ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 171 ศึกท้าประลอง (2)

จอมศาสตราพลิกดารา

ฮวาเสี่ยงหรงถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว “ผลแพ้ชนะเป็นอย่างไร?”

 

“เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น ผลแพ้ชนะจะออกมาได้เสียที่ไหนกัน…” ซินเอ๋อร์เอ่ย “น่าจะต้องสู้กันสักสองชั่วยามได้กระมังเจ้าคะ ถึงอย่างไรก็เป็นยอดปรมาจารย์” อันที่จริงนางไม่รู้เรื่องวรยุทธ์ พูดส่งเดชไปล้วนๆ

 

“คุณชายหลี่เขา…น่าจะชนะกระมัง?” ฮวาเสี่ยงหรงเอ่ยเหมือนพูดกับตัวเอง และก็เหมือนรอคำตอบยืนยันของซินเอ๋อร์

 

ซินเอ๋อร์พยักหน้ายืนยันมั่นใจ “แน่นอนอยู่แล้ว นั่นเป็นยอดปรมาจารย์หนุ่มที่เชี่ยวชาญทั้งบุ๋นและบู๊เชียวนะเจ้าคะ” นี่ก็เดาส่งเดชเช่นกัน แน่นอนว่าเพื่อปลอบใจคุณหนูของตน วันสองวันมานี้ในเมืองฉางอันลือเรื่องศึกตัดสินของยอดปรมาจารย์ทั้งสองกันให้ทั่ว เรื่องอัตราการวางเดิมพันของบ่อนพนันนางก็พอจะรู้มาบ้าง ไม่มีใครตั้งความหวังกับคุณชายหลี่มู่เลย ดังนั้นนางจึงไม่บอกฮวาเสี่ยงหรง

 

“คุณหนู ท่านคงไม่ได้ชอบคุณชายหลี่เข้าจริงๆ หรอกกระมัง?” นางหยอกล้อคิกคัก เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

 

ฮวาเสี่ยงหรงหน้าแดง พูดขึ้นว่า “คุณชายหลี่ไม่ว่าจะเป็นกลอนกวีหรือวรยุทธ์ล้วนไร้เทียมทาน ข้ากลัวว่าข้า…จะไม่คู่ควรกับเขา”

 

ถึงแม้จะเป็นนางคณิกาชื่อดังของหอคณิกาที่มีหน้ามีตา คนนับไม่ถ้วนตามพะเน้าพะนอเอาใจ ปกติคุณธรรมสูงส่งทั้งยังหยิ่งในศักดิ์ศรี ทว่านี่ไม่ได้แสดงถึงความน้อยเนื้อต่ำใจหรืออย่างไร ไม่ว่าเป็นนางคณิกาชื่อดังของหอคณิกาคนใดก็แค่ใช้ความงามรับใช้คนเท่านั้น ยามอ่อนเยาว์งดงามก็เฟื่องฟูรุ่งเรือง แต่เมื่อแก่ชราก็เงียบเหงาผู้คนร้างหาย ชื่อเสียงดีอีกไม่ได้ สุดท้ายก็เป็นแค่ของเล่นของบุรุษ

 

นางคณิกาหลายคนทำตัวคุณธรรมสูงและหยิ่งในศักดิ์ศรีก็เพื่อปณิธานและข้อจำกัดบางอย่าง ยอมหักไม่ยอมงอ แต่ความหยิ่งทะนงนี้ก็มีแค่เพื่อปกปิดความน้อยเนื้อต่ำใจที่ซ่อนอยู่ลึกในใจทั้งนั้น

 

ฮวาเสี่ยงหรงก็คือหนึ่งในนั้น

 

วันนั้นหลังจากที่ร่ำลากัน นางก็คิดทบทวน ยิ่งคิดในใจยิ่งหวาดหวั่น

 

เพราะนางพบว่านอกจากใบหน้าและการร่ายรำ นางก็ไม่มีดีอะไรอีก

 

สตรีเช่นนี้มีดาษดื่นทั่วไป จะคู่ควรกับชายหนุ่มสง่างามที่ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วเมืองฉางอันเช่นนั้นได้อย่างไร?

