บทที่ 429 พูดไม่ออก + บทที่ 430 ทรัพย์สมบัติสำคัญกว่าลูกๆ

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 429 พูดไม่ออก

หลังจากที่ข่าวแพร่สะพัดออกไป ทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้กันทั่ว ยกเว้นอัครมหาเสนาบดีมู่ที่เพิ่งจะรู้ข่าวในวันต่อมา เนื่องจากราชสำนักเรียกเขาไปตักเตือน

ใบหน้าของอัครมหาเสนาบดีมู่ดูเคร่งเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ภายใต้สายตาอันเฉียบคมของเฟิงฮ่องเต้ หากเขายังไม่ยอมคืนทรัพย์สมบัติ ก็คงยากที่จะบอกว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร

“ทูลฝ่าบาท อัครมหาเสนาบดีมู่ไม่อาจจัดการเรื่องราวในตระกูลของตนได้ แล้วจะครองตำแหน่งนี้อย่างเหมาะสมได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ นอกจากนี้ ภรรยาผู้ล่วงลับของเขา ก็ตั้งใจจะยกทรัพย์สมบัติให้ลูกๆ แต่เขากลับยึดมันไว้ใช้เองอีกด้วย ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เขาทำเรื่องเลวร้ายอะไรไว้บ้างพ่ะย่ะค่ะ”

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงโปรดไต่สวนเรื่องนี้อย่างละเอียดด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาททรงโปรดสอบสวนเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่ออัครมหาเสนาบดีคุกเข่าลง เหล่าขุนนางทั้งหลายก็รุมเตะเขา โดยส่วนใหญ่แล้ว คนเหล่านั้นต่างสนิทสนมกับจวนของราชครูหลินทั้งสิ้น

แม้ว่าตระกูลของราชครูหลินจะมิได้มีตำแหน่งใหญ่โตเท่ากับอัครมหาเสนาบดีมู่ แต่ในด้านการคบค้าสมาคมกับผู้คนในราชสำนัก เขากลับมีภาษีดีกว่าอีกฝ่ายหลายเท่า

ใบหน้าของอัครมหาเสนาบดีมู่มีเหงื่อผุดขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะรีบชี้แจง “ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงใคร่ครวญดูให้ดีก่อนพ่ะย่ะค่ะ เรื่องที่กำลังแพร่สะพัดอยู่ตอนนี้เป็นเพียงข่าวลือจากคนนอกเท่านั้น มีคนกำลังใส่ร้ายกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

“องค์ชายแห่งเมืองเซียว องค์หญิง และท่านแม่ทัพต่างเป็นคนละเอียดรอบคอบ เหตุใดเจ้าจึงคิดว่ามีคนใส่ร้ายเจ้าเล่า” เดิมที เฟิงฮ่องเต้ไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน

แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อวานนี้ จู่ๆ เซียวฉีเทียนก็ขอเข้าเฝ้า เพื่อแจ้งเรื่องนี้ให้เฟิงฮ่องเต้รับรู้ ทำให้เขาโกรธมาก โดยเฉพาะตอนที่เขาไต่ถามถึงเงินเดือนของอัครมหาเสนาบดีว่ายังไม่พอใช้อีกหรือ ทำไมเขาจึงต้องจ้องจะครอบครองทรัพย์สมบัติของภรรยาผู้ล่วงลับด้วย

หากมองให้เป็นเรื่องเล็ก ก็อาจกล่าวได้ว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัวภายในจวนอัครมหาเสนาบดี แต่ถ้ามองให้จริงจังขึ้น ก็ราวกับว่าอัครมหาเสนาบดีมู่สื่อเป็นนัยว่าการคลังของเมืองเฟิงนั้นยังขาดแคลนอย่างไรอย่างนั้น

ทันใดนั้น อัครมหาเสนาบดีมู่ก็มีสีหน้าถมึงทึงขึ้น ‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนกระจายข่าว’

“อัครมหาเสนาบดีมู่ เจ้าทำเรื่องน่าอัปยศอดสูต่อเมืองเซียว เจ้าควรจะรีบแก้ไขเรื่องนี้โดยเร็วอย่าให้ข้าต้องลงมือจัดการเอง” เฟิงฮ่องเต้โกรธจนหน้าเขียว ขณะมองอีกฝ่ายราวกับอยากจะฆ่าให้ตาย

