บทที่ 241 ลอบจู่โจม (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 241 ลอบจู่โจม (1)

ช่วงต่อสู้ภายในจบลงแล้ว

สำนักแต่ละสำนักนำคนไปยังตำหนักสุรเสียง จุดรวมพลของงานชุมนุม

ในเทือกเขาไร้เสียง ตำหนักสุรเสียงเป็นฐานที่มั่นใหญ่สุดของสำนักบัวสวรรค์ ปกติเป็นสถานที่หลักที่เอาไว้ใช้บ่มเพาะศิษย์ระดับกลาง

เหล่าสำนักร้อยเส้นสายใช้แต่ละกลุ่มเป็นหน่วย พากันมุ่งหน้าไปยังตำหนักสุรเสียงที่อยู่ไม่ไกล

ช่วงนี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นเรื่องของระดับสามขั้นบน พวกเขาแย่งชิงอันดับสูงสุด ระดับสามขั้นกลางกับสามขั้นล่างที่เหลือมีสิทธิ์แค่ชมดูรอบๆ

ทว่าเป็นเพราะการจัดสรรทรัพยากรและผลลัพธ์จากงานชุมนุมแลกเปลี่ยนของเจ้าสำนักยังไม่ออกมา ดังนั้นสำนักทั้งหมดจึงต้องเข้าร่วมต่อจนกว่าผลลัพธ์การจัดสรรสุดท้ายจะประกาศ ดังนั้นรอบนี้จึงกลายเป็นโอกาสที่สำนักระดับสามขั้นบนและหัวกะทิจากระดับสามขั้นกลางไม่กี่คนที่เพิ่งเลื่อนระดับจะแสดงความสามารถของตัวเอง

หลังจากถามไถ่สถานการณ์ เหอเซียงจื่อก็ทราบสภาพการณ์คร่าวๆ ผ่านชัยชนะของสำนักที่อยู่รอบๆ พอทราบว่าชัยชนะของสำนักมารกำเนิดอย่างน้อยก็เกินสี่สำนัก ในที่สุดก็วางใจลง บนใบหน้าปรากฏความยินดี

เมื่อรักษาอันดับได้ เป้าหมายของลู่เซิ่งก็สำเร็จไปอย่างหนึ่ง ที่เหลือก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว

เป็นเพราะต้องรอผลลัพธ์สุดท้าย เขาจึงเข้ามายังตำหนักสุรเสียงพร้อมกับฝูงชน

คนของสำนักบัวสวรรค์จัดให้สำนักมารกำเนิดไปอยู่ในตำแหน่งเดียวกับสำนักที่คุ้นเคย ต่อจากนี้ไปก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ช่วงเวลาเคร่งเครียดหวาดวิตกก่อนหน้าจึงกลายเป็นน่าเบื่อหน่ายขึ้นมา

หลังจากรับชมการต่อสู้ของระดับสามขั้นบนที่ว่า ลู่เซิ่งก็รู้สึกเฉยๆ สุดท้ายก็เป็นระดับพันธนาการ ด้วยมุมมองสายตาของยอดฝีมือในระดับอสรพิษอย่างเขา ย่อมไม่มีความน่าสนใจแม้แต่น้อย

เขาจึงฝึกฝนในห้อง ด้านนอกคึกครื้น ที่พักกลับสุขสงบ

คนอื่นๆ รับชมความคึกคัก เขากลับยึดถืองานชุมนุมในครั้งนี้เป็นโอกาสออกมาฝึกฝน

ผ่านไปหลายวัน งานชุมนุมต้องรออย่างน้อยสองวันจึงจะจบลง หัวใจจิตมารดวงที่สามยังไร้การเปลี่ยนแปลง ด้วยความเบื่อหน่าย ลู่เซิ่งจึงคิดไปเดินเล่นด้านนอกเพื่อฆ่าเวลา

เขตภูเขาด้านหลังตำหนักสุรเสียง

พุ่มไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม พัดโยกตามลม

มองไปทัศนวิสัยเป็นสีเขียว เขียวเข้ม เขียวมรกต เขียวแก่ เขียวอ่อน สีเขียวหลายชนิดดูเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ภายใต้การขับเน้นจากน้ำตกสายน้อยสีขาว

