ตอนที่ 225 ครอบครัววัดเอกดรรชนี

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ฟางเจิ้งพูด “ได้ยินแน่นอน แบ่งปันเรื่องดีๆ กับบรรพบุรุษ เขาก็ต้องมีความสุขเหมือนกัน จำไว้นะ มาเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่นี่ต้องบ่นให้น้อยลง พูดเรื่องดีๆ ให้มาก บรรพบุรุษดีใจ นายก็ต้องดีใจด้วยแน่ บรรพบุรุษปกป้องนาย ภายภาคหน้าจะราบรื่นยิ่งขึ้นไปอีก”

“จริงเหรอ?” เจ้าลิงถามอย่างตกใจ

ฟางเจิ้งตอบ “นี่คือการระบายความในใจอย่างหนึ่ง ความสุขจะถูกส่งต่อไป หากคิดถึงเรื่องดีทุกวัน จิตใจเราจะมีความสุข ถ้าคิดเรื่องทุกข์ทุกวัน เราก็จะเป็นทุกข์ อึดอัดใจยิ่งขึ้นทุกวัน กระทั่งจิตใจเหม่อลอย คนแบบนี้จะเกิดปัญหาได้ง่ายมาก ดังนั้นนะ คนจะมีความสุขหรือไม่ขึ้นอยู่กับจิตใจ รวยก็มีความสุขของความรวย จนก็มีความสุขของความจน แต่การเซ่นไหว้บรรพบุรุษคือการแบ่งปันความสุขให้บรรพบุรุษ บรรพบุรุษมีความสุข นายก็มีสุขใจด้วย เมื่อเบิกบานใจย่อมผ่านพ้นภัยไปได้อย่างราบรื่น”

ลิงจะเกาก้น แต่ก็หยุดกลางคัน หันไปเกาหัวแทน “ไม่เข้าใจเท่าไรหรอกนะ แต่รู้สึกว่ามีเหตุผลมากเลย”

กระรอกเอียงหัวเอ่ย “ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าแค่การกระทำกับคำพูดไม่กี่อย่าง จะมีความพิถีพิถันและความรู้มากขนาดนี้”

ฟางเจิ้งกล่าว “นี่เป็นมรดกวัฒนธรรมอายุหลายพันปีของจีน เพียงแต่คนมากมายลืมไปแล้ว มองมันเป็นของไร้ประโยชน์และโยนทิ้งไป แต่หลายปีมานี้มีคนบางส่วนเริ่มเก็บมันขึ้นมา นี่ก็นับเป็นเรื่องดี”

ระหว่างพูดอยู่นี้ ฟางเจิ้งหลีกทางให้ “วัดต่างกับครอบครัวปุถุชน วัดจะนับความอาวุโสตามลำดับการเข้าวัด เจ้าหมาป่าเดียวดายเข้ามาแรกสุด เจ้ากระรอกรองลงมา เจ้าลิงอยู่ท้ายสุด พวกนายเข้าไปจุดธูปคำนับตามลำดับนี้ อาตมาช่วยถือธูปให้หมาป่าเดียวดายเอง แล้วก็ของเจ้ากระรอกด้วย เจ้าลิงถือเองแล้วกัน”

เจ้าสามตัวไม่คัดค้านอะไร หมาป่าเดียวดายระริกระรี้อยากลองบ้าง มันคาบธูปยืนเหมือนคน ประนมสองมือเลียนแบบฟางเจิ้งเพื่อเซ่นไหว้ ผลคือล้มคว่ำไปข้างหน้า

ฟางเจิ้งพูด “หลวงตาหนึ่งนิ้ว หมาป่านี่ไม่ใช่คน ทำได้ขนาดนี้ก็เต็มที่แล้ว เจตนาถึงแล้ว อย่าถือโทษเลยนะครับ”

ไม่ผิดคาด หลังจากหมาป่าเดียวดายไหว้สามครั้ง ควันธูปลอยขึ้นสูงอย่างยิ่ง เห็นได้ว่าหลวงจีนหนึ่งนิ้วได้รับธูปเซ่นไหว้แล้ว ทั้งยังพอใจมาก

ฟางเจิ้งช่วยหมาป่าเดียวดายปักธูป จากนั้นส่งสัญญาณให้กระรอกเข้ามา

เจ้ากระรอกลำบากแล้ว ธูปใหญ่ขนาดนี้ มันยืนประคองยังไหว แต่จะให้คุกเข่าไหว้? กระรอกจึงมองฟางเจิ้งด้วยสีหน้าสิ้นหวัง

ฟางเจิ้งรับธูปมา “อาตมาช่วยเอง”