“ทูลฝ่าบาท ข้ารับใช้ผู้ชราคนนี้มาเพื่อขอความเมตตาจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ทรงโปรดให้เด็กทั้งสองคนตัดขาดกับตระกูลมู่ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ราชครูหลินคุกเข่าลงกับพื้นและพูดด้วยเสียงอันสั่นเทา โดยปกติเขาจะไม่เข้ามาในราชสำนัก แต่ทว่าวันนี้ เขากลับเข้าร่วมด้วย

“อย่าทำเช่นนี้เลยท่านราชครู รีบลุกขึ้นเถิด ใครก็ได้ หาที่นั่งให้ท่านราชครูด้วย”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ราชครูหลินนั่งบนเก้าอี้ จากนั้นจึงเล่าถึงการกระทำของอัครมหาเสนาบดีในวันนั้น “เขาขู่เด็กๆ ต่อหน้ากระหม่อม และหากเด็กๆ ทั้งสองคนกลับไปที่จวนอัครมหาเสนาบดี แล้วจะต้องทุกข์ทรมานเพียงใดเล่าพ่ะย่ะค่ะ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลหลินเป็นคนเลี้ยงดูเด็กๆ ทั้งคู่ เมื่อพวกเขากลับไปยังจวนอัครมหาเสนาบดี ก็จะถูกคนในตระกูลมู่รังแกเสมอ เพียงเพราะคำขอก่อนตายของลูกสาวกระหม่อม ทำให้เด็กทั้งสองคนต้องยอมทนทุกข์ใจในจวนอัครมหาเสนาบดี แต่พวกเขาก็ยังหวังจะให้เด็กทั้งสองคนตายตกไปอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ”

ราชครูหลินเอ่ยพร้อมน้ำตา “ลูกสาวของกระหม่อมมอบเด็กๆ ที่น่ารักให้กับข้ารับใช้ผู้ชราคนนี้ หากกระหม่อมไม่ปกป้องพวกเขา และปล่อยให้ทั้งสองคนโดนกลั่นแกล้งเช่นนี้ แล้วกระหม่อมจะกล้าไปเจอหน้าลูกสาวหลังจากตายไปได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ”

“เป็นไปไม่ได้ มู่เฉินและมู่เสวี่ยต่างก็เป็นคนของตระกูลมู่ตั้งแต่เกิด ถึงจะตายเป็นผี ก็เป็นผีของตระกูลมู่อย่าคิดที่จะพรากพวกเขาออกจากตระกูลมู่เด็ดขาด” อัครมหาเสนาบดีมู่พูดโต้กลับ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเสียสติไปแล้ว

“คนของตระกูลมู่เช่นนั้นหรือ ตอนที่เด็กทั้งสองคนอยู่ในตระกูลมู่ เจ้าเคยปฏิบัติกับพวกเขาอย่างดีบ้างหรือไม่ ตอนที่แม่ของพวกเขายังมีชีวิตอยู่ นางคอยปกป้องดูแลพี่น้องคู่นี้เสมอ แต่เมื่อนางจากไป ผู้หญิงคนนั้นก็คอยทำร้ายเด็กๆ ทั้งสองคน หากพวกเราไม่ได้สังเกตเห็นตั้งแต่เนิ่นๆ หลานของข้าก็คงจะสิ้นใจไปนานแล้ว” ราชครูหลินจ้องมองอีกฝ่ายอย่างโกรธแค้น ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเขา

ขุนนางหลายคนรู้เรื่องนี้ดี ในตอนนั้น ราชครูหลินและลูกชายของเขาอุ้มเด็กน้อยผอมโซสองคนที่กำลังหายใจรวยริน เพื่อมาเรียกร้องสิทธิในการพาเด็กทั้งคู่ออกจากจวนตระกูลมู่ และขอเป็นฝ่ายเลี้ยงดูพวกเขาในตระกูลหลินแทน

เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้เหล่าขุนนางต่างรังเกียจอัครมหาเสนาบดีมู่ เขาไม่เคยดูแลลูกๆ เลย แต่เพราะตอนนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์ของทั้งคู่สูงขึ้น ทำให้เขาต้องการลูกทั้งสองคนกลับคืนมาเช่นนั้นหรือ