 

ความคิดของสตรีราวบทกลอนราวภาพวาด ดุจความฝันดุจเมฆหมอก อารมณ์เปราะบางเป็นที่สุด

 

ซินเอ๋อร์เอ่ยอย่างโมโห “คุณหนู ท่านพูดอะไรน่ะเจ้าคะ สตรีที่เปี่ยมไปด้วยความรู้และความสามารถ ทั้งยังงามล่มชาติล่มเมือง ในเมืองฉางอันหาคนที่สองไม่ได้แล้ว ท่านจะดูแคลนตัวเองไปไย ข้าว่าคุณชายหลี่ชอบพอท่าน แววตาที่เขามองท่านนั้นต่างออกไป”

 

ระหว่างสนทนา แม่เล้าไป๋เซวียนก็เข้ามา

 

นางมาอยู่เป็นเพื่อนฮวาเสี่ยงหรง

 

“แม่นางวางใจเถอะ ข้าให้คนจับตาดูสถานการณ์ที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์แล้ว เมื่อมีข่าวจะต้องส่งข่าวมาทันที”

 

ตอนนี้ ท่านแม่ไป๋เซวียนใส่ใจฮวาเสี่ยงหรงเป็นพิเศษ

 

หากมองจากมุมของหอสดับเซียน แน่นอนว่านางหวังว่าหลี่มู่จะชนะ

 

……

 

“ยังไม่พอ ยังอ่อนแอเกินไป…”

 

ร่างของหลี่มู่เสมือนสายฟ้า หมัดหนึ่งซัดไปยังกระบี่ยาวมีสี่แฉกทรงประหลาด

 

หมัดนี้แฝงพลังที่ซ้อนทับเป็นชั้นๆ

 

ทักษะการส่งพลังกายของหลี่มู่ไปถึงขั้นเลิศล้ำไร้เทียมทานแล้ว เพียงแค่เสี้ยวพริบตาที่หมัดนี้สัมผัส พลังอันน่าครั่นคร้ามก็โจมตีออกไปเป็นระลอกๆ ไม่หยุดดุจคลื่นมหาสมุทรคลั่ง

 

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์หน้าแดง กระบี่ยาวเกือบหลุดจากมือ

 

ภายใต้ความตกใจ กำลังภายในเปลวไฟทั่วร่างเขาลุกโหม มือซ้ายกดไว้ที่ปลายกระบี่ยาว สองไหล่ออกแรง แต่กลับไม่อาจต้านทานพลังบ้าระห่ำเช่นนั้นได้ ร่างจึงถอยหลังไปไม่หยุด ขาทั้งสองทิ้งรอยยาวสองทางไว้บนเวทีประลอง เศษหินกระเด็นกระดอนทั่ว

 

ถอยออกมาถึงเจ็ดจั้ง เขาถึงจะหยุดร่างเอาไว้ได้

 

ทว่าหลี่มู่มาถึงเบื้องหน้าของเขาในช่วงเวลาเดียวกันราวกับเงาตามตัว หมัดหนึ่งโจมตีเข้ามาอีก

 

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เสียจังหวะ ไม่อาจหลบหลีกไปไหน ทำได้แค่ฝืนรับเท่านั้น

 

ตูม!

 

พลังอันน่าสะพรึงกลัวระเบิดออกอีกครั้ง

 

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ถูกซัดออกไปนอกเวทีประลองประหนึ่งกระสอบทราย

 

“อะไรกัน?”

 

“เป็นไปได้อย่างไร?”

 

“ผู้แข็งแกร่งอาวุโสต้านรับไม่ได้?”

 

“หลี่มู่ยังไม่ได้ใช้กำลังภายในก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว…นี่มันตัวประหลาดชัดๆ”

 

รอบข้างแตกตื่นฮือฮา

 

ภาพเช่นนี้ช่างเหนือความคาดหมายของทุกคนยิ่งนัก ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ที่อยู่ในเดิมพันส่วนมากของบ่อนพนันต่างๆ แต่เดิมควรจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มกลับโดนข่มเอาไว้อย่างสิ้นเชิง และถูกโยนออกมาราวกับกระสอบทราย?

