เมื่อลงเขามา หวังโอ้วกุ้ยรออยู่ตรงตีนเขาแล้ว ส่งเสียงทักทายฟางเจิ้งทีหนึ่ง ฟางเจิ้งจึงรีบเข้ามา

ในหมู่บ้านเอกดรรชนี สกุลหวังเป็นครอบครัวใหญ่ มีคนเยอะที่สุด หวังโอ้วกุ้ยบอกว่าเดิมทีที่นี่ชื่อว่าหมู่บ้านสกุลหวัง ต่อมาถึงเปลี่ยนชื่อ ตอนนี้แม้สกุลหวังจะไม่ได้เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในหมู่บ้าน แต่ก็ยังมีจำนวนคนยึดไปครึ่งหมู่บ้านแล้ว ที่เหลือเป็นครอบครัวสกุลอื่นๆ

สกุลหวังมีสุสานบรรพบุรุษ ถ้ามีคนลาลับจะฝังไว้ในสุสานบรรพบุรุษ ส่วนตระกูลอื่นๆ จะฝังตามพื้นที่ฮวงจุ้ย…

หวังโอ้วกุ้ยนัดไว้แต่แรกแล้ว ฟางเจิ้งเลยมาสุสานสกุลหวังก่อนเป็นธรรมดา

หวังโอ้วกุ้ยตะโกน “มาแล้ว!”

แต่เมื่อทุกคนยืนขึ้น ฟางเจิ้งกลับไม่ขยับไปไหน เอาแต่มองผู้หญิงที่สวมกระโปรงลายดอกไม้ด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แม้อากาศจะอบอุ่นแล้ว แต่ทางตะวันออกเฉียงเหนือก็ยังไม่อบอุ่นเท่าทางใต้ ต้นเดือนสี่จะมีคนสวมกระโปรงน้อยมาก แต่วันนี้เจอแล้วหนึ่งคน

“ฟางเจิ้ง ฉันมีปัญหาอะไรรึเปล่า?” หวังย่าหนานก้มหน้ามองกระโปรงตัวเองพลางถามด้วยความไม่เข้าใจ

หวังโอ้วกุ้ยกล่าวเช่นกัน “ใช่ หลวงพี่ฟางเจิ้ง มีปัญหาอะไรรึเปล่า?”

ฟางเจิ้งส่ายหน้า “สีกา สวมกระโปรงขึ้นเขาเป็นการไม่เคารพต่อบรรพบุรุษ การเซ่นไหว้บรรพบุรุษเป็นเรื่องที่จริงจังมาก สีกาสวมชุดสีสันสดใสเกินไป บรรพบุรุษจะคิดว่าสีกาไม่ให้เกียรติในเรื่องนี้นะ”

หวังย่าหนานอึ้งไป “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?”

หวังโอ้วกุ้ยตบหน้าผาก “ถูกๆๆ…มีแบบนี้แหละ เมื่อก่อนเคยได้ยินเรื่องเล่ามาว่าผู้หญิงคนหนึ่งสวมกระโปรงไปสุสานทุกครั้ง ผลที่ได้คือลูกสาวล่อผึ้งเรียกผีเสื้อตั้งแต่ยังเล็ก ทำตัวไม่เรียบร้อย ต่อมาเลยไปหาไต้ซือ สาเหตุก็มาจากที่เธอสวมกระโปรงสีสันลวดลายจัดเกินไปสุสาน ทำให้บรรพบุรุษไม่พอใจ ลูกเลยมีปัญหา แน่นอนว่านี่เป็นแค่เรื่องเล่าน่ะนะ…”

“ปู่ นี่มันสมัยไหนแล้ว ยังสนใจเรื่องพวกนี้อีกเหรอ” หวังย่าหนานมองค้อน ไม่เชื่อเลยสักนิด

ฟางเจิ้งพูดด้วยสีหน้าปกติว่า “นิทานอาจเป็นเรื่องโกหก แต่สีกาลองคิดดู การเซ่นไหว้บรรพบุรุษเป็นเรื่องจริงจังสีกายังแต่งตัวแบบนี้ได้ ถือเป็นการไม่ให้เกียรติกัน เช่นนั้นความหมายของการเซ่นไหว้บรรพบุรุษอยู่ตรงไหน? การเซ่นไหว้บรรพบุรุษคือการแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ ส่งเสริมความกตัญญู ชนรุ่นหลังเห็นความกตัญญูของคนรุ่นก่อนแล้วจึงเกิดการเลียนแบบ ถ้าทุกคนเลียนแบบสีกา หลายปีจากนี้ไป ผ่านไปแต่ละสมัย มันจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว ผลสุดท้ายเป็นยังไง? สีกาคิดว่าจะมีคนมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษไหม? นี่คือการสืบทอดและก็เป็นการสั่งสอนด้วย”