ราชครูหลินมองอัครมหาเสนาบดีมู่ ก่อนเอ่ยขึ้นในทันที “หากเจ้ายอมตัดความสัมพันธ์กับมู่เสวี่ยและมู่เฉิน ข้าจะยอมยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งของลูกสาวให้กับเจ้า แต่หากเจ้าไม่ยินยอม ก็จะต้องคืนทรัพย์สมบัติทั้งหมดของนางมา และห้ามเก็บไว้แม้แต่ชิ้นเดียว”

เหล่าผู้คนต่างมองดูอัครมหาเสนาบดีอย่างใคร่รู้ว่าเขาจะเลือกลูก หรือทรัพย์สมบัติล้ำค่ากันแน่

บทที่ 430 ทรัพย์สมบัติสำคัญกว่าลูกๆ

ในตอนที่ลูกสาวของราชครูหลินแต่งงานนั้น มีการจัดขบวนแห่เกี้ยวเจ้าสาวยาวถึงสามสิบลี้ ผู้คนต่างพูดถึงสินสอดทองหมั้นว่าเป็นของดีมีราคา ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนอักษร และรูปวาดต่างๆ ที่มีราคาประมูลสูงถึงหลายพันตำลึงทอง

ราชครูหลินมองอัครมหาเสนาบดีมู่ และรอให้อีกฝ่ายตัดสินใจ

ผู้คนทั้งหลายก็ต่างรอคอยด้วยเช่นกัน แต่ทว่า เฟิงฮ่องเต้ไม่อาจทนรอได้ จึงเอ่ยถามอย่างเย็นชา “อัครมหาเสนาบดีมู่ตัดสินใจเช่นไร”

“ข้าน้อย…ข้าน้อย…”

ทรัพย์สมบัติจำนวนครึ่งหนึ่งของทั้งหมดนั้น ถือเป็นลาภก้อนใหญ่ที่เขาไม่อาจจะสูญเสียไปได้ ถึงอย่างไร ลูกๆ ทั้งสองคนก็เกลียดชังและไม่สนใจเขาอยู่แล้ว หากยังดึงดันต่อไป ก็เกรงว่าพวกเขาจะต่อต้านจวนอัครมหาเสนาบดีก็เป็นได้

ถึงตอนนั้น เขาก็คงสูญเสียยิ่งกว่าเดิม

หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว อัครมหาเสนาบดีมู่ก็มองราชครูหลินอย่างโศกเศร้า “นี่เป็นความต้องการของเด็กๆ หรือของท่านพ่อตากันเล่า”

“ใครเป็นพ่อตาของเจ้า เจ้าเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีมู่ ชายชราผู้นี้ไม่อาจเทียบระดับกับเจ้าได้หรอก” ราชครูหลินแสดงท่าทีขุ่นเคืองเมื่อได้ยินคำว่า ‘ท่านพ่อตา’

“แค่กๆๆ” ราชครูหลินอาจจะกระวนกระวายใจเกินไป จึงทำให้เขากระแอมไออยู่บ่อยครั้ง

ทุกคนรู้ดีว่าราชครูหลินรักลูกสาวคนเดียวของเขาอย่างมาก แม้ว่าตอนนั้นนางจะบอกว่าตนเองล้มป่วยจนเสียชีวิตลง แต่ทุกคนก็รู้ดีว่ามันเป็นเพียงข้ออ้าง เพราะจริงๆ แล้วอัครมหาเสนาบดีมู่และภรรยาคนปัจจุบันของเขา เป็นคนทำให้ลูกสาวของราชครูหลินต้องล่วงลับไป

“ท่านราชครู อย่าโกรธไปเลย” เฟิงซั่วขมวดคิ้วและรีบเดินเข้าไปลูบหลังให้ชายชรา

ราชครูหลินเป็นผู้สั่งสอนเฟิงซั่วตั้งแต่เล็กๆ ทำให้พวกเขามีความสัมพันธ์ฉันท์ครูและศิษย์ต่อกัน

ราชครูหลินสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนระงับความทุกข์ใจลง และมองดูอัครมหาเสนาบดีมู่ “หยุดพูดจาหลอกลวงเช่นนั้นเสียที เลือกมาว่าเจ้าต้องการทรัพย์สมบัติหรือลูกๆ กันแน่”