 

ชื่อเสียงของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ไม่สมคำร่ำลือ?

 

หรือว่ายอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์ล้ำลึกเป็นคมในฝักกันแน่?

 

เสียงฮือฮาในสนามรับส่งกันดั่งคลื่นในทะเลกระเพื่อม

 

กลับกันบนเวทีชมการประลอง สีหน้าของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายยังคงเรียบนิ่ง

 

กระทั่ง ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงใบหน้ายังแฝงด้วยรอยยิ้ม ไม่มีท่าทีเป็นห่วงบรรพชนของตนแม้แต่น้อย

 

ใบหน้าเจ้าเมืองหลี่กัง หนิงหรูซาน และคนอื่นๆ ต่างไร้คลื่นอารมณ์

 

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ ฉายากระบี่สวรรค์สองคำนี้ความสามารถล้วนอยู่ที่กระบี่ ตอนนี้กระบี่สวรรค์ยังไม่ได้สำแดงเดช กระบวนท่ากระบี่เหินหาวที่ชื่อลือไปทั่วเมืองฉางอันก็ยังไม่ได้ใช้ ยังห่างจากผลแพ้ชนะอีกเยอะนัก ในสายตาของพวกเขา พลังที่หลี่มู่แสดงออกมาแข็งแกร่งกว่าที่คิดเอาไว้อยู่บ้าง แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เข้าสู่ขั้นยอดปรมาจารย์แล้ว หากแม้แต่พลังแค่นี้ยังไม่มี จะนับว่าเป็นยอดปรมาจารย์อะไร?

 

เพียงแต่หลี่มู่จะรักษาการโจมตีแบบนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่?

 

การระเบิดของพลังกายเนื้อใช้พลังกายหมดไปมหาศาล ต่อให้เป็นยอดปรมาจารย์ก็ไม่มีทางอยู่ได้ตลอดรอดฝั่งหรอกกระมัง?

 

หากผลาญพลังต่อไปเช่นนี้ ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ยังไม่ทันแพ้ หลี่มู่คงทำตัวเองเสียท่าก่อน

 

กลางท้องฟ้า จู่ๆ ร่างของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ก็หายวับไป แล้ววแปลงเป็นแสงกระบี่กลับมายังเวทีประลองอีกครั้ง ดึงระยะห่างจากหลี่มู่เอาไว้

 

“กระบี่สวรรค์สิบหกท่า…”

 

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เลิกคิ้วหนาขึ้น ก่อนจะโคจรไฟแท้ กระบี่ยาวทรงประหลาดลอยขึ้นมาอยู่ข้างหน้า มือทั้งสองตั้งท่าประสานพลัง ฝ่ามือเล็งไปยังด้ามกระบี่กลางอากาศ จากนั้นกำลังภายในสีแดงเข้มปะทุ มือทั้งสองคล้ายกุมดวงอาทิตย์เอาไว้ กลิ่นอายพลังที่ทั้งแข็งแกร่งและน่าครั่นคร้ามระเบิดออกมาทันที

 

เพียงชั่วพริบตา กระบี่ยาวสี่แฉกแปลกประหลาดก็แบ่งจากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด แปดเป็นสิบหก…

 

เพียงเสี้ยวขณะ กระบี่ยาวมากมายก็ปรากฏออกมาแน่นขนัดอยู่เบื้องหน้าเขา

 

“ท่ากระบี่…ระเบิดสังหาร!”

