บางทีอาจเป็นเพราะวันที่สองจะปัดกวาดหลุมศพ วันนี้เลยมีคนมาจุดธูปไหว้พระน้อยเป็นพิเศษ คงกำลังวุ่นอยู่กับการปัดกวาดหลุมศพวันพรุ่งนี้ ถึงยังไงการปัดกวาดหลุมศพในวันเช็งเม้งก็เป็นเรื่องใหญ่ ญาติพี่น้องและลูกๆ ทุกครัวเรือนต่างรีบกลับมา ตอนนี้คนที่อยู่ใกล้หลุมศพบรรพบุรุษจะต้องต้อนรับญาติพี่น้องเหล่านี้ การเตรียมอาหารคาวแต่ละอย่างให้เพียบพร้อมไม่ใช่ว่าจะจัดการได้เดี๋ยวนั้นเลย แต่ต้องเตรียมการล่วงหน้า

หนึ่งวันผ่านไปแบบนี้ ตอนฟ้าเริ่มสาง ฟางเจิ้งตื่นนอนแต่เช้าตรู่ ผลักประตูออกไป

เมื่อออกมา หมาป่าเดียวดายวิ่งเข้ามาอย่างระแวดระวัง เจ้าลิงก็สะลึมสะลือเข้ามาใกล้

ฟางเจิ้งลูบหัวหมาป่าเดียวดายกับลิง ก่อนเริ่มกวาดอุโบสถ เจ้าลิงกวาดพื้น เมื่อคืนใบต้นโพธิ์ร่วงมาอีกไม่น้อยเลย มันได้แต่จนใจกับเรื่องนี้

ทำความสะอาดอุโบสถเสร็จ ฟางเจิ้งเริ่มทำอาหาร กินข้าวเช้า เวลาผ่านไปจนถึงหกโมงกว่าถึงจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อย จากนั้นเขาหยิบเอากระดาษเงินกระดาษทองและธูปกำใหญ่ที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานออกมาจากห้อง และยังมีข้าวผลึก รวมถึงหน่อหลิวเฮ่ากับใบผูกงอิงที่ลวกมาเรียบร้อยอีกเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูใหญ่วัดเดินออกไป

ฟ้ายังมืดสลัวอยู่ เหมือนฝนจะตก ลมไม่แรงมาก แต่กลับมีความเย็นนิดๆ

ฟางเจิ้งออกจากประตู หมาป่าเดียวดาย ลิง และกระรอกพลันวิ่งตามมา แต่เห็นฟางเจิ้งมีสีหน้าจริงจังเลยไม่กล้าก่อความวุ่นวาย

แต่เจ้ากระรอกก็ยังถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เจ้าอาวาส ทำไมทำหน้าจริงจังแบบนั้นล่ะ? อีกอย่างนะ วันเช็งเม้งคืออะไรเหรอ?”

ฟางเจิ้งตอบ “‘หลังจากฤดูใบไม้ผลิสี่สิบห้าวัน ช่วงหนึ่งในยี่สิบสี่สารทของจีน ก็คือวันเช็งเม้ง ทุกสรรพสิ่งจะขาวสะอาดและใสกระจ่าง อากาศบริสุทธิ์ทิวทัศน์สว่างไสว ทุกสรรพสิ่งเด่นชัดขึ้น จึงได้ชื่อเช็งเม้งมาเพราะเหตุนี้’ เมื่อเช็งเม้งมาถึง อุณหภูมิจะขึ้นสูง ใกล้ถึงเทศกาลใหญ่ของการเตรียมเพาะปลูกพอดี ดังนั้นจึงมีคำกล่าวไว้ว่า ‘ก่อนหลังเช็งเม้ง ปลูกแตงเพาะถั่ว’ นี่คือช่วงที่ผืนดินจะคืนชีพกลับมา…”

หมาป่าเดียวดายก็อยากรู้เหมือนกัน “ในเมื่อเป็นวันดี ทำไมนายถึงยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนี้ล่ะ?”

ฟางเจิ้งเอ่ย “วันเช็งเม้งนอกจากจะเป็นวันเทศกาลแล้ว ยังเป็นวันที่คนเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เซ่นไหว้ให้คนที่ตายไปแล้ว เซ่นไหว้คนตายจะให้ยิ้มแย้มรึไง ตั้งแต่เดินออกมาจากบ้านจะต้องรำลึกถึงบรรพบุรุษ ห้ามยิ้มหัวหรือด่าทอ ไม่อย่างนั้นถ้าบรรพบุรุษรู้เข้า จะคิดว่านายกำลังดีใจที่พวกเขาลาลับไปอยู่ไม่ใช่เหรอ นี่ไม่ใช่การแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษเข้าใจไหม?”