การตัดสินใจครั้งนี้ เป็นเรื่องยากสำหรับอัครมหาเสนาบดีมู่ ตอนแรกนั้น ทุกคนต่างคิดว่าเขาอาจจะเลือกลูกๆ แต่หลังจากเห็นแววตาอันโลเลของชายผู้นี้แล้ว พวกเขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าอัครมหาเสนาบดีนั้นเห็นความสำคัญของทรัพย์สมบัติมากกว่าลูกของตนเอง

ในที่สุด อัครมหาเสนาบดีมู่ก็เลือกเอาทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่ง และยอมตัดขาดความสัมพันธ์กับลูกๆ ทั้งสองคน

ทุกคนคาดหวังกับคำตอบ แต่ก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

เพื่อเงินแล้ว อัครมหาเสนาบดีมู่ยอมตัดขาดความสัมพันธ์กับลูกที่ยอดเยี่ยมทั้งสองคน เช่นนั้นหรือ หากเป็นคนทั่วไปจะเลือกทำเช่นนั้นหรือไม่

เฟิงฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ขณะมองดูอัครมหาเสนาบดีมู่ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ออกความเห็นใดๆ “ถ้าเช่นนั้น นับตั้งแต่บัดนี้ มู่เฉินและมู่เสวี่ยจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลมู่อีกต่อไป”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

ราชครูหลินมองอัครมหาเสนาบดีมู่ ผู้คนรอบข้างที่เห็นแววตาคู่นั้นรู้สึกได้ถึงความน่ากลัว

แววตาของราชครูหลินช่างน่ากลัวจริงๆ

หลังจากเรื่องราวในท้องพระโรงจบลง เหล่าผู้คนต่างแสดงความยินดีกับอัครมหาเสนาบดีที่ได้ครอบครองทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาล แต่เขาก็รู้ว่าคนเหล่านี้เข้ามาพูดจาเหน็บแนมตนเองเท่านั้น

ไม่นานนัก มู่เสวี่ยและคนอื่นๆ ก็ได้ยินข่าวว่าอัครมหาเสนาบดีมู่ตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับพวกเขา เพื่อแลกกับทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งของท่านแม่

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองพี่น้องมองว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะในอนาคต พวกเขาก็สามารถหาวิธีเอาทรัพย์สมบัติทุกชิ้นกลับคืนมาได้อยู่ดี หากต้องการเช่นนั้น

“ดีแล้วล่ะ เจ้าค่อยเอาคืนและชำระหนี้แค้นทั้งหมดภายหลังก็ได้” เซียวฉีเทียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะ “ชิงเซวียน”

“คุณหนูขอรับ ข้ารู้ว่าจะต้องทำเช่นไร”

หญิงสาวยิ้มและไม่พูดอะไรต่อ

คนรอบข้างต่างแปลกใจ ‘นางกำลังจะทำอะไรหรือ’

“เหยาเหยา เจ้าวางแผนจะทำอะไรกัน”

“ข้าจะทำให้ประชาชนเมืองเฟิงรับรู้ว่าอัครมหาเสนาบดีของพวกเขาเป็นคนโหดร้ายเพียงใด ถึงขั้นยอมทิ้งลูกแท้ๆ ของตนเอง เพื่อทรัพย์สมบัติอันน้อยนิดเท่านั้น” หนิงเมิ่งเหยาจะทำให้มู่เฉินและมู่เสวี่ยเป็นฝ่ายถูกกระทำ เพื่อให้พวกเขาสามารถทำเรื่องต่างๆ ได้สะดวกขึ้นในอนาคต

เซียวฉีเทียนมองนางอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนพูดในสิ่งที่ตนเองกำลังคิด “ข้าไม่กล้ามีเรื่องกับเจ้าจริงๆ ”

“ดีแล้วที่เจ้ารู้ตัว” หญิงสาวยิ้มเผยให้เห็นเขี้ยวของตนเอง ทำให้เซียวฉีเทียนผงะถอยหลังไปสองสามก้าว

หลังจากนั้น เซียวฉีเทียนก็พูดคุยเรื่องการจัดงานแต่งกับตระกูลหลิน ขณะเดียวกัน เขาก็มอบสิ่งของจำนวนมากให้มู่เสวี่ย

“เจ้ามอบของขวัญให้ข้ามาเยอะแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้อะไรข้าเพิ่มหรอก” มู่เสวี่ยมองชายตรงหน้าอย่างอดไม่ได้ เขาดูแลนางดีเหลือเกิน

“ไม่ต้องห่วง ข้ายังมีเงินอีกมาก”