 

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์รวบรวมพลังสำเร็จ มือทั้งสองก็ทำท่าผลักออกไป

 

กระบี่ยาวสีแดงเข้มที่กระจายทั่วฟ้ากวาดม้วนตรงไปรัดสังหารหลี่มู่ราวกับพายุฝน

 

สีหน้าของเขาเหี้ยมเกรียมและดุร้าย

 

นี่ต่างหากถึงจะเป็นพลังที่แท้จริงของเขา

 

กระบี่สวรรค์สิบหกท่าอยู่ในมือของเขา เหมือนมีชีวิตและจิตวิญญาณก็ไม่ปาน

 

บนเวทีชมการต่อสู้ เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายต่างเผยอาการตะลึง

 

“ท่ากระบี่ระเบิดสังหารเยี่ยมยอดยิ่งนัก…ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์แข็งแกร่งกว่ายี่สิบปีก่อนมาก” ดวงตาของยอดปรมาจารย์คนหนึ่งที่เคยประมือกับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ฉายประกายคมกริบ รู้สึกประทับใจ

 

ทว่า หลี่มู่ที่อยู่บนเวทีประลองกลับสีหน้าเรียบเฉย

 

“หกดาบวายุเมฆา…ชักดาบสะบั้น” หลี่มู่ยังคงรักษาท่าเริ่มต้นของ ‘หมัดยุทธ์แท้’ เอาไว้ มือขวาวาดไปที่กายท่อนล่างฝั่งซ้าย ข้อมือบิดเข้าด้านในทำมือเหมือนดาบ ย่อตัวลงเล็กน้อยเหมือนดาบยาวเก็บเข้าฝัก จากนั้นทำท่าชักดาบ   วาดไปยังด้านขวาบน

 

เสี้ยวพริบตานั้น ดาบหนึ่งฟาดฟันออกมา ท่าทางทั้งหมดไหลลื่นราวน้ำไหลเมฆคล้อย สำแดงท่าออกมาในรวดเดียว

 

เสียงดาบเคร้งๆ ดังขึ้นกลางอากาศ

 

หลังจากดาบมือกระบวนท่านี้ของหลี่มู่โจมตีออกไป เงาดาบที่ยาวถึงเก้าจั้งฟันลงไปยังพายุแสงกระบี่ของท่ากระบี่ระเบิดสังหาร

 

ตูม!

 

เสียงอากาศระเบิดดังสนั่นแก้วหูไม่ขาดสาย

 

เงามายาของปราณดาบราวมีดร้อนๆ หั่นลงไปบนเนย ผ่าทะลวงอาณาเขตพายุแสงกระบี่ของท่ากระบี่ระเบิดสังหาร กระบี่นับไม่ถ้วนแหลกสลาย ประหนึ่งเศษคมมีดพุ่งกระจายสาดออกไปรอบทิศ มีเพียงเบื้องหน้าของหลี่มู่ที่ว่างเปล่า ปราณดาบส่งเสียงเคร้งดังกังวาน แสงกระบี่โจมตีเข้ามาได้ยากนัก

 

กระบี่นี้นับว่าถูกทำลายลงแล้ว

 

“กระบี่สวรรค์สิบหกท่า…กระบี่ทิ่มแทง” ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์หน้าไม่เปลี่ยนสี กระบี่ยาวสี่แฉกทรงประหลาดที่ลอยอยู่ข้างหน้าสั่นไหวเล็กน้อย ฝ่ามือของเขาผลักไปยังด้ามกระบี่ทันที กระบี่ยาวแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสายหนึ่งทิ่มแทงตรงไปยังหลี่มู่

 

กระบี่นี้แตกต่างกับท่ากระบี่ระเบิดที่โจมตีสังหารอย่างมืดฟ้ามัวดินโดยสิ้นเชิง ภายในรวบรวมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้แล้วระเบิดพลังออกในชั่วพริบตา หนึ่งกระบี่พุ่งแทงมาหมายจะโจมตีจุดอ่อน

 

“ฮ่าๆๆ ดี”

 

หลี่มู่ดีใจจนเนื้อเต้น

 

เขาตกลงท้าประลองกับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ย่อมทำเพื่อฝึกฝนตัวเอง ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ยิ่งสำแดงพลังแข็งแกร่ง ในใจของเขาก็ยิ่งตื่นเต้น กระบี่สวรรค์สิบหกท่ายิ่งเยี่ยมยอด เขาก็ยิ่งดีใจ เพราะจะยกระดับตัวเองได้โดยการสำรวจความล้ำลึกของกระบวนท่าคู่ต่อสู้