ตำหนักสุรเสียงเป็นตำหนักใหญ่ที่สร้างบนเขาโดดเดี่ยวลูกหนึ่ง ที่ตีนเขานอกจากเส้นทางขึ้นเขาแล้ว ที่เหลือก็เป็นพื้นที่รกร้าง

นอกจากนี้ ยังมีลำธารเล็กๆ สีเขียวเหมือนแถบมรกตไหลเชี่ยวอ้อมภูเขาลงไป

ลู่เซิ่งสวมเสื้อคลุมนักศึกษาธรรมดาสีเขียวอ่อน เดินเอื่อยๆ อยู่บนเส้นทางน้อยคดเคี้ยวบนภูเขาข้างลำธาร

ทุกๆ ระยะทางหนึ่งบนเส้นทางจะปักเสาไม้ไว้เสาหนึ่ง ระหว่างเสาไม้มัดโซ่ไว้ โซ่ส่วนหนึ่งขึ้นสนิมเป็นสีแดงก่ำ

“…วังอักขระทองนภา…ชนะ…” บนยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปแว่วเสียงดังมาเลือนราง เป็นเสียงที่ดังมาจากการแข่งจัดอันดับของงานประลองใหญ่ที่กำลังจัดอยู่ในตำหนักสุรเสียง

“…”

ลู่เซิ่งไม่สนใจ เดินถึงข้างเสาไม้เสาหนึ่ง ชื่นชมลำธารสีเขียวอ่อนที่กระจ่างใสแวววาว เวลาว่างๆ เขาชอบปลดปล่อยตัวเองโดยสมบูรณ์เช่นนี้ วิธีผ่อนคลายที่หยุดคิดทุกสิ่ง คล้ายเครื่องยนต์ค่อยๆ หยุดทำงาน พักผ่อนเล็กน้อยก็สามารถยืนหยัดได้นาน

“…ตอนบ่ายเป็นการประลอง….สำนักสิบอันดับแรก ท่านไม่ไปดูหรือ” ไกลออกไปแว่วเสียงพูดคุย คล้ายเป็นสตรีคนหนึ่ง อายุไม่มากนัก

“มีอะไรน่าดู พวกเขาล้วนสูงส่ง พวกเราชมดูอย่างไรก็เปลี่ยนแปลงความแตกต่างระหว่างสถานะไม่ได้ ไม่เห็นหรือว่าคนของสำนักระดับสามขั้นล่างมากมายก็คร้านจะรับชมเช่นกัน” บุรุษอีกคนตอบกลับเบาๆ “เทียบกับไปสนใจเรื่องน่าเบื่อเหล่านี้ มิสู้พวกเรามาเอาใจกันหน่อยดีกว่า…พวกเราไม่ได้สนิมสนมกันมานานแล้ว” เสียงบุรุษค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป

“ท่านอย่าทำแบบนี้…อย่าจับ! อย่าจับตรงนั้น” สตรีนางนั้นปฏิเสธเสียงแผ่วต่ำ

ลู่เซิ่งได้สติกลับมา เงียบขรึมอยู่บ้าง กวาดตามองตามทิศทางที่เสียงลอยมา เห็นบุรุษสตรีสวมอาภรณ์สีเหลืองอ่อนสองคนกำลังโอบกอดกันพลางกระทำเรื่องอย่างว่า

เขาจำเครื่องแบบนี้ได้ ที่ตำหนักสุรเสียงแห่งนี้มีแค่คนรับใช้จึงจะสวมเสื้อผ้าที่มีสีและลักษณะแบบนี้

เขาไม่ได้ไปรบกวน ที่ได้ยินอีกฝ่ายคุยกันเป็นเพราะว่าเขามีประสาทสัมผัสแข็งแกร่งก็เท่านั้น อยู่ไกลขนาดนี้ อีกฝ่ายสัมผัสถึงเขาไม่ได้แน่นอน

