ตอนที่ 153 มอบหน้าที่นี้ให้เจ้าแล้ว

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ถูกมู่เฉียนซีเลือกให้ไปเป็นผู้ประลองในรอบนี้ มู่หรูเหยียนผงะไป จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “ซีเอ๋อร์ ข้า… เอ่อ… เกรงว่าข้าจะมิอาจสู้ได้ ข้าเป็นเพียงแค่จอมภูตระดับหนึ่ง คู่ต่อสู้เป็นถึงจอมภูตระดับสาม ข้าเกรงว่า… ขนาดหลี่อ๋องยัง… ฮือ ๆ ๆ”

มู่หรูเหยียนกล่าว นางตัวสั่นงันงก ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก  ทว่าคนอื่น ๆ เห็นท่าทางนางก็อดที่จะสงสารนางไม่ได้ พวกเขามิอาจทนเห็นสตรีบอบบางเช่นนี้ขึ้นไปเป็นกระสอบทรายให้กับคู่ต่อสู้ได้

— แปะ!  แปะ!  แปะ! —

มู่เฉียนซีปรบมือ จ้องมองมู่หรูเหยียนไม่วางตา

“มู่หรูเหยียน ฝีมือการแสดงของเจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก หากเจ้าขึ้นไปใช้ทักษะนี้บนเวทีการประลอง คู่ต่อสู้ต้องโดนเจ้าฆ่าอย่างง่ายดาย ดังนั้น เจ้าไปเถอะ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องชนะ”

เมื่อมู่เฉียนซีกล่าวจบ ทุกคนเงียบ ทุกสายตาจ้องมองมายังนางอย่างตะลึงงัน

“ในเมื่อข้าเป็นหัวหน้ากลุ่ม เช่นนั้นทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามคำสั่งของข้าใช่หรือไม่ ? ทำไมรึ ? มู่หรูเหยียน เจ้าคิดขัดคำสั่งของหัวหน้ากลุ่มรึ ?”

มู่หรูเหยียนลอบกัดฟันแน่น รู้สึกโกรธขึ้งทว่าก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายกล่าวเสียงต่ำว่า “ในเมื่อหัวหน้าเลือกข้า ข้าก็จะทำให้ดีที่สุด”

จากนั้นสตรีผู้งดงามราวบุปผาขาวอันบอบบางไปปรากฏตัวตรงหน้าลู่กุ้ย แม้ว่าก่อนหน้านี้ลู่กุ้ยจะต่อสู้กับซวนหยวนหลี่เทียนอย่างดุเดือด ทว่ากับมู่หรูเหยียนผู้งดงาม เขาลงมืออย่างโหดร้ายเช่นนั้นไม่ลง

ท่าทางอันน่าสงสารของนาง กอปรกับทักษะการแสดงละครชั้นครูของมู่หรูเหยียน ลู่กุ้ยสูญเสียสมาธิไปชั่วขณะทันที

— ตูม!  ตูม!  ตูม! —

ร่างของลู่กุ้ยกระเด็นร่วงลงไปจากเวทีการประลอง จากนั้นเขายิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวขึ้นว่า “ข้ายอมแพ้แล้ว”

จางจวินดุด่าอย่างโกรธเคืองในทันใด “บัดซบ! เห็นสตรีแล้วลืมหน้าที่ เจ้ามาพ่ายแพ้ให้กับสตรีเช่นนี้ บัดซบแท้ ๆ”

“พวกเจ้าขึ้นไป!”

หลังจากการประลองการจัดอันดับผู้อัจฉริยะครั้งที่แล้ว ความแข็งแกร่งของมู่หรูเหยียนพัฒนาขึ้นไม่น้อยเลย อย่างน้อยจอมภูตระดับสามทั้งห้าคนของสำนักศึกษาแคว้นชิงก็พ่ายแพ้อย่างอนาถภายใต้ภาพมายาของนาง

และในตอนนี้นั้น พวกเขาไม่ยอมอ่อนข้อให้กับสตรีอีกต่อไป คู่ต่อสู้โหดร้ายขึ้นเรื่อย ๆ นางจึงจำเป็นต้องเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมา

สหายร่วมสำนักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ย รวมไปถึงมู่หรูอวิ๋นล้วนทึ่งกับพลังที่อยู่ตรงหน้า “โอ้! พี่หรูเหยียนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวรึ ?”

