บทที่ 246

การต่อสู้ที่ดุเดือดในสนามรบได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว ทหารทั้งสองฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บร่วมหลายหมื่นคน ในเวลานี้ไม่ว่าฝ่ายใดที่ทนไม่ไหวก่อน พวกเขาก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ดวงตาของถังหยินเป็นประกาย ในขณะที่เขาเอียงศีรษะและกล่าวว่า “ส่งสัญญาณให้ทหารม้าเกราะเบาเคลื่อนตัว เข้าโจมตีกองกำลังส่วนกลางของพวกหนิงเต็มกำลัง !”

“ขอรับนายท่าน !” ทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างหลังชายหนุ่มตอบรับอย่างกระวนกระวาย จากนั้นก็กระจายคำสั่งของถังหยินออกไปในทันที

เมื่อผู้ถือธงได้รับคำสั่ง เขาก็สะบัดธงทันที เพื่อส่งสัญญาณให้บุกโจมตีได้ !

ร่างเงาเชื่อมโยงกับจิตใจของถังหยินโดยตรง ดังนั้นมันจึงไม่จำเป็นต้องมองไปที่สัญญาณแต่อย่างใด ผิดกับหยวนยู่ที่ไม่รู้ว่าถังหยินจะเลือกโจมตีเมื่อใด ทว่าเมื่อเขาเห็นธงที่ด้านข้างแกว่งไปมา หยวนยู่ที่ใจร้อนอยู่ก็พลันเงยหน้าขึ้นยิ้ม แล้วจึงกระโดดขึ้นไปบนหลังม้า พร้อม ๆ กับสั่งให้คนอื่น ๆ เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ในทันที

ทหารม้าจำนวน 5 พันนายซ่อนตัวอยู่หลังเนินทางด้านตะวันออกของสนามรบนำโดยหยวนยู่ ในขณะที่ทางฝั่งตะวันตกเองก็มีทหารม้าอีก 5 พันนาย ที่นำโดยร่างเงาของถังหยิน !

ถ้าให้เปรียบทหารม้าเกราะเบาทั้งสองกองนี้ งั้นแล้วพวกเขาก็ดั่งเป็นดั่งกับมีด 2 เล่มในสนามรบ ที่เข้าแทงซ้ายและขวาของพวกหนิงในฉับพลัน !

ทหารของพวกหนิงไม่ได้ตาบอดแต่อย่างใด ทันทีที่ทหารม้าเกราะเบาพวกนั้นออกมา พวกหนิงที่เห็นก็ไม่รอช้า รีบวิ่งเข้าปะทะในทันที ! ส่วนจ้านอู่ฉางที่อยู่กลางค่าย มาตอนนี้เขาก็กำลังคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วเอามือประสานเข้าหากันอยู่

ร่างกายของจ้านอู่ฉางสั่นสะท้าน เขายืนขึ้นพร้อมมองไปรอบ ๆ แม้ว่าอีกด้านหนึ่งจะอยู่ห่างออกไปและไม่มีธงใด ๆ แต่ฝุ่นและสิ่งสกปรกที่ทหารม้าพวกนั้นก็พอที่จะบอกอะไรได้หลาย ๆ อย่างทีเดียว

จ้านอู่ฉางเป็นชายหนุ่มรูปงามที่เก่งเรื่องบริหารกองทัพ ดังนั้นถึงในที่แรกจะตกใจ หากแต่เขาก็สามารถสงบลงได้อย่างรวดเร็วหลังจากนั้นไม่นาน และเมื่อสังเกตจากปริมาณฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย เขาก็ระบุได้ทันทีว่าทหารม้าทั้งสองกองนั้นมีจำนวนไม่มากนัก ประมาณ 5 หรือ 6 พันคนเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงลดศีรษะลงและตะโกน “จัดตั้งรูปแบบป้องกัน ให้พลธนูทำการโจมตีเพื่อปราบทหารม้าของศัตรู !”

“ขอรับ ท่านแม่ทัพ !” ตามคำสั่งของเขา แม่ทัพนายกองใต้บังคับบัญชาก็พากันป้องมือเพื่อแสดงความเคารพ ก่อนจะกระตุ้นให้ม้าศึกของพวกเขาวิ่งกลับไปที่กองพันของตนอย่างเร่งรีบ แล้วจึงร้องสั่งให้ทหารใต้บังคับบัญชาจัดกระบวนทัพเตรียมยิงธนู

เมื่อมีคำสั่งจากผู้บัญชาการ ความตื่นตระหนกของพวกทหารเลวก็ถูกสยบลงในทันที ทุกคนหันกลับมาเพื่อผชิญหน้ากับทหารม้าที่เข้ามาในทันที ก่อนที่พวกเขาจะพากันกระชับสายธนูและเล็งไปที่ศัตรูโดยพร้อมเพรียงกัน

เมื่อเห็นทหารม้าพุ่งเข้ามาใกล้ แม่ทัพนายกองก็พลันกลืนน้ำลาย ก่อนยกดาบขึ้นไปในอากาศและร้องตะโกนออกมา “ยิง !!”