พูดจบ หวังย่าหนานหน้าแดงเล็กน้อย เบะปากเอ่ยว่า “ฟางเจิ้ง ไม่คิดเลยนะว่าพอนายเป็นเจ้าอาวาสแล้วจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แถมยังมาสั่งสอนฉันอีก”

“สั่งสอนลูกแล้วยังไง ฟางเจิ้งพูดผิดตรงไหน? เรียนมหาวิทยาลัยมาเสียเปล่าเหรอ กลับไปเปลี่ยนชุดเลย!” บิดาหวังย่าหนานต่อว่า

หวังย่าหนานทำปากจู๋ “รู้แล้ว เปลี่ยนก็เปลี่ยน…หนูไม่ได้บอกว่าเขาพูดไม่ถูกสักหน่อย ก็แค่ว่า…ความรู้สึกที่ถูกคนอายุเท่ากันสั่งสอน มัน…ไม่ดีเอาซะเลย”

“ลูกเห็นว่าตัวเองเป็นนักศึกษามหา’ลัย โดนนักเรียนที่ออกกลางคันสั่งสอนเลยรู้สึกไม่ดีมั้ง?” ก็ยังเป็นมารดาที่เข้าใจลูกสาว หวังย่าหนานหน้าแดง รีบวิ่งกลับไป

เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หวังโอ้วกุ้ยเลยต้องระมัดระวัง ไม่นานผู้หญิงที่เพิ่งตั้งท้องคนหนึ่งก็ถูกส่งกลับไปด้วย

เจ้าลิงถามด้วยความไม่เข้าใจ “คนนั้นเป็นอะไร?”

ฟางเจิ้งตอบเสียงเบา “ตั้งท้องน่ะ”

“ท้องก็ไปไม่ได้? ในหมู่ลิงพวกเรา เวลาท้องจะไปไหนก็ได้นะ” ลิงไม่เข้าใจ

ฟางเจิ้งตอบ “ขอใช้คำพูดที่สืบทอดกันมานะ ผู้หญิงตั้งท้องขึ้นเขาไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษจะส่งผลถึงครรภ์ได้ง่ายมาก เพราะในจุดเซ่นไหว้มีพลังหยินหนัก ยกอย่างเช่นมีวิญญาณตามมา ยึดร่างทารกในครรภ์เปลี่ยนให้กลายเป็นของประเภทครรภ์ผีปีศาจ พูดเรื่องพวกนี้ไปนายอาจจะไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่จุดมุ่งหมายจริงๆ น่าจะเพราะภูเขาสูงอันตราย แถมบนเขายังมีงูกับแมลงค่อนข้างเยอะด้วย ผู้หญิงตั้งท้องเดินธรรมดายังเสียสมดุลล้มได้ง่าย แล้วนับประสาอะไรกับขึ้นเขา? ถ้าล้มบนทางขึ้นภูเขาอาจจะแท้งได้ หรืออาจแย่กว่านั้น ได้ไม่คุ้มเสียหรอก ส่วนการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ถึงพวกเธอไม่ไป ขอแค่มีคนไปจุดธูปแทน บอกกล่าวสักหน่อยก็ได้แล้ว”

เจ้าลิงถึงค่อยเข้าใจหลักการในนั้น แต่มันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เหตุผลข้างหลังก็เข้าใจง่ายขนาดนั้น ทำไมต้องใช้เหตุผลซับซ้อนแบบนั้นขู่ให้คนกลัวด้วย?

ฟางเจิ้งเห็นลิงสงสัยจึงพูดต่อเบาๆ “นี่คือความฉลาดของบรรพบุรุษ ทำให้คิดว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มองพวกเราอยู่ คนเลยเกิดความยำเกรง ไม่เกิดความวุ่นวาย และเหตุผลแบบเดียวกัน คนโบราณเชื่อเรื่องผีสางเทวดา ถ้าเรื่องเกี่ยวข้องกับผีสางเทวดา คนโบราณก็จะทำด้วยความหวาดกลัวหรือจริงจัง ถ้าไม่พูดแบบนี้คนส่วนใหญ่จะคิดว่าร่างกายตนไหว รีบเดินจนเกิดอันตรายได้”