ยืนอยู่ริมลำธาร เสียงตรงนั้นยิ่งมายิ่งดัง เสียงครางยิ่งมายิ่งหวาดเสียว ลู่เซิ่งจนปัญญา จึงหมุนตัวเปลี่ยนสถานที่เพื่อผ่อนคลายจิตใจต่อ

เดินตามฝั่งลำธารไปยังทิศทางของตำหนักสุรเสียงระยะหนึ่ง เรือนเล็กทำจากไม้สีดำหลายหลังเป็นกลุ่มใหญ่ก็โผล่ขึ้นมาแต่ไกล

เรือนเล็กเหล่านี้เป็นรูปแบบหน้าหนึ่งหลังสอง เรือนเล็กทุกๆ สิบกว่าหลังเชื่อมกันเป็นหน้าหนึ่งหลังสอง จัดเรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่

ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านหน้าโซ่ มือยันเสาไม้ทอดตามองไปไกล

‘บางครั้งการได้อยู่เงียบๆ สูดอากาศในป่าก็เหมือนจะไม่เลว’ เขาสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง อากาศที่สดชื่นแทรกกลิ่นต้นหญ้าไหลเข้าสู่ปอด พลันรู้สึกสบายไปทั้งร่าง

ติ๊งๆๆ

ไกลออกไปมีเสียงสิ่งของถูกลมพัดมารางๆ คล้ายเป็นเสียงใสจากการเคาะอะไรบางอย่าง

ลู่เซิ่งมองไปยังต้นเสียง ที่นั่นเป็นเส้นทางคับแคบ แทบถูกต้นหญ้าสองฟากข้างปกคลุมจนมิด ดูท่าทางไม่มีคนเดินผ่านมานานแล้ว

เสียงดังมาจากส่วนลึกของเส้นทางเล็กๆ เส้นนี้

เขาเหลียวซ้ายแลขวา ไม่เจอป้ายสัญลักษณ์ที่สำนักบัวสวรรค์ตั้งไว้ ปกติแล้วสถานที่ที่สำคัญหรืออันตราย สำนักบัวสวรรค์จะตั้งป้ายไว้ ด้านบนเขียนเรื่องที่จำเป็นต้องระวัง

ลู่เซิ่งอยู่ว่างจึงเกิดความเบื่อหน่าย หัวใจจิตมารไม่อาจกระตุ้น วัตถุมีปราณหยินก็ยังหาไม่เจอ จำเป็นต้องรองานชุมนุมจบลงถึงจะออกไปเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

เขาลังเลเล็กน้อย เดินถึงหน้าทางน้อยเส้นนั้น เปิดพุ่มหญ้ากิ่งไม้ออกดู แล้วค่อยๆ เดินเข้าไป

‘ถึงยังไงก็ว่างอยู่ ถือโอกาสชมวิวของตำหนักสุรเสียงไปด้วยเลย’

เดินไปตามทางน้อย วกซ้ายเลี้ยวขา อ้อมสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง ทะลุถ้ำถ้ำหนึ่ง ตรงหน้าลู่เซิ่งก็เปิดโล่ง

โพรงถ้ำขนาดใหญ่ปรากฏตรงหน้า สูงราวห้าหกหมี่ ด้านในมืดมิด ด้านบนสุดสลักคำว่า ถ้ำสิ้นสุด

เสียงติ๊งๆ ตอนนี้ไม่ได้ถี่เหมือนเดิม บางครั้งก็แว่วออกมาจากในถ้ำสักครั้งสองครั้ง รอบๆ ว่างเปล่าไร้ผู้คน บนพื้นมีใบไม้กองสุม เหยียบลงไปส่งเสียงดังแกรกกราก

“ที่นี่เป็นสถานที่ที่อริยะคู่บัวสวรรค์เคยอยู่เมื่อพันปีก่อน” ทันใดนั้นเสียงบุรุษกระจ่างใสและอ่อนโยนก็ดังมาจากด้านหลังลู่เซิ่ง

