ตอนที่ 223 เคารพบรรพชน ย้ำเตือนคนรุ่นหลัง

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

หยางหวาหัวเราะเสียงดังพลางวิ่งออกไป ไม่นานก็ถือถุงใหญ่มากออกมา

ตอนนี้เอง ฟางเจิ้งรับกระดาษเงินกระดาษทองกับธูปไว้ไม่น้อยแล้ว ลิงถือสองถุง เดินเกาหัวตลอดทาง มันไม่เข้าใจว่าของพวกนี้กินไม่ได้สักหน่อย เจ้าอาวาสจะเอาไปทำอะไร?

พวกซ่งเอ้อร์โก่วกำลังคุยเรื่อยเปื่อยกับฟางเจิ้ง ก็พลันได้ยินเสียงหยางหวาตะโกนว่า “หลบไปๆ หลวงพี่ฟางเจิ้ง ขาดเหลืออะไรบนเขาเดี๋ยวผมเหมาจัดการให้หมดเอง!”

ซ่งเอ้อร์โก่วเป่าปากทันที พูดยิ้มๆ ว่า “ว้าว เศรษฐีหยางมาแล้ว หลวงพี่ฟางเจิ้ง นี่เรียกว่าเกทับกันจริงๆ นะ ตอนนี้เจ้านี่เป็นเศรษฐีในหมู่เศรษฐีแล้ว ถ้าไม่รับไว้จะน่าเสียดายนะ”

ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ “อาตมาก็อยากเหมือนกัน แต่เป็นกฎของอาจารย์ จะไม่รับของครอบครัวหนึ่งมากเกินไป คงจะรับไว้ไม่ได้”

หยางหวายัดธูปกับกระดาษเงินกระดาษทองให้ฟางเจิ้ง “เอาไปมากหรือน้อยมันแค่ตรงข้ามกันเท่านั้น เมื่อก่อนครอบครัวผมยากจนก็ให้ท่านน้อย ตอนนี้ล่ะ เหอะๆ…” พูดถึงตรงนี้ หยางหวารู้สึกกระดากอายแล้ว

ชาวบ้านรอบๆ ต่างพากันหยอกล้อว่าเศรษฐีหยางอย่างนู้นอย่างนี้ เจ้าของที่ดินหยางมาแล้ว ทำเอาหยางหวาหน้าแดง ด่ายิ้มๆ ว่า “อะไรกันวะนั่น หลวงพี่ฟางเจิ้ง ผมตุ๋นไก่ไว้ในหม้อน่ะ ต้องรีบกลับแล้ว ท่านจัดการเองแล้วกันนะ ไปล่ะครับ…”

เอ่ยจบหยางหวาก็วิ่งไป ทุกคนหยอกล้ออีกครั้ง “เป็นชนชั้นเศรษฐีจริงๆ มื้อเช้ากินซุปไก่ มื้อเย็นไม่ตุ๋นหงส์เลยรึไงเนี่ย?”

“ฮ่าๆ…”

…………

ฟางเจิ้งชินกับการหยอกล้อของคนในหมู่บ้านนานแล้ว ทุกคนต่างพูดกันไปอย่างนั้น ไม่มีใครใส่ใจ

หยางหวาไม่ได้ให้มาแค่กระดาษเงินกระดาษทองกับธูป แต่ข้างล่างยังหนักๆ เมื่อพลิกออกมาดูกลับเป็นแอปเปิลแดงลูกใหญ่หลายลูก กีวี่ และกล้วยหอมเป็นต้น

ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็ยิ้มน้อยๆ สวดไปทางแผ่นหลังหยางหวาบทหนึ่ง

ยามนี้เอง หวังโอ้วกุ้ยมาแล้ว หิ้วถุงใหญ่มาเช่นกัน ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นจึงรีบส่ายหน้า “อมิตาพุทธ โยมไม่ต้องแล้ว มีเท่านี้ก็เพียงพอ มากไปก็สิ้นเปลือง…”

“ให้รับไว้ก็รับไว้เถอะน่า จะพูดมากทำไม จะบอกให้นะ ผมไม่ได้ให้ท่านฟรีๆ” หวังโอ้วกุ้ยยิ้มบอก ยัดถุงให้ฟางเจิ้ง ปกติฟางเจิ้งใช้หนึ่งนิ้วถือหนึ่งถุง มือลิงก็เช่นกัน เหลือแค่คอที่จะแขวนให้เขาได้อีกสองถุงแล้ว