คู่ต่อสู้ทั้งห้าจากสำนักศึกษาแคว้นชิงพ่ายแพ้ให้แก่นาง ช่างเป็นเรื่องดีจริง ๆ

ลำดับต่อไป คู่ต่อสู้ของนางเป็นจอมภูตระดับสี่ มู่หรูเหยียนเป็นสตรีชาญฉลาด นางไม่ยอมให้ตนเองได้รับบาดเจ็บ เมื่อรู้ว่าไม่สามารถเอาชนะได้ นางก็ยอมจำนนแต่โดยดี

นางยิ้ม กล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “ซีเอ๋อร์ ข้าพยายามอย่างเต็มที่แล้ว การประลองลำดับต่อไปก็ขึ้นอยู่กับซีเอ๋อร์แล้ว ข้าเชื่อว่าซีเอ๋อร์จะต้องชนะ”

ในเวลาเดียวกันนั้น ร่างบุรุษชุดขาวผ่องก้าวเท้าเดินออกมาด้านหน้า เขากล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องให้เฉียนซีลงมือ ข้าจะลงมือเอง”

มู่เฉียนซีพยักหน้า “ชิงอวิ๋น ปิดการต่อสู้ให้เร็วหน่อย เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับพวกมันอีกต่อไป”

ชิงอวิ๋นที่เพิ่งได้เป็นทายาทของจักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋นมั่นใจมาก ความแข็งแกร่งของเขาในเวลานี้นั้น ทะยานขึ้นเป็นถึงจอมภูตระดับเก้าซึ่งเป็นจุดสูงสุดแล้ว นั่นหมายความว่าคู่ต่อสู้ผู้นี้ไม่ต่างจากอาหารอันโอชะ

— ตูม!  ตูม!  ตูม! —

— บูม! —

ศิษย์สำนักศึกษาแคว้นชิงก้าวขาขึ้นมาบนเวทีประลอง แต่ละคนโดนซวนหยวนชิงอวิ๋นโจมตีจนพ่ายแพ้อย่างอนาถไปทีละคน ๆ

เมื่อรองอาจารย์ใหญ่เห็นพลังอันแข็งแกร่งของซวนหยวนชิงอวิ๋น ดวงตาเขาเบิกกว้าง “อวิ๋นอ๋อง… พลังของอวิ๋นอ๋องแข็งแกร่งได้ถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”

“สวรรค์! อวิ๋นอ๋องช่างเก่งกาจดีแท้”

ซวนหยวนชิงอวิ๋นกวาดสายตาของเขาไปตามทาง สุดท้ายศิษย์แห่งสำนักศึกษาแคว้นชิงก็เหลืออยู่เพียงคนเดียว นั่นก็คือ… จางจวิน

จางจวินเกรี้ยวกราด “ข้าไม่เชื่อเด็ดขาดว่านี่คือพลังที่แท้จริงของเจ้า เจ้าต้องใช้อุบายวิเศษเป็นแน่ คอยดูก็แล้วกัน วันนี้ข้าจะปลิดชีพเจ้าให้จงได้!”

จางจวินมั่นใจเต็มเปี่ยม ทว่าเขาต้องตกตะลึง พลังของซวนหยวนชิงอวิ๋นไม่ธรรมดา ยิ่งต่อสู้นานมากเท่าไหร่ พลังก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

“อ๊ากกกก!” จางจวินร้องตะโกน ความเจ็บปวดแล่นทั่วร่างกาย

สำหรับคู่ต่อสู้คนอื่น ๆ ซวนหยวนชิงอวิ๋นยังถือว่าออมมือ แต่สำหรับตัวการปล่อยผึ้งปีศาจมาเล่นงานผู้นี้ เขาตัดสินใจว่าจะต่อสู้อย่างเหี้ยมโหดไร้ความปรานี