“อริยะคู่บัวสวรรค์หรือ” ลู่เซิ่งหมุนตัวไป เห็นบุรุษหนุ่มแปลกประหลาดสวมอาภรณ์ขาว ผมสีขาว สองตาเป็นสีแดงยืนอยู่ด้านหลัง

บุรุษหนุ่มผู้นี้สวมอาภรณ์ที่ขาวราวหิมะ ผมยาวถึงเอว ร่างกายบอบบาง ทว่าตัวสูงพอๆ กับลู่เซิ่ง

“สำนักบัวสวรรค์เคยให้กำเนิดบุคคลสั่นสะเทือนฟ้าดินสองคน นั่นก็คืออริยะคู่บัวสวรรค์” บุรุษหนุ่มเอ่ยเบาๆ

“ตอนนั้นตระกูลขุนนางเรืองอำนาจ สำนักเป็นเพียงหน่ออ่อน ภูตผีปีศาจอาละวาด อริยะคู่บัวสวรรค์ท่องทั่วใต้หล้า รับรู้ถึงความลำบากของชนชาวโลก จึงก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่าวังใบไม้คู่ขึ้นมา”

“เรื่องนี้ข้าเคยได้ยิน” ลู่เซิ่งพยักหน้า “วังใบไม้คู่คืออดีตร้อยเส้นสาย ขุมกำลังซึ่งรวบรวมตระกูลขุนนางที่ทรุดโทรมจำนวนมาก มีอำนาจยิ่งใหญ่”

“ที่นี่ก็คืออดีตของสำนักใบไม้” บุรุษหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ทว่าแรงกดดันที่สำนักใบไม้เจอตอนถือกำเนิดขึ้นมาหนักหนามาก ตอนนั้นพวกตระกูลขุนนางที่แข็งแกร่งที่สุดจับมือกันกดดัน ด้วยความจนปัญญา อริยะคู่ตัดสินใจเปลี่ยนไปปฏิบัติการอย่างลับๆ”

“สิ่งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย

ประสาทสัมผัสของเขาย่อมได้ยินแต่แรกว่ามีคนมาด้านหลัง เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ตั้งใจอำพรางฝีเท้าของตัวเอง และไม่มีเจตนาร้าย เขาจึงไม่สนใจ

บุรุษหนุ่มยิ้ม

“ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่หลิ่วบอกว่าได้เจอคนหนุ่มที่น่าสนใจคนหนี่งในตำหนักจิตหยก ดูเหมือนจะเป็นท่านแล้ว ลู่เซิ่ง ประมุขพรรควาฬแดง เจ้าสำนักอาทิตย์ชาด ขุนพลของซั่งหยางจิ่วหลี่แห่งตระกูลซั่งหยาง ผู้นำคนปัจจุบันของสำนักมารกำเนิด ข้าพูดถูกต้องหมดกระมัง”

“ถูกต้อง” ลู่เซิ่งพยักหน้า “จากนั้นเล่า” เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ตรวจสอบได้ ขอแค่ต้องการ ใครที่พอมีขุมกำลังก็ตรวจสอบได้ทั้งนั้น

“ท่านอยากทราบหรือไม่ว่า ทั้งที่มีตระกูลขุนนางกดดัน พวกเราร้อยเส้นสายเหตุใดจึงตั้งตัวเป็นอิสระได้ ไม่ถูกฮุบกลืนไป” บุรุษหนุ่มพูดอย่างเป็นมิตร

“สงสัยอยู่บ้าง แต่ยังไม่อยากรู้” ลู่เซิ่งพูดอย่างเฉยชา

“เอ่อ…” บุรุษหนุ่มอึ้งงัน คำพูดที่เตรียมจะพูดต่อ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรไปชั่วขณะ

“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดศิษย์พี่หลิ่วบอกว่าท่านน่าสนใจ”

ลู่เซิ่งตอบอย่างราบเรียบ “รู้มากไป ถ้าไม่อยากพัวพัน ก็ยากแล้ว”