กระรอกพยักหน้ารัวๆ แล้วรีบไหว้ ฟางเจิ้งไหว้ตามพร้อมกับเอ่ย “หลวงตาหนึ่งนิ้ว เจ้านี่เล็บเล็กไป อาตมาเลยช่วยไหว้ อย่าถือโทษเลยนะ”

ธูปลอยขึ้นสูงอีกครั้ง กระรอกเห็นดังนั้นก็พลันถอนหายใจโล่งอก

จากนั้นฟางเจิ้งช่วยมันปักธูปเสร็จ กระรอกก็โขกหัวอย่างไร้เดียงสา นี่ถือว่าเลียนแบบได้เหมือนมากเช่นกัน

ถึงคราวลิงก็ง่ายแล้ว มันไหว้เอง ปักธูปเอง โขกหัวเอง เลียนแบบขั้นตอนทุกอย่าง ควันธูปลอยขึ้นสูงเช่นกัน ลิงถอนหายใจโล่งอกตามไปด้วย

เห็นดังนั้นฟางเจิ้งแอบพยักหน้า พูดไปว่า “หลวงตาหนึ่งนิ้ว ลิงตัวนี้ฉลาด เดินทางนับพันลี้มาขอให้พระโพธิสัตว์ปกปัก มีใจใฝ่ในพุทธศาสนา เพียงแต่แก้นิสัยยาก แต่อาตมาเชื่อว่าถ้าให้เวลามัน มันจะกลายเป็นนักบวชที่ได้มาตรฐานเลย”

หลังไหว้กันเสร็จแล้ว ฟางเจิ้งถึงหยิบผลไม้มาวางไว้หน้าหลุมศพ “นี่คือของบิณฑบาตที่ได้มาจากตีนเขา เป็นน้ำใจของอาตมา และก็เป็นน้ำใจของชาวบ้าน หลวงตาหนึ่งนิ้วต้องลองนะ รสชาติน่าจะไม่เลว”

ต่อมาฟางเจิ้งหยิบกระดาษเงินกระดาษทองออกมา พูดกับเจ้าสามตัวว่า “ฉีกพวกมันออกทีละใบ จำไว้ ห้ามทำเสียหายเด็ดขาด ถ้าเสียจะใช้จ่ายไม่ได้”

หมาป่าเดียวดายจนใจอีกครั้ง มันทำไม่ได้จริงๆ จะใช้เล็บก็ไม่ได้…

ฟางเจิ้งก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้มัน แต่ให้มันมองอยู่ข้างๆ

ฟางเจิ้ง กระรอก กับลิงฉีกกระดาษเงินกระดาษทองออก วางไว้ทีละแผ่น จากนั้นฟางเจิ้งจุดไฟ คุกเข่าลงพร้อมกับสวดไม่หยุดว่า “อมิตาพุทธ” ในใจนึกถึงความดีที่หลวงตาหนึ่งนิ้วมีต่อเขา นี่คือความคิดถึงอย่างหนึ่ง และก็เป็นวิธีการเซ่นไหว้ของเขา

ไฟติดแล้ว แต่กระดาษเงินกระดาษทองมากไปหน่อย ดูท่าแล้วคงไหม้ไม่หมดในเร็วๆ นี้ แต่ฟางเจิ้งไม่รีบ เขาคุกเข่ามองอยู่อย่างนั้น

ทว่าเจ้าลิงร้อนใจนิดๆ แล้ว หยิบท่อนไม้มาจะเขี่ยกองไฟ ให้ไฟไหม้เร็วกว่าเดิม

ฟางเจิ้งตวัดสายตามองไปอย่างเฉียบขาด ทำเอาเจ้าลิงตกใจจนรีบโยนไม้ทิ้งไป ฟางเจิ้งกล่าวว่า “หนึ่งปีมาเซ่นไหว้ครั้งเดียว อดทนหน่อยเถอะ อีกอย่างถ้านายเขี่ยไม้ลงไป ไม่รู้ว่าจะทำให้กระดาษเงินกระดาษทองเสียแค่ไหน ถ้าไปถึงอีกฟากเป็นเงินเสีย แล้วจะใช้จ่ายยังไง?”