เสียงกร่อกแกร่กดังขึ้น จากนั้น ไม่รู้ว่ากระดูกซี่โครงของจางจวินแตกหักไปเท่าไหร่ แต่ทุกคนรู้สึกเสียวสันหลังแทนเขา  อวินอ๋องผู้งามสง่า นิ่งเฉยต่อสิ่งใด ๆ ในใต้หล้าเป็นอย่างนี้เองรึ ?  อวิ๋นอ๋องมิใช่ว่าเป็นบุรุษอ่อนโยนหรอกหรือ ? ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะลงมือได้เหี้ยมโหดอย่างที่เห็น

“ยอมแพ้แล้ว พวกเรายอมแพ้แล้ว!” อาจารย์เวินตะโกนก้อง เขาโกรธแทบกระอักเลือด

เขาเตรียมผึ้งปีศาจมาเพื่อจัดการกับฝ่ายตรงข้าม คิดลำพองใจว่าชัยชนะต้องเป็นของแคว้นชิง  ทว่าไม่รู้เลยว่ามันเกิดเรื่องผิดพลาดเช่นใดขึ้น ศิษย์สำนักศึกษาของเขาถึงโดนผึ้งปีศาจต่อยเอาเสียได้ ทั้งผู้ชนะแบบกลุ่มยังเป็นสำนักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ย  เมื่อมาถึงการแข่งขันตัวต่อตัว สำนักศึกษาของเขาเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด ได้ประลองกับคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอที่สุดอย่างศิษย์สำนักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ย เดิมทีคิดว่าจะได้รับชัยชนะมาโดยง่าย สุดท้ายกลับตารปัตรไปหมด แล้วพวกเขายังมาพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถในรอบแรกเช่นนี้อีก

เกิดอะไรขึ้นกับแคว้นจื่อเยี่ยกันแน่ ? มีสตรีผู้อัจฉริยะในการใช้ภาพมายาก็แล้ว ยังจะมีบุรุษงดงามผู้ที่ดูเหมือนจะอ่อนโยน แต่กลับต่อสู้ได้อย่างเหี้ยมโหดและทรงพลังเช่นนี้อีก

ด้วยการยอมรับความพ่ายแพ้ของจางจวิน ทำให้สำนักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ยได้รับชัยชนะไปในเวทีแรก ส่วนการประลองในเวทีอื่น ยังคงดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นว่า… “ประลองกับคนเหล่านี้ถือว่าเป็นการฝึกพลังอย่างหนึ่ง  อา… ไม่เลว ๆ อีกสองเวทีการประลองคงต้องมอบให้เจ้าแล้วชิงอวิ๋น”

ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าวหยอกล้อ “เฉียนซี เจ้าแน่ใจรึว่าการให้ข้าขึ้นเวทีประลองคนเดียว นั่นเพื่อให้ข้าได้ฝึกพลัง มิใช่เพราะเจ้าขี้เกียจหรอกหรือ ?”

“ข้าเป็นเพียงจอมภูตระดับสอง พลังแข็งแกร่งไม่พอประลอง มอบให้เป็นหน้าที่ของเจ้านั่นแหละดีแล้ว”

การประลองแปดต่อสี่จบลง ลำดับต่อไปจะเป็นการประลองสี่ต่อสอง

รอบนี้สำนักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ยต้องเผชิญหน้ากับสำนักศึกษาที่มีอำนาจเป็นสองเท่าแห่งแคว้นชิงนั่นก็คือ… สำนักศึกษาหลัวหลิน  มู่เฉียนซีได้รับรู้ถึงพลังอันแท้จริงของมู่หรูเหยียนแล้ว  แน่นอนว่านางต้องส่งซวนหยวนชิงอวิ๋นลงประลองในการประลองถัดไป