เจ้าลิงเกาหัว ถึงจะเข้าใจ แต่ในใจยังมีความสงสัยอย่างอื่นอีก

ฟางเจิ้งไม่รีบร้อน ลิงเพิ่งจะได้สัมผัสสังคมมนุษย์ ไม่เข้าใจก็เป็นเรื่องปกติ

ไม่นานทุกคนก็เตรียมพร้อมเสร็จแล้ว ผู้ชายแบกของ ผู้หญิงเดินตาม กลุ่มคนกลุ่มใหญ่เดินขึ้นเขาไป

หากอ้อมภูเขาเอกดรรชนีไป ข้างหลังยังมีภูเขาใหญ่อีกนับไม่ถ้วน นั่นคือเทือกเขาฉางไป๋ ใต้ภูเขาใหญ่มีภูเขาเล็ก ภูเขาเล็กเหล่านี้บ้างมีชื่อบ้างไม่มีชื่อ ส่วนสุสานสกุลหวังอยู่ข้างบนภูเขาที่ชื่อว่าภูเขาหวังฝู…

ทุกคนเดินไปสองชั่วโมงกว่าก็มาถึงสุสานสกุลหวัง

หวังโอ้วกุ้ยรู้ขั้นตอนทุกอย่าง เขาพิถีพิถันกว่าฟางเจิ้งเสียอีก ฟางเจิ้งก็ไม่ได้พูดอะไร ทุกอย่างดำเนินไปตามระเบียบขั้นตอน แม้แต่เด็กผู้ใหญ่ยังจูงไว้ เลยไม่วิ่งกันวุ่นวาย

ฟางเจิ้งรับผิดชอบสวดมนต์ นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาต้องทำ

เสร็จจากสกุลหวัง เขาก็รีบไปช่วยครอบครัวอื่นๆ บ้านซ่งเอ้อร์โก่ว บ้านหยางหวา บ้านหยางผิง บ้านถานจวี่กั๋ว…สุดท้ายมาจบที่บ้านซุนเฉียนเฉิง

สุสานของครอบครัวซุนเฉียนเฉิงฝังอยู่ข้างที่นาบ้านพวกเขา จึงไม่ต้องเดินไปไกลมากนัก

ซุนเฉียนเฉิงแหงนหน้ามองฟ้าพลางเอ่ย “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ครอบครัวพวกเราเพิ่งย้ายมาไม่นาน ทั้งครอบครัวมีกันสามคน พี่น้องคนอื่นๆ รับจ้างอยู่ทางใต้ กลับมาไม่ทัน ที่นี่ก็มีแค่หลุมศพพ่อกับแม่ หลุมศพบรรพบุรุษไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย ขนาดบางคงยังหาไม่เจอ คงเซ่นไหว้บรรพบุรุษลำบากแล้ว…”

ฟางเจิ้งส่ายหน้าเล็กน้อย “ประสกไม่ต้องกังวล การเซ่นไหว้บรรพบุรุษไม่จำเป็นต้องหาทุกคนพบ ในเมื่อหลุมศพบุพการีอยู่ที่นี่ ทุกอย่างก็ง่ายแล้ว”

“อ้อ?” ซุนเฉียนเฉิงมองฟางเจิ้งด้วยความตกใจ มีวิธีแก้ปัญญาด้วยเหรอ?

ฟางเจิ้งตอบ “ในมือประสกมีธูปสามดอก แต่อย่าใช้รวมกัน หยิบไปดอกหนึ่งก่อน ตอนไหว้ให้พูดว่าบรรพบุรุษสกุลซุนทุกสมัยโปรดรับควันธูปและมารับการเซ่นไหว้ นี่จะเท่ากับไหว้บรรพบุรุษทั้งตระกูลในทุกสมัย

ธูปดอกที่สองคือธูปหลัก ในเมื่อจะเซ่นไหว้บุพการี ก็ให้พูดว่าพ่อแม่ วันนี้เป็นวันเซ่นไหว้พวกท่าน ขอเชิญมารับของเซ่นไหว้ แค่นี้ก็ได้แล้ว

ธูปดอกที่สามแทนคนในครอบครัว พี่น้องประสกอยู่ข้างนอกไม่ได้กลับมา ประสกก็ต้องอธิบายแทนพวกเขา อย่างเช่นยุ่งกับงาน ต้องเดินทางไกล บอกให้บรรพบุรุษอย่าถือโทษ จากนั้นจุดธูปแทนพวกเขา ขณะเดียวกันประสกต้องท่องชื่อพี่น้องที่ไม่ได้มารวมตัวจนถึงชนรุ่นหลังหนึ่งรอบ และก็ขอพรให้บรรพบุรุษปกป้องพวกเขาให้ทำงานราบรื่น ร่างกายแข็งแรง สงบสุข แบบนี้ประสกจะแก้ปัญหาทุกเรื่องได้ในธูปสามดอก”