หมาป่าเดียวดายหน้าตึงทันที ทำท่าทางเคร่งขรึม กระรอกกดหน้าอ้วนๆ ลง เอาจริงเอาจังตามไปด้วย เจ้าลิงเลียนแบบฟางเจิ้ง จัดจีวรให้เรียบร้อยแล้วทำท่าทางอย่างผู้ใหญ่ มีกลิ่นอายของนักบวชอยู่บ้าง

เห็นเจ้าสามตัวนี้มีสติปัญญาขนาดนี้แล้ว ฟางเจิ้งก็ดีใจ พยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนพาสัตว์สามตัวเดินไปยังหลุมศพของหลวงจีนหนึ่งนิ้ว

หลุมศพของหลวงจีนหนึ่งนิ้วอยู่ไม่ไกล อยู่ชิดกับเทือกเขา หันหน้าไปทางที่ราบใหญ่ มุมมองกว้างไกลเป็นพิเศษ ฟางเจิ้งไม่เข้าใจเรื่องฮวงจุ้ย ไม่รู้ด้วยว่าที่นี่ดีไหม แต่ตอนหลวงจีนหนึ่งนิ้วยังมีชีวิตชอบมายืนมองทอดไกลอยู่ที่นี่แล้วตระหนักรู้พระธรรม ดังนั้นฟางเจิ้งจึงฝังเขาที่นี่

เมื่อมาที่หน้าหลุมศพ ฟางเจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึก “หลวงตาหนึ่งนิ้ว ผมมาแล้วเยี่ยมแล้วนะ”

ฟางเจิ้งพูดพลางวางของทั้งหมดลง เริ่มจัดการวัชพืชรกตรงหลุมศพหลวงจีนหนึ่งนิ้ว หลังจากหน้าหนาวผ่านไป หญ้าบนพื้นแห้งแล้ว การจัดการจึงไม่ได้ใช้แรงมากนัก

จัดการเสร็จสิ้น ฟางเจิ้งหยิบธูปออกมากำใหญ่!

เจ้าลิงเข้ามาดูใกล้ๆ ถามว่า “เจ้าอาวาส คนอื่นเขาจุดธูปกันสามดอก ทำไมนายถึงใช้เยอะจัง หลวงจีนหนึ่งนิ้วชอบธูปเหรอ?”

ฟางเจิ้งส่ายหน้าพูด “ไม่ใช่ ถ้าวันนี้อาตมามาคนเดียวสามดอกก็พอแล้ว แต่ว่าวันนี้วัดเอกดรรชนีไม่ได้มีแค่อาตมา พวกนายสามคนถือว่าเป็นคนวัดเอกดรรชนีด้วย วันนี้พวกเราจะเซ่นไหว้แบบวงศ์ตระกูล การเซ่นไหว้แบบวงศ์ตระกูลต้องใช้ 365 ดอก จะแบ่งธูป 365 ดอกออกเป็นส่วนๆ ตามจำนวนผู้ชาย จากนั้นเข้าไปจุดธูปเรียงตามอายุ นี่คือข้อบังคับ วันนี้พวกเรามาสี่คน แบ่งเป็นสี่กำ หนึ่งดอกที่เกินมาอาตมาจะเอาไว้เองเพราะอายุมากที่สุด” พูดจบฟางเจิ้งหยิบธูปไป 92 ดอก จากนั้นส่งกำละ 91 ดอกให้ลิง หมาป่าเดียวดาย และกระรอก

ลิงยังดีหน่อย รับมาก็เรียบร้อยแล้ว

แต่เจ้ากระรอกกลับจนปัญญา ธูปเยอะขนาดนี้ พยายามอ้ากรงเล็บเล็กๆ ก็กอดเอาไว้อย่างยากลำบาก ได้แต่วางไว้บนพื้นชั่วคราวแล้วมองดูไป

หมาป่าเดียวดายกลัวทำชื้น เลยวางธูปไว้บนพื้นเช่นกัน

เดิมทีเจ้าสามตัวคิดว่าตนแค่มาดู แต่ไม่นึกเลยว่าฟางเจิ้งจะพูดแบบนี้ มองพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของวัดเอกดรรชนี เป็นญาติพี่น้อง จึงพลันเกิดความอบอุ่นในใจ และยังมีความภูมิใจอยู่รางๆ ดูท่าเจ้าหัวโล้นข้างหน้านี่จะเป็นพี่ใหญ่ในตระกูลของพวกมัน!

ฟางเจิ้งจุดธูปเดินมาหน้าหลุมศพ ชูขึ้นสูงพลางกล่าว “หลวงตาหนึ่งนิ้ว ฟางเจิ้งมาเยี่ยมแล้วนะ วันนี้เป็นเทศกาลของท่าน เชิญมารับการเซ่นไหว้ด้วยเถอะ”

เพิ่งสิ้นเสียง ฟางเจิ้งเห็นว่าแสงธูปในมือพลันสว่างไสวขึ้นมากลางสายลม พร้อมกันนั้นควันธูปสีดำลอยขึ้นฟ้าสูง ไม่ว่าลมจะพัดอย่างไรก็ไม่หายไป แม้ควันธูปจะจางลง แต่กลับเห็นชัดเจน!

เห็นภาพดังนั้นฟางเจิ้งตกใจสะดุ้ง เขาไม่เคยเห็นเรื่องแบบนี้มาก่อน

“ไม่ต้องตกใจไป โลกมีพระพุทธ แน่นอนว่าต้องมีผี เพียงแต่ผีนี้ไม่ใช่ผีจากนรกภูมิอย่างที่นายคิด แต่เป็นผีในใจเรา บรรพบุรุษของคนบนโลกไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกความตาย แต่อยู่ในใจของชนรุ่นหลัง พวกเขาคงอยู่ได้เพราะความคิดถึงของชนรุ่นหลัง จะหายไปเมื่อชนรุ่นหลังลืมเลือน พวกเขาจะมีความสุขเพราะคนรุ่นหลังสำนึกในบุญคุณ และจะได้กุศลกับผลกรรมดีเพราะใจที่เมตตา กลับกัน ถ้าคนเราลืมแม้แต่บุพการีและบรรพบุรุษ แน่นอนว่าจะได้รับผลกรรมชั่วไป จิตใจหยาบช้าแล้วเรื่องที่ทำจะดีงามได้ยังไง? เมื่อคุณธรรมในใจคนเกิดปัญหา กระทำเรื่องชั่วช้า ย่อมได้รับผลกรรมชั่ว นี่คือการปกป้องของบรรพบุรุษที่มนุษย์เราพูดถึงกัน…ชนรุ่นหลังไม่ได้เซ่นไหว้เพียงบรรพบุรุษเท่านั้น แต่ยังมีใจของตนเองด้วย” ระบบพลันกล่าวขึ้นมา

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ประนมสองมือ นึกถึงสิ่งต่างๆ ในอดีตตอนที่หลวงจีนหนึ่งนิ้วยังอยู่บนโลก พริบตานั้นเขาเหมือนเห็นหลวงจีนหนึ่งนิ้วอยู่ข้างหน้า พริบตานั้นฟางเจิ้งเข้าใจบางสิ่งที่เมื่อก่อนไม่เข้าใจ ตอนนี้เขามีความรู้แจ้งที่อธิบายไม่ถูก

ฟางเจิ้งถือธูปไหว้ก่อนจะวางธูปลง ใช้มือซ้ายหยิบจากมือขวาปักไปทีละดอก ไม่เร็วไม่ช้า ครู่เดียวก็ปักธูปจนหมด เขาปักธูปไปพลางอธิบายให้เจ้าสามตัวฟังไปพลาง “พวกเราคนบนโลกต้องใช้มือซ้ายเป็นหลัก คนลาลับไปจะใช้มือขวาเป็นหลัก พวกเราใช้มือซ้ายปักธูปสื่อว่าเราเคารพนับถือพวกเขามาก พวกเขาคือผู้อาวุโสของเรา เราต้องทำตัวเองให้ต่ำกว่า การส่งจากมือขวาใช้มือซ้ายปักก็ทำตามหลักการของคนทั่วไป”

ปักธูปเสร็จสิ้น ฟางเจิ้งคุกเข่าเอาศีรษะโขกพื้น เอ่ยขึ้นพร้อมกับที่โขกครั้งที่สามว่า “หลวงตาหนึ่งนิ้ว ไม่ได้มานานเลย แต่ท่านน่าจะเห็นว่าวัดเอกดรรชนีของเราสร้างใหม่แล้ว มีแสงธูปสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ แถมยังจัดพิธีสรงน้ำพระอีก ทุกอย่างราบรื่นดี ท่านเห็นแบบนี้แล้วน่าจะดีใจใช่ไหม? นี่คือความปรารถนาของท่านในชีวิตนี้ วันนี้นับว่าทำสำเร็จแล้ว เชื่อผมเถอะ ผมจะทำให้วัดเอกดรรชนีเป็นวัดใหญ่อย่างที่ท่านคิดไว้ให้ได้”

“เจ้าอาวาส พูดแบบนี้หลวงตาหนึ่งนิ้วได้ยินเหรอ?” เจ้าลิงถามด้วยความแปลกใจ