ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 170 ศึกท้าประลอง (1)

จอมศาสตราพลิกดารา

สายตาทั้งสองของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ราวกับเสาเพลิง เอ่ยปากถามเสียงดัง

 

เสียงประหนึ่งเพลิงลุกโหมร้อนแรงทำให้หลายคนรู้สึกปวดหู

 

แต่ทว่า เมื่อถึงเวลา ตัวละครหลักอีกคนหนึ่งของศึกท้าประลองกลับไม่ปรากฏตัวเสียที ลูกศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ที่จัดเอาไว้คอยต้อนรับหน้าประตูสำนักวิ่งกลับมารายงานแต่ละครั้งๆ ก็ไม่เห็นเคยเงาของยอดปรมาจารย์หนุ่มหลี่มู่

 

“จะต้องกลัวจนหนีไปแล้วแน่นอน”

 

“ฮ่าๆ รู้อยู่ตั้งนานแล้วว่ายอดปรมาจารย์เด็กหนุ่มอะไรนี่โม้เอาทั้งนั้น”

 

“หางโผล่แล้วสินะ”

 

ผู้ชมการประลองบางคนกระซิบกระซาบ

 

บัณฑิตหนุ่มสาวที่มาจากสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์เหล่านั้นต่างมองหน้ากัน

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“คงไม่ได้หนีไปแล้วหรอกกระมัง?”

 

“ไม่น่ากระมัง บทกลอนของเขาเขียนดีขนาดนั้น…ไม่น่าหรอก หากหนีไปชื่อเสียงของเขาก็พังหมดสิ วันหลังก็จะกลายเป็นที่รังเกียจของทุกคน”

 

ถึงอย่างไรก็เป็นคนหนุ่มสาว จิตใต้สำนึกก็ยังยืนข้างยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์อยู่ดี

 

พูดอย่างจริงจังแล้วก็ใช่ว่าพวกเขาจะไร้เหตุผล ถึงแม้บอกว่าหลี่มู่สังหารเจี่ยจั้วเหริน แต่เจี่ยจั้วเหรินก็สมควรตาย เพราะแย่งชิงชื่อเสียงของผู้อื่น ต่ำช้าเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเสียงวิจารณ์ของอาจารย์ผู้นี้ในสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ก็ไม่ได้ดีอะไร ดังนั้นไม่มีทางที่พวกเขาจะมองหลี่มู่เป็นศัตรูร่วมกันเพราะเหตุนี้จริง

 

เหลยอินอินที่เป็นสาวกของหลี่มู่ทำหน้าร้อนรน “ยอดปรมาจารย์หลี่มู่ไม่มีทางหนีไป ยังเหลืออีกห้าอึดใจสุดท้าย เขาจะต้องปรากฏตัวขึ้นแน่…” พูดแล้วนางก็ตบๆ เด็กหนุ่มคนนั้นข้างๆ “เจ้าว่าอย่างไร ยอดปรมาจารย์หลี่มู่จะกลัวคนแก่แบบนั้นเสียที่ไหนกัน”

 

เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างจริงจัง “นั่นยังต้องพูดอีกหรือ ใครกลัว คนนั้นก็เป็นเด็กอมมือสิ”

 

พูดแล้วเขาก็ยืนขึ้น เดินไปยังเวทีประลอง

 

“เอ๋? เจ้าทำอะไร? รนหาที่ตายรึ กลับมาเร็วเข้า” เหลยอินอินตะลึง ตะโกนเสียงดังลั่น

 

เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมา หัวเราะประหลาดก่อนเอ่ย “สาวงามตัวน้อย ช่วยข้าดูแลเสือดาวสักครู่สิ ข้าไปสู้ครู่เดียว สู้เสร็จเดี๋ยวกลับมา”

 

พูดจบ

 

ร่างเด็กหนุ่มกะพริบราวลำแสง จากนั้นมาถึงยังเวทีประลองตอนนี้ในชั่วพริบตา

 

นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของเวลานัดประลอง

 

เสียงฮือฮาดังอื้ออึงไปทั่วทั้งสนาม

 

เหลยอินอินและสหายน้อยทั้งหลายของนางปากอ้าตาค้างกันทั้งนั้น

 

เขา…เขาก็คือยอดปรมาจารย์หลี่มู่?

 

เมื่อครู่พวกเรา…พูดคุยกับยอดปรมาจารย์หลี่มู่นานถึงขนาดนี้เลย?

 

“อ๊ายยยยยย…” เหลยอินอินกรีดร้องขึ้นมา

 

……

 

“เจ้าหนุ่ม เจ้าก็คือหลี่มู่?” ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เอ่ย “คนอวดดีที่สังหารเหลนของข้าโดยไร้เหตุผล?”

 

หลี่มู่แยกเขี้ยว เผยให้เห็นฟันขาว “ไร้เหตุผล? ผู้เฒ่าท่านนี้ ข้าว่าท่านพูดผิดแล้ว ข้าเป็นจอมยุทธ์ที่ช่วยประชาชนขจัดภัยร้ายต่างหาก…พวกเจ้าโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์สร้างวังใต้ดิน แอบใช้คนเป็นๆ ฝึกกระบี่ มือเปื้อนคาวเลือด ไม่ว่าใครก็อยากจะฆ่าทิ้งทั้งนั้น” ไม่ว่าอย่างไร อ้างคุณธรรมให้สูงส่งก่อนค่อยว่ากัน วิธีนี้เป็นไม้เด็ดที่รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้งของชาวเน็ตที่สู้ศึกน้ำลายในกระทู้ออนไลน์บนโลกเชียวนะ

 

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อพูดประโยคนี้ออกไป รอบข้างก็ตื่นตะลึงฮือฮาขึ้นมา

 

มีเรื่องแบบนี้ด้วย?

 

โดยเฉพาะคนหลายหมื่นคนในสนาม นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องแบบนี้

 

กลับเป็นแขกผู้มีเกียรติบนเวทีชมการต่อสู้ที่ข่าวคราวว่องไว จึงพอจะรู้คร่าวๆ บ้างแล้ว ดังนั้นจึงไม่ประหลาดใจ

 

“หึ เด็กเมื่อวานซืน พูดจาเหลวไหล กลับขาวเป็นดำ” เห็นได้ชัดว่าธรรมจารย์กระบี่สวรรค์ขาดความอดทน “ลงมือเถอะ วันนี้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตของเจ้า ข้าให้โอกาสเจ้าลงมือครั้งหนึ่ง”

 

“รีบร้อนอะไรกัน” หลี่มู่พูดพร้อมหัวเราะคิกคัก “ตกลงกันแล้วนะ นัดท้าประลองครั้งนี้เป็นศึกที่มีของเดิมพัน ตำราลับ ‘กระบี่สวรรค์สิบหกท่า’ เจ้าเตรียมเอาไว้แล้วหรือยัง?”

 

“หึ คำพูดของข้าคำไหนคำนั้น” สายตาของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ฉายแววเหี้ยมโหด หัวเราะเสียงเย็นก่อนกล่าว “ตำราลับอยู่กับตัวข้า เกรงว่าเจ้าจะมีชีวิตได้เห็น แต่ไม่มีชีวิตได้ฝึก”

 

“อืม เช่นนั้นก็ดี” หลี่มู่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่เจ้ารักษาสัญญา ข้าช่วยเจ้าคิดเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าดอกไม้หน้าหลุมศพของเจ้าปีหน้าจะวางดอกอะไรดี…”

 

ฟุ่บ!

 

“รนหาที่ตาย” ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์โกรธจัด

 

เมื่อยกมือชี้ออกไป แสงกระบี่สีแดงเข้มสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเขา รวดเร็วดั่งสายอัสนี โจมตีไปยังคอหอยของหลี่มู่ทันที

 

ผู้เชี่ยวชาญแค่ลงมือก็รู้ว่ามีดีหรือไม่

 

การโจมตีนี้ ปราณกระบี่ปะทุจนสามารถทะลุเหล็กทะลุหินได้

 

หลี่มู่งอนิ้วดีด มีลมพายุพัดกวาดออกมาเช่นกัน เป็นวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ นั่นเอง พลังดัชนีปะทะเข้ากับแสงกระบี่ ท้องฟ้าเกิดระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ จากนั้นก็สลายไป

 

“คนแก่มักขี้หงุดหงิด” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ระวังจะร้อนในนา…ได้ของกำนัลมาไม่ให้กลับไปจะเป็นการเสียมารยาท”

 

เขางอนิ้วดีดออกไป

 

กลางท้องฟ้า พลังโปร่งแสงสี่สายแปลงเป็นลูกศรแหวกอากาศออกไป

 

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์แค่นเสียงหยัน อ้าปากพ่นปราณกระบี่สีแดงเข้มออกมาสายหนึ่ง

 

แสงกระบี่กะพริบวาววับ เปลี่ยนแปลงไม่หยุด ราวกับดาวตกหมุนควงโจมตีออกไปทำลายลูกศรทั้งสี่ของหลี่มู่ พลังไม่ตกลงเลย การเคลื่อนไหวประหลาด เดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดหม่น วูบวาบไม่หยุดหย่อน จากนั้นเปลี่ยนวิถีโจมตีไปยังหลี่มู่

 

“หล่อเลี้ยงปราณกระบี่ในปอด?”

 

หลี่มู่สีหน้าตื่นตะลึง คิดไม่ถึงว่าธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์จะฝึกปราณกระบี่ถึงขั้นนี้แล้ว

 

แต่ว่าก็แค่ตะลึงนิดหน่อยเท่านั้น

 

เขาไม่มองแม้แต่น้อย เมื่อคว้าอากาศตามอารมณ์ก็จับแสงกระบี่ที่กะพริบไม่หยุดและพุ่งมาโจมตีเอาไว้ได้ แสงกระบี่ดิ้นรนราวมีจิตวิญญาณ นิ้วทั้งห้าของหลี่มู่ออกแรงเพียงเล็กน้อยก็บีบมันจนแหลกละเอียดสลายไปดุจแสงดาวสีแดงที่เป็นเศษเล็กเศษน้อย

 

“ผู้เฒ่า จริงจังหน่อยเถอะ เอาความสามารถที่แท้จริงออกมา ลูกไม้ต่ำชั้นไร้เกียรตินี้ชวนให้ข้าผิดหวังนะ” หลี่มู่แยกเขี้ยวยิงฟัน เย้ยหยันไม่เลิก “หรือว่าธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ที่เมื่อยี่สิบปีก่อนพลังสะเทือนไปทั้งเมืองฉางอันแก่แล้วจริงๆ?”

 

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ยิ้มเย็น “ได้”

 

เขาพลิกมือจับกระบี่ยาวสี่แฉกทรงประหลาดที่ปักอยู่บนผืนดิน แต่ไม่ได้ดึงออกมา แค่ทำให้กระบี่สั่นไหวเล็กน้อย

 

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!

 

แสงกระบี่นับไม่ถ้วนแหวกผืนฟ้าออกไปทันที ทิ้งรอยเป็นทางไว้เสมือนดาวตก

 

ปราณกระบี่สำแดงเดชไปทั่วทั้งลานประลองทันใด แสงกระบี่แต่ละสายราวกับกระบี่ของจริงเป็นเล่มๆ หมุนควงพลางแปลงเป็นพายุพัดกวาดออกไป ความเร็วไปถึงขีดสูงสุด ภายในระยะสามจั้งประหนึ่งเป็นนรกคมกระบี่ที่จะสับทุกอย่างให้ละเอียดอย่างไรอย่างนั้น

 

“เยี่ยม”

 

หลี่มู่ยิ้มร่า

 

นี่สิถึงจะเป็นพลังของยอดปรมาจารย์ที่แท้จริง

 

นี่ถึงจะเป็นคู่ต่อสู้ที่เข้าท่า

 

ในที่สุดเขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดๆ แล้ว

 

“ยังไม่พอ…หวังว่าเจ้าจะรับมือข้าได้หลายกระบวนท่าหน่อย” หลี่มู่ตั้งท่า โคจรท่าเริ่มต้นของ ‘หมัดยุทธ์แท้’  พลังอันน่าหวาดกลัวหมุนวนในร่าง จากนั้นหมัดหนึ่งก็ซัดออกมา

 

พลังในกายอันแข็งแกร่งระเบิดปะทุ ตราหมัดมหึมาพุ่งออกมากลางท้องฟ้า

 

ปราณหมัดราวพายุหมุน ทุกที่ที่หอบม้วนผ่านไป เงากระบี่ทั้งหมดจะสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยภายใต้หมัดนี้ ราวกับราดน้ำเดือดลงไปบนเกล็ดหิมะ

 

ตูม!

 

หลี่มู่โจมตีออกมาอีกหมัดหนึ่ง

 

พลังหมัดดุจมังกร ปราณหมัดดุจเสา พุ่งออกมาเสียงดังกระหึ่ม ทรงพลังดุดันราวจะแทงฟ้าดินให้ทะลุ

 

หมัดแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่พลังมนุษย์จะโจมตีออกมาได้

 

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เปลี่ยนสีหน้า นี่ก็คือวิชาหมัดที่ทำลายเขาวงกตใต้ดินอย่างนั้นรึ? ไม่ใช้กำลังภายใน อาศัยแค่พลังกายเนื้อก็กระตุ้นพลังที่น่ากลัวเช่นนี้ออกมาได้…น่ากลัวเหลือเกิน

 

สองเท้าของเขายืนมั่นคง พลิกมือดึงกระบี่ยาวทรงประหลาดที่ปักอยู่บนพื้นแล้วฟันออกไป

 

แสงกระบี่ปะทุตรงเข้ามา

 

กระบี่มายายาวหลายสิบจั้งฟาดฟันไปในอากาศ ผ่าปราณหมัดและเสาหมัดออกเป็นสองท่อน

 

กระแสพลังปั่นป่วนระเบิดออกกลางท้องฟ้า

 

รอบเวทีประลองขนาดใหญ่มีม่านแสงสีดำจางๆ ชั้นหนึ่งทะลักออกมาสลายคลื่นพลังที่หลงเหลือจากการต่อสู้ ทำให้ผู้ชมที่อยู่ในสนามข้างล่างเวทีไม่ได้รับบาดเจ็บ

 

นี่แค่ผ่านไปสามกระบวนท่าสั้นๆ เท่านั้น ผู้ชมรอบด้านต่างชมอย่างตื่นตาตื่นใจกันแล้ว

 

“นี่ก็คือพลังของยอดปรมาจารย์อย่างนั้นรึ?”

 

“แสงเทพลอยล่องร่ายระบำ ราวภาพความฝันดุจภาพมายา นี่มันเทพเซียนประลองกันอยู่ชัดๆ”

 

“พลังฝึกวิถียุทธ์ไปถึงขั้นสูงสุดจะมีพลังเช่นนี้เชียวรึ สองคนนี้แค่เคลื่อนไหวไปตามอารมณ์ก็ทำลายภูเขาตัดแม่น้ำได้แล้วกระมัง”

 

“เทพเซียนประลองยุทธ์!”

 

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังไปทั่ว

 

ศึกของยอดปรมาจารย์ไม่ได้เกิดขึ้นในเมืองฉางอันมานานมากแล้ว โดยเฉพาะศึกท้าประลองต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ ได้เห็นผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายทั้งสองปะทะฝีมือด้วยตาตัวเอง สำหรับจอมยุทธ์ทั้งหลายแล้วเป็นเรื่องที่เฝ้าใฝ่หาแม้ในฝัน

 

ผู้ชมการต่อสู้หลายหมื่นคน ร้อยทั้งร้อยล้วนตื่นตะลึง

 

ยอดปรมาจารย์ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว

 

เหลยอินอินดูตาไม่กะพริบ ตอนนี้หัวใจใกล้จะหลุดออกมาแล้วเต็มที นางรู้สึกสะใจ แต่ก็กังวลเป็นอย่างยิ่ง จึงถามขึ้นติดๆ กัน “นี่ๆๆ มองออกรึยัง สามกระบวนท่าแล้วๆ ใครชนะ?”

 

สหายข้างๆ ต่างส่ายหน้า

 

ศึกของยอดปรมาจารย์เป็นสิ่งที่พวกเขาดูแล้วเข้าใจเสียที่ไหน

 

บนเวทีชมการต่อสู้มีเสียงกระซิบกระซาบดังไปทั่วเช่นกัน

 

ยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงย่อมมองร่องรอยอะไรบางอย่างออก

 

กลับมาหลังจากผ่านไปยี่สิบปี พลังของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ยิ่งน่าครั่นคร้ามกว่าตอนแรก แต่จากการประมือสามกระบวนท่านี้ก็เห็นได้ชัดว่าหลี่มู่ควบคุมเขาเอาไว้ พลังของยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์ล้ำลึกเกินหยั่ง ไม่เห็นจุดสิ้นสุด

 

‘ศึกต่อสู้ของพยัคฆ์กับมังกร’

 

‘แพ้ชนะคาดเดายาก’

 

‘ต้องดูว่าแต่ละฝ่ายจะมีไพ่ตายอะไรแล้ว’

 

ไช่จือเจี๋ย โจวอีหลิง และผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ต่างวิจารณ์ในใจ

 

พวกเขาเปลี่ยนคำวิจารณ์ก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าถึงแม้สามกระบวนท่านี้คือการหยั่งเชิงซึ่งกันและกันประหนึ่งอาหารเรียกน้ำย่อย แต่ท่าทีที่หลี่มู่แสดงออกมาคล่องแคล่วเชี่ยวชาญมาก ดูสบายกว่าที่คิดเอาไว้ ในด้านรัศมีอำนาจจึงเหนือกว่าธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เล็กน้อย

 

หนิงหรูซานนั่งอยู่ข้างๆ เจ้าเมืองหลี่กัง ใบหน้าทั้งสองไร้อารมณ์

 

กลับเป็นคู่สามีภรรยาหนิงจิ้งและตงเสวี่ยที่เคร่งเครียดสุดขีด พวกเขาดูไม่เข้าใจ ในใจอดปาดเหงื่อแทนหลี่มู่ไม่ได้

 

‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงใบหน้าประดับรอยยิ้มบาง ท่าทางมั่นใจยิ่ง

 

ประธานสมาพันธ์การค้าโจวเต๋อเต้ามีสีหน้าลังเล ตอนนี้เขาไม่แน่ใจแล้วว่าตนเองหวังให้ใครชนะกันแน่ หากหลี่มู่ชนะก็จะรักษาชีวิตของลูกชายไว้ได้ หากธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ชนะ หนึ่งหมื่นตำลึงทองก็จะรักษาเอาไว้ได้…พ่อค้าเห็นแก่ผลประโยชน์ ไม่เห็นค่าคนในครอบครัว

 

ในขณะเดียวกัน บนหอสดับเซียนของหน่วยเลี้ยงรับรองที่ถนนกลิ่นกำจาย นางคณิกาอันดับหนึ่งฮวาเสี่ยงหรงผู้มีชื่อเสียงขจรขจายทั่วเมืองฉางอันยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองไปทางโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ ใบหน้างามพิสุทธิ์ดุจหยกที่ทำให้ชนชั้นสูงและผู้มีอำนาจในเมืองฉางอันนับไม่ถ้วนต่างเฝ้าฝันหาฉายแววกลัดกลุ้ม

 

ซินเอ๋อร์วิ่งตึกๆ ขึ้นมา เอ่ยกระหืดกระหอบว่า “มีข่าวมาแล้ว เริ่มประมือกันแล้วเจ้าค่ะ”

 

………………………………………