“แต่ตอนนี้ท่านได้สร้างเรื่องแล้ว” บุรุษหนุ่มส่ายหน้า “สำนักไตรอริยะหมายหัวท่านแล้ว แดนเหนือในวันนี้ท่านรู้หรือไม่ว่าขุมกำลังใต้อาณัติและครอบครัวของท่านมีอันตรายขนาดไหน กล่าวตามจริงถ้าไม่ใช่ข้อมูลจากทางสำนักไตรอริยะ พวกเราคงไม่สังเกตเห็นท่าน”

“ข้าย่อมรู้ แต่ขอแค่ตระกูลซั่งหยางยังอยู่ด้านหลังข้า ก็ยังไม่ต้องกังวล” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ

“ท่านไม่อาจใช้บารมีของตระกูลซั่งหยางได้ตลอดไป ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องรู้ตัว” บุรุษหนุ่มพูดอย่างจริงจัง

“เช่นนั้นก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว ก็หาที่พึ่งพิงแห่งใหม่” ลู่เซิ่งตอบ

“ดังนั้นข้าจึงมาหาท่าน” บุรุษหนุ่มยิ้ม

“พวกท่านสู้กับสำนักไตรอริยะได้หรือ” ลู่เซิ่งย้อนถาม

“ท่านลองเดาดูสิ” บุรุษหนุ่มตอบ เขายิ้มอย่างเบิกบานใจ เหมือนกับไม่ได้พบเห็นสิ่งที่น่าสนใจมานาน ความบริสุทธิ์และความจริงใจที่ฉายออกมาจากในส่วนลึกของแววตาทำให้ลู่เซิ่งหวั่นไหวอยู่บ้าง

เขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มของใครบริสุทธิ์ได้ขนาดนี้มาก่อน

“พวกเราสำนักใบไม้เป็นพันธมิตรที่ประกอบด้วยคนที่แข็งแกร่งที่สุดจากร้อยเส้นสาย แม้แต่ในตระกูลขุนนางก็มีคนของพวกเราอยู่ด้วย” บุรุษหนุ่มเล่าต่อ

“แต่นี้ก็ไม่ได้ปฏิเสธความจริงที่ว่าพวกท่านสู้ผู้ถืออาวุธไม่ได้อยู่ดี หากท่านไม่มีผู้ถืออาวุธ ทุกอย่างก็เป็นความเพ้อฝัน” ลู่เซิ่งจี้จุดสำคัญ

“เอ่อ…” บุรุษหนุ่มชะงัก เงียบขรึมลง

เนิ่นนานให้หลัง เขาค่อยถอนใจ “ท่านพูดถูก แต่ท่านอยู่ในสำนักมารกำเนิด ทรัพยากรกับการพัฒนาที่ได้รับกลับมีไม่มากเท่าไหร่ เมื่อเข้าร่วมกับพวกเรา จะได้รับการบ่มเพาะมากกว่าเดิม พวกเรายังจะปกป้องครอบครัวและบริวารของท่านในแดนเหนือให้ มีใดไม่ดี”

“บนโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาโดยไร้เหตุผล สิ่งที่ข้าได้ สุดท้ายก็ต้องคืนกลับไป” ลู่เซิ่งส่ายหน้า

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นก็ได้ ท่านกลับไปคิดให้ดี ถ้าคิดได้แล้ว ก็มาที่นี่ได้ตลอดเวลา สำนักบัวสวรรค์ไม่ปฏิเสธผู้ใด ท่านมาได้ทุกเวลา” บุรุษหนุ่มกล่าวอย่างค่อนข้างเสียดาย

“ได้” ลู่ซิ่งก็ไม่ได้ปิดโอกาสตัวเอง มีสหายเพิ่มมาก็มีเส้นทางเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังเป็นสำนักใบไม้ ที่แล้วมาสิ่งที่สำนักใบไม้ยึดมั่นคือไม่สมควรฆ่าคนโดยไร้เหตุผล พิธีกฎเกณฑ์กับพิธีโลหิตเป็นวิธีการพัฒนาที่ชั่วร้ายและไม่ถูกต้อง พวกเขาสลัดหลุดจากอาวุธเทพศัสตรามาร สลัดหลุดจากพิธีกฎเกณฑ์และพิธีโลหิต พยายามเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเอง

……………………………………….