ฟุ่บ ๆ!

พลธนูทั้ง 2 หมื่นนายยิงลูกศรออกไปพร้อมกัน ทำให้เกิดสายฝนเหล็กกล้าที่ลอยขึ้นเหนือศีรษะของกองทหารม้าเหมือนพายุฝนดำทะมึน

ถังหยินรู้ดีถึงประสิทธิภาพของพลธนูพวกนั้น ดังนั้นเขาจึงเพิ่มความเร็วในทันทีแล้วสั่งการเหล่าทหารม้า “ทุกคน พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด !”

ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็กระแทกขาของพวกเขาเข้าที่ท้องม้า ทำให้พวกมันรู้สึกเจ็บปวด และเริ่มออกวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดที่พวกมันแต่ละตัวจะวิ่งได้

ฟึ่บ ! ฟึ่บ ! ฟึ่บ ! ในพริบตา ฝนลูกศรก็พุ่งเข้าหาพวกเขา ซึ่งลูกศรพวกนั้นก็เยอะมากเสียจนดูราวกับสายฝนที่กำลังตกลงมา

ลูกศรบินผ่านอากาศในแนวโค้ง อย่างไรก็ตาม ความเร็วของม้าจากแคว้นโมนั้นก็ไม่ธรรมดา ทำให้ลูกศรสูญเสียเป้าหมายอย่างง่ายดาย ในขณะที่ทหารม้ายังคงพุ่งตรงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าลูกศรบางส่วนจะยังคงส่งผลกระทบต่อทหารม้า ทว่าลูกศรส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่ยิงพลาดเป้าไป

“บัดซบ !” เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าของแม่ทัพหนิงก็เปลี่ยนไปในทันที เขารีบร้องสั่งอีกครั้งในทันทีว่า “ยิงต่อไป ! อย่าหยุด !”

โดยไม่จำเป็นต้องรับคำสั่งจากซ้ำสอง ทหารหนิงก็ได้เริ่มขึ้นลูกศรอีกครา ก่อนที่พวกเขาจะเล็งไปยังทหารม้าที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

ทว่าผลลัพธ์ของมันก็เป็นเช่นเดียวกับลูกศรระลอกแรก ที่กองทัพทหารม้าสามารถเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ผ่านการโจมตีนั้นมาได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“บ้าเอ๊ย !” ความเร็วของทหารม้านี้เร็วขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ! มันเร็วยิ่งกว่าความเร็วของทหารม้าแห่งแคว้นโมเสียอีก ! แม่ทัพหนิงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่มีเวลาไตร่ตรองเรื่องนี้แม้แต่น้อย ทำให้ในตอนนี้เขาเริ่มสูญเสียความเยือกเย็นไปเรื่อย ๆ จนได้แต่ร้องสั่งให้ทหาร ยิง ยิง และยิง ไปเรื่อย ๆ!

เมื่อลูกธนูของพวกหนิงถูกปล่อยออกมาเป็นระลอกที่สี่ ทหารม้าก็อยู่ห่างจากแถวของกองทัพหนิงเพียง 20 ก้าวเท่านั้น และในระยะใกล้เช่นนี้ มันก็ไม่จำเป็นต้องเล็งอีกต่อไป

ปุ ! ปุ ! ปุ !

เมื่อลูกศรของพวกหนิงพุ่งเข้าหา พวกเขาก็จะได้ยินเสียงลูกศรที่เจาะทะลุเนื้อของทหารม้าดังขึ้น ก่อนที่ในเวลาเดียวกันนั้นจะมีทหารม้าที่อยู่ด้านหน้าล้มลงพร้อมกับม้าของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม ในระยะใกล้เช่นนี้ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดการพุ่งเข้าใส่ของทหารม้า ด้วยการอาศัยเพียงแค่ลูกธนูเพียงอย่างเดียว !

และหลังจากที่ร่างเงาของถังหยินปัดลูกศรออกหมดแล้ว มาตอนนี้เขาก็ได้มาถึงตรงหน้าพวกหนิงเป็นที่เรียบร้อย !

ม้าศึกที่ชายหนุ่มขี่อยู่นั้นถูกยิงจนพรุนเหมือนเม่นด้วยลูกศรของพวกหนิง หากแต่เขาก็ยังผ่านฝนธนู และมุ่งหน้าตรงไปยังกองทัพหนิงได้สำเร็จ !