ลิงพยักหน้ารัวๆ สื่อว่าเข้าใจแล้ว ก่อนนั่งยองข้างๆ อย่างว่าง่าย

เพียงแต่ว่าฟางเจิ้งไม่ได้บอกว่าการที่ไม่ให้ลิงเขี่ยกองไฟยังมีความหมายอีกชั้นหนึ่ง ตอนนี้ลมแรง ถ้าไปขยับกองไฟจะเกิดสะเก็ดไฟกระเด็น ถูกลมพัดไปได้ง่ายมาก ก่อให้เกิดอัคคีภัยได้ ส่วนการรอดูกระดาษเงินกระดาษทองไหม้หมดก็จะได้ดูไฟ ป้องกันไม่ให้เกิดอัคคีภัยด้วย ไม่ใช่เพื่ออยู่เป็นเพื่อนบรรพบุรุษกับเคารพบรรพบุรุษเท่านั้น ภายในนี้ยังมีอะไรหลายอย่างในด้านการใช้ชีวิตมากมาย

คนหนึ่งคนสัตว์สามตัวเฝ้าอยู่เงียบๆ แบบนี้ จนกระทั่งกระดาษเงินกระดาษทองไหม้หมด ธูปไหม้หมดทุกดอกแล้ว ฟางเจิ้งถึงยืนขึ้นคารวะหลุมศพอีกครั้ง “หลวงตาหนึ่งนิ้ว พวกเราไปก่อนนะ ถ้ามีโอกาสจะมาเยี่ยมท่านบ่อยๆ อมิตาพุทธ…”

พูดจบฟางเจิ้งก็เก็บขี้เถ้าหน้าหลุมศพ เก็บพวกถุงพลาสติกที่เหลือไว้รวมถึงของเซ่นไหว้มาทั้งหมด

เห็นเจ้าสามตัวทำหน้ากระหายอยาก ฟางเจิ้งเลยถาม “อยากกินเหรอ?”

สัตว์สามตัวพยักหน้ารัวๆ

ฟางเจิ้งกล่าว “อยากกินก็ได้ แต่คารวะหลวงตาหนึ่งนิ้วตามอาตมา บอกกับเขาสักหน่อย เขาจะให้กิน”

เจ้าสามตัวรีบคารวะหลวงจีนหนึ่งนิ้วตามฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งเอ่ยขึ้น “หลวงตาหนึ่งนิ้ว เก็บของเซ่นไหว้ไว้ที่นี่ก็สิ้นเปลืองเปล่า ท่านกินเสร็จแล้วแบ่งให้ทุกคนเถอะ อาตมาขอบคุณแทนเจ้าสามตัวนี้ด้วย”

แสดงความเคารพเสร็จ ฟางเจิ้งนำผลไม้พวกแอปเปิลและกล้วยส่งให้สัตว์สามตัว ทั้งสามกอดเอาไว้ด้วยสีหน้าตื่นเต้น ไม่กล้ากิน ไม่กล้ายิ้ม แต่เกร็งหน้าไว้ ดูจากท่าทีอดกลั้นจนทรมานแล้ว คงสร้างความลำบากให้พวกมันน่าดู

ออกจากหลุมศพหลวงจีนหนึ่งนิ้วแล้วกลับมาในวัด ฟางเจิ้งถึงกล่าว “เอาล่ะ ผ่อนคลายได้ ผ่านช่วงจริงจังไปแล้ว…”

“จี๊ดๆ!”

“เจี๊ยกๆ”

“โฮ่งๆ…”

เห็นได้ชัดว่าเจ้าสามตัวนี้กลั้นใจจนไม่ไหวแล้ว ต่างร้องโหวกเหวกออกมา

โป๊กๆๆ!

ฟางเจิ้งใช้มือเขกหัวพวกมันไปคนละที “ในวัดห้ามส่งเสียงดัง!”

ทั้งสามตัวมองฟางเจิ้งด้วยน้ำตานองหน้า คับอกคับใจเป็นที่สุด ไหนเมื่อกี้บอกให้ผ่อนคลายไง…

ฟางเจิ้งยิ้มบอก “เอาเถอะ กินสิ อาตมาไม่ได้กินผลไม้มานานแล้วเหมือนกัน…ลองชิมหน่อย”

ฟางเจิ้งไม่ได้พูดโกหก เขาลืมไปแล้วว่าครั้งก่อนที่กินผลไม้คือเมื่อไร เขาล้างแอปเปิลลูกใหญ่ให้สะอาด จากนั้นสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปข้างนอก การเซ่นไหว้ในวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว แต่ตีนเขายังมีคนกลุ่มใหญ่กำลังรอเขาอยู่

ดูจากเวลา ตอนนี้เจ็ดโมงแล้ว เวลาพอดี ไม่ช้าไม่เร็ว

เมื่อฟางเจิ้งลงเขา เจ้าลิงตามมาทันที ส่วนหมาป่าเดียวดายกับกระรอกเฝ้าบ้านไป