พลังและความแข็งแกร่งของชิงอวิ๋นนำหน้าพวกเขาไปไกลมาก ศิษย์ทั้งเก้าคนของสำนักศึกษาหลัวหลิน ถูกซวนหยวนชิงอวิ๋นจัดการได้อย่างราบคาบ สุดท้าย ทั้งสำนักศึกษาหลัวหลินก็เหลือเพียงแต่พี่ใหญ่ในกลุ่มผู้เดียวเท่านั้น  เขาคือ—เฮาฉางเซิ่ง ผู้มีความแข็งแกร่งเป็นจอมภูตระดับหก

เฮาฉางเซิ่งผู้นี้อ่อนแอกว่าซวนหยวนชิงอวิ๋นมาก  ครานี้สำนักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ยมุ่งมั่นที่จะเอาชนะให้ได้เช่นเดิม ทว่าทุกอย่างมิได้ง่ายดายเช่นนั้น ทันใดนั้นเฮาฉางเซิ่งตะโกนออกมาว่า “เฮยเว่ย เจ้าออกมา!”

จากนั้นงูเหลือมสีดำขนาดใหญ่ปรากฏแก่สายตา มันล้อมรอบเวทีการประลองทันที  เมื่อทุกคนเห็นงูเหลือมก็ตกใจอ้าปากค้าง “สัตว์วิญญาณระดับห้า มันเทียบเท่ากับพลังการต่อสู้ของปรมาจารย์ภูต ท่าไม่ดีแล้ว”

รองอาจารย์ใหญ่กล่าวว่า “อาจารย์เวิน เหตุใดการประลองนี้ถึงใช้สัตว์พันธสัญญาได้ ?”

อาจารย์เวินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “สัตว์พันธสัญญาก็เป็นพลังส่วนหนึ่งของการต่อสู้ เพียงแต่แคว้นชิงของเรา น้อยคนนักที่จะมีสัตว์พันธสัญญา เพราะฉะนั้นการประลองที่ผ่านมาจึงไม่มีการต่อสู้ร่วมกับสัตว์พันธสัญญา แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าไม่อนุญาตให้ใช้”

“ใช่! ถูกต้อง ถูกต้องแล้ว” อาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาหลัวหลินกล่าวสำทับ

แม้ว่าทั้งสองสำนักศึกษาจะเป็นคู่แข่งกัน ความแข็งแกร่งของทั้งสองก็ยอดเยี่ยมพอ ๆ กัน แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สถานการณ์เช่นนี้พวกเขาต้องร่วมมือกันไว้ก่อน  สำนักศึกษาจากแคว้นเล็ก ๆ จะมาฉีกหน้า ใครจะยอม ?

“พวกเจ้า!”

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองกำลังคิดเอาคืน ทว่าที่แห่งนี้เป็นถิ่นของพวกเขา ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร เห็นทีว่าคงต้องเป็นไปตามนั้น รองอาจารย์ใหญ่ร้อนใจยิ่งนัก

มู่เฉียนซีตะโกน “ชิงอวิ๋น พยายามทำให้เต็มที่ก็พอ หากไม่ไหวจริง ๆ ก็ไม่เป็นไร ยังมีข้าอยู่ทั้งคน”

ซวนหยวนชิงอวิ๋นพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็ใจจดใจจ่ออยู่กับการต่อสู้ตรงหน้า

— ตูม! —

พลังในตัวเขาระเบิดออกมา หลายคนเบิกตากว้างตกใจ

“พลังที่แท้จริงของซวนหยวนชิงอวิ๋นเป็นเช่นนี้เองหรือนี่ เขากลายเป็นจอมภูตระดับเก้าไปแล้ว”

“เป็นไปได้อย่างไรที่แคว้นเล็ก ๆ อย่างแคว้นจื่อเยี่ยจะบ่มเพาะอัจฉริยะขึ้นมาได้  ในเซี่ยโจว พลังระดับนี้ถือว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก”

เฮาฉางเซิ่งกล่าวจองหอง “เหอะ! จอมภูตระดับเก้าแล้วอย่างไร ? หากปะทะกับเฮยเว่ยของข้า เจ้ามีแต่จะพ่ายแพ้กลับไปอย่างอนาถอยู่ดี”