มือทั้งสองข้างของร่างเงากลายเป็นดาบลุกท่วมไปด้วยเพลิงแห่งความมืด ทำให้การฟาดฟันแต่ละครั้ง จบลงที่ลำคอของพวกหนิงที่ถูกตัดขาดโดยไม่ทันแม้แต่ที่จะกรีดร้อง

ทหารหนิงที่อยู่รอบ ๆ ต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็น พวกเขาพากันวางคันธนูและลูกศร แล้วจึงดึงดาบและคว้าหอกของพวกเขา ก่อนจะรีบพุ่งเข้าหาถังหยิน

เนื่องจากร่างเงาไม่ใช่ตัวจริง ทำให้มันปราศจากเลือดเนื้อ และถูกสร้างขึ้นจากการควบแน่นของพลังงานมืดเท่านั้น จึงทำให้การเคลื่อนไหวและเทคนิคของมันว่องไวและคมชัดกว่าร่างจริงของถังหยินเสียอีก

แล้วก็เพราะแบบนั้นเอง ที่ทำให้ร่างเงานั่นรวดเร็วมากเสียจนสามารถเตะเข้าที่หน้าอกของทหารหนิง 3 นาย เพื่อส่งพวกเขากระเด็นออกไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่น่าสังเวช ก่อนจะใช้ดาบในมือปาพุ่งเข้าใส่ศีรษะทหารหนิงทั้งสี่ในชั่วพริบตา

ก่อนที่ผู้คนรอบข้างจะตอบสนอง ร่างเงาก็กระโจนขึ้นอีกครั้ง กระโดดข้ามศีรษะของทหารหนิงกระเด็นไป จนมาหยุดในส่วนลึกของทัพศัตรู และด้วยการใช้แรงตกให้เป็นประโยชน์ มันก็ทำให้เกิดเสียงดัง ‘ฉึก’ ด้วยดาบทั้งสองในมือแทงเข้าที่หน้าอกของแม่ทัพหนิงบริเวณนั้น

ร่างเงาส่งเสียงคำรามต่ำ ใช้กำลังทั้งหมดยกแขนทั้งสองข้างขึ้น ก่อนจะกระชากออกจากกัน ทำให้ร่างของแม่ทัพนายนั้นขาดครึ่ง จนเลือดเนื้อกระเด็นเข้าใส่ทหารโดยรอบ

ความโหดเหี้ยมและรุนแรงของร่างเงา ทำให้ทหารรอบข้างตกใจและหวาดกลัว พากันถอยห่างในทันที ทว่าร่างเงาก็หาได้สนใจไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะกลัวเขาหรือไม่ ด้วยสิ่งที่อยากทำตอนนี้คือฆ่าศัตรูให้ได้มากที่สุด เพื่อทำลายขวัญกำลังใจและสร้างโอกาสให้ทหารม้าของตน !

ขณะที่ร่างโคลนเริ่มการสังหารหมู่ ก็ได้มีแม่ทัพหนิงในชุดเกราะปราณสีขาว ถือดาบวงพระจันทร์วิ่งออกจากกลุ่ม เข้าจู่โจมร่างเงาอย่างรวดเร็วและไร้เสียง !

ร่างเงาไม่แม้แต่จะหลบ ขณะที่ดาบปราณแทงทะลุอกของเขา อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามแสดงสีหน้าดีใจ ด้วยไม่คิดว่าจะสามารถจัดการอีกฝ่ายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ร่างเงาก็ได้ยกมือขึ้น และฟันกวาดอย่างดุเดือดไปทางแม่ทัพหนิงนายนั้น !

มันรวดเร็วเกินไป ทำให้ผู้ถูกฟันไม่มีเวลาแม้แต่จะตอบสนองการโจมตีนั้นเลยแม้แต่น้อย

แคร้ง !

เกราะปราณบริเวณศีรษะของแม่ทัพหนิงนายนั้นแตกเป็นเสี่ยง ๆ ศีรษะขาดครึ่ง เลือดและสมองสาดกระจายไปทั่วพื้น มีเพียงครึ่งหนึ่งของร่างกายของเขาที่แกว่งไปมาบนม้าศึก จากนั้นก็กลิ้งลงไปตามแรงโน้มถ่วง

ร่างเงามองไปที่ศพบนพื้น ก่อนทำการดึงดาบวงพระจันทร์ที่แทงหน้าอกออกมา ซึ่งมันก็ไม่มีเลือดไหลออกมาแม้แต่น้อย จะมีก็เพียงรอยแผลเป็นทางยาวที่หน้าอกก็เท่านั้น ทว่าหลังจากที่ร่างเงาดูดซับพลังวิญญาณของแม่ทัพที่ตายไป แผลบนหน้าอกของร่างนั้นก็พลันหายเป็นปกติในพริบตา !

หลังจากปะทะกันแบบตรง ๆ ผลสุดท้ายก็เป็นตัวแม่ทัพฝ่ายหนิงเสียเองที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้

ความแปลกประหลาดของร่างเงาทำให้พวกหนิงตกตะลึง พากันหน้าซีดด้วยความตกใจ ไม่มีใครกล้าที่จะอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป

จากระยะไกล ดูเหมือนว่าพลธนูของพวกหนิงและทหารม้าของพวกเฟิงจะต่อสู้กันอย่างสูสี หากแต่ถ้ามองดี ๆ ก็จะเห็นเลยว่าเพียงชั่วพริบตาที่พวกหนิงเปิดช่องว่าง ทหารม้าเกราะเบาก็จะพากันใช้หอกแทงทะลุร่างของทหาร 2 หรือ 3 คนอย่างง่ายดาย

ไม่เพียงประหยัดกำลัง หากแต่มันก็ถือเป็นการกำจัดกองกำลังของศัตรