแผนการของตัวเอง ย่อมไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ

“ท่านคิดว่าเพราะติดขัดกฎของร้อยเส้นสาย ต่อให้ซูเซียนเอาเรื่องพวกท่าน ก็จะไม่รุนแรงเท่าไหร่หรือ” ฟางถานยิ้มๆ “ไร้เดียงสานัก…”

ลู่เซิ่งหยีตา รู้สึกว่าฟางถานนี้ไม่ประสงค์ดีต่อเขา

……………………………………….