 

ความรู้ที่ได้มาจากตำรานั้นตื้นเขิน หากอยากเชี่ยวชาญเรื่องนั้นๆ จำต้องลงมือ

 

อยากจะยกระดับพลังยุทธ์ของตัวเองให้ได้เร็วที่สุด ก็จำต้องสัมผัสกับอานุภาพของกระบวนท่านั้นด้วยตัวเอง

 

“หกดาบวายุเมฆา…ตัดอสุนี”

 

หลี่มู่หัวเราะลั่น มือขวายังคงเรียงชิดดุจดาบ ท่วงท่าหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะฟาดฟันออกมา

 

เงาปราณดาบมายาปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

 

แต่ว่าครั้งนี้ กระบี่ยาวสี่แฉกทรงประหลาดปะทะกับปราณดาบมายาแล้วพลังกลับไม่ลดลงเลย มันพุ่งเข้ามาในบริเวณรอบกายหลี่มู่สามจั้ง แต่เขาก็เตรียมตัวเอาไว้นานแล้ว ฝ่ามือตัดอสุนีฟันไปยังคลื่นเสียงจากตัวกระบี่ เสียงที่ราวกับเสียงโลหะประสานดังกึกก้อง กระบี่ยาวสี่แฉกทรงประหลาดสั่นวู้มๆ แล้วกระเด็นพุ่งกลับไปหาธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์

 

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์หน้าเปลี่ยนสี ร่างขยับวูบพลิกมือคว้าด้ามกระบี่เอาไว้ พลังสะท้อนกลับมหาศาลจากตัวกระบี่ดุจขุนเขาถล่มกดทับมา ทำให้เขาแทบจะจับอาวุธของตัวเองไว้ไม่อยู่ ร่าโซเซถอยหลังไป

 

ส่วนหลี่มู่ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสนี้โจมตีกลับ

 

มือขวาของเขา นิ้วก้อยและนิ้วชี้เนื้อแตก เลือดสดแต่ละหยดๆ ไหลอาบลงมา

 

“กระบี่สวรรค์ของข้าหลอมขึ้นจากเหล็กจากนอกพิภพ แข็งแกร่งไร้เทียมทาน เจ้ากลับใช้แค่ฝ่ามือต้านทานไว้ ช่างไม่รู้จักประมาณตน รนหาที่ตายจริงๆ” ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เห็นฝ่ามือของหลี่มู่มีเลือดไหล ก็เลิกคิ้วหัวเราะเสียงเย้ยหยัน

 

หลี่มู่ยกมือขวาขึ้นมา เป่าไปยังบริเวณที่เป็นแผลเบาๆ รอยเลือดที่ไหลอยู่กลางฝ่ามือก็ไหลย้อนกลับเข้าไปในบาดแผล จากนั้นสมานตัวด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า ไม่มีแม้แต่รอยแผลเป็น

 

เขาแยกเขี้ยวหัวเราะ พูดขึ้นว่า “คนเฒ่าคนแก่รู้น้อยโลกแคบ ฝ่ามือของข้าเคยได้สัมผัสกับผ้าพันคอแดง เคยแบกธงเยาวชนกองหน้า เคยได้ติดผ้าสามแถบ…นั่นคืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า การทำลายไม้เท้าเหล็กขยะจากนอกโลกของเจ้าเป็นแค่เรื่องไม่ช้าก็เร็ว”

 

“ดื้อด้านนัก ในเมื่อเจ้าดึงดันไม่ยอมใช้อาวุธก็อย่าหาว่าข้าไร้เมตตา” ธรรมาจารย์กระบี่ไม่รู้เลยว่าหลี่มู่กำลังพูดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจสังหารเด็กหนุ่ม กำลังภายในหมุนวน กระบี่สวรรค์สิบหกท่าปะทุพลังขึ้นอีกครั้ง

 

……………………………………