ของที่คนอื่นๆ ส่งกันเข้ามา แต่เป็นตายยังไงฟางเจิ้งก็ไม่รับ มีกระดาษเงินกระดาษทองมากขนาดนี้ เขาได้แต่ยิ้มฝืนๆ ในใจ ‘หลวงตาหนึ่งนิ้ว ท่านหลุดพ้นจากความยากจนก่อนผมอีกนะเนี่ย นับเป็นโชคดีของท่านจริงๆ…’

หวังโอ้วกุ้ยกล่าว “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านเอาของไปแล้ว คือว่า ถ้าพรุ่งนี้มีเวลาก็ลงเขามาอีกแล้วกัน พรุ่งนี้ทุกคนจะเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ท่านสวดสักสองบทก็พอ”

ฟางเจิ้งตรึกตรองดู เรื่องนี้ไม่ยากเลยตอบรับไป แต่ปีก่อนๆ ในหมู่บ้านจะเชิญนักบวชจากวัดผาแดงมาช่วยสวดให้ ถึงยังไงหลวงจีนหนึ่งนิ้วก็อายุเยอะแล้ว ขึ้นเขาลงเขาลำบาก การสวดมนต์ดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่ความจริงต้องเดินไปทุกบ้าน ปกติแล้วจะเดินจากฟ้าสว่างจนฟ้ามืด ระหว่างนั้นไม่เวลาพักไม่เท่าไร แค่วันเดียวนักบวชที่แข็งแรงยังปวดเอวปวดหลังเสียงแหบ หลวงจีนหนึ่งนิ้วจะทนไหวได้ยังไง

เมื่อตอบรับคำเชิญจากพวกชาวบ้านแล้ว ฟางเจิ้งถึงพาเจ้าลิงกลับขึ้นเขาไป

ระหว่างทาง ในที่สุดลิงก็อดไม่ไหว ถามขึ้นว่า “เจ้าอาวาส นายเอากระดาษเยอะขนาดนี้กลับไปทำอะไร?”

“นี่เป็นประเพณีอย่างหนึ่งของมนุษย์ และก็เป็นรูปแบบการเซ่นไหว้อย่างหนึ่งของคนที่ยังอยู่ต่อคนที่ล่วงลับไปแล้ว คนที่ยังอยู่ต้องใช้เงินซื้อข้าวของต่างๆ เพื่อดำรงชีวิตใช่ไหม ผู้คนเชื่อว่าเมื่อคนลาลับจากโลกแล้วจะไปอีกโลกหนึ่ง บรรพบุรุษอยู่ที่นั่นก็ต้องใช้จ่ายเงินเพื่อดำรงชีวิตเช่นกัน กระดาษเงินกระดาษทองที่เราถืออยู่นี่คือเงินของอีกโลกนั้น พวกเราเผาเงินไปก็เท่ากับกตัญญูต่อพวกเขา ทำแบบนี้หนึ่งเป็นการเคารพและกตัญญูต่อบรรพบุรุษ สองเพื่อฝากความคิดถึงของตนไว้” ฟางเจิ้งอธิบายอย่างอดทน

“แต่ฉันเห็นคนจะให้กระดาษเงินกระดาษทองสวยๆ พวกนั้นกับนายตั้งเยอะแยะ ทำไมนายไม่เอาล่ะ?” เจ้าลิงกลัดกลุ้มมาก นอกจากเงินกระดาษพวกนั้นแล้ว ยังมีเงินหยวนเป่า รถคันเล็ก หรือพวกเสื้อผ้า ดูสวยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้าบอก “ในสมัยโบราณกระดาษเงินกระดาษทองต่างหากคือเงินที่ใช้ในปรโลกได้จริง แต่กระดาษเงินสวยๆ ที่นายพูดถึงบอกไม่ได้ว่าเป็นเงินในปรโลก น่าจะเรียกว่าเงินปลอมในโลกนั้นมากกว่า นี่เป็นเพียงกลอุบายที่นักธุรกิจสมัยนี้ใช้สร้างความร่ำรวยเท่านั้น ปีหนึ่งมีครั้งเดียว แสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษยังใช้เงินปลอมอีก เป็นบรรพบุรุษบ้านไหนก็ไม่ดีใจกันทั้งนั้นแหละ จุดเงินแบบนั้นอาจจะนำพาโชคดีมาให้ แต่ในทางกลับกันก็อาจนำพาโชคร้ายมาให้ด้วย แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องเล่าขานพื้นเมือง ในมุมมองอาตมา เผาเงินเป็นเพียงการรำลึกถึงบรรพบุรุษเท่านั้น หากจริงใจจะศักดิ์สิทธิ์ บรรพบุรุษจะสัมผัสได้ถึงความจริงใจ แต่วิธีที่นายจะทำให้เขาเห็นถึงความจริงใจก็คือให้ความสำคัญกับกฎ”

“อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นทำไมนายไม่บอกพวกเขาไปล่ะ?” ลิงถามด้วยความไม่เข้าใจ

ฟางเจิ้งส่ายหน้า “พวกเขาเข้าใจ ตอนที่พวกเขาจะเผาจริงๆ จะใช้กระดาษเงินกระดาษทองเป็นหลัก พวกนั้นแค่เสริมเข้าไป ถือว่าเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เป็นของเล่นน่ะ”

ลิงมองธูปในมือต่อ “แล้วอันนี้ล่ะ?”

“ธูปคือเครื่องมือสื่อสารระหว่างคนเป็นกับบรรพบุรุษ จุดธูปทางนี้ บรรพบุรุษทางนั้นก็จะรู้ว่าพวกเรามา ดังนั้นนี่ถือเป็นของจำเป็น ไม่อย่างนั้นพอพวกเราเซ่นไหว้แล้วบรรพบุรุษจะไม่รับรู้ แบบนี้เท่ากับว่าใช้เสียเปล่าไม่ใช่เหรอ?” ฟางเจิ้งอธิบาย

ลิงเกาหัวเอ่ย “ซับซ้อนจริงๆ…”

“ซับซ้อนจริงๆ แต่เป็นกฎที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน มีคนพูดไว้ว่านี่คือความเชื่อล้าสมัย แต่กลับไม่รู้ว่ามันไม่ใช่ความเชื่อ แต่เป็นพิธีอย่างหนึ่งที่คนโบราณใช้กัน นำวัฒนธรรมความกตัญญูหลอมรวมเข้าไปในชีวิต ผสานเข้าไปในพิธี สืบทอดกันมาแต่ละปี แต่ละยุคสมัย

อีกทั้งการให้ความสำคัญกับการเซ่นไหว้แบบนี้เป็นการแสดงออกว่ากตัญญูต่อบรรพบุรุษ แต่ความหมายที่แท้จริงคือต้องการทำให้ลูกหลานได้เห็น ว่ากันว่าบุพการีเป็นอย่างไรลูกก็จะเป็นอย่างนั้น ลูกเห็นบุพการีกตัญญู ลูกก็จะกตัญญูตาม นี่เป็นรูปแบบการสอนสั่งอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ใช่แค่กตัญญูกับบรรพบุรุษ แต่ยังรวมถึงบุพการีที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย” สิ่งที่ฟางเจิ้งพูดอยู่นี้คือสิ่งที่หลวงจีนหนึ่งนิ้วเคยบอกกับเขา เพียงแต่ฟางเจิ้งไม่เข้าใจมาตลอด หลวงจีนหนึ่งนิ้วเป็นเพียงนักบวชแท้ๆ ตัวเขาเหมือนจะไม่ได้บูชาผีสางเทวดาด้วย แต่กลับเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ มากมายเข้ากับวัฒนธรรมการดำรงชีวิต

เมื่อก่อนฟางเจิ้งความรู้ยังน้อย มีความคิดง่ายๆ ย่อมไม่คิดเยอะเป็นธรรมดา แต่ตอนนี้กลับอดนึกถึงอดีตของหลวงจีนหนึ่งนิ้วไม่ได้ เขาเป็นเพียงนักบวชในป่าเขาธรรมดาจริงๆ หรือ? อดีตของเขาเป็นมายังไงกันแน่?

แต่ข้อสงสัยเหล่านี้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะไม่มีใครให้คำตอบฟางเจิ้งได้

‘ถ้ามีโอกาสน่าจะไปตรวจดู’ ฟางเจิ้งพึมพำในใจ

เขาพาเจ้าลิงกลับขึ้นมาบนเขา วางของที่เอากลับมาวันนี้ลง แล้วเตือนเจ้าสามตัวอย่างเข้มงวดว่าห้ามขโมยกินผลไม้ นี่คือของเซ่นไหว้ในวันเช็งเม้ง จะกินพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที เจ้าสามตัวรีบพยักหน้าสื่อว่าเข้าใจแล้ว ฟางเจิ้งถึงวางใจเดินไปสวดมนต์ที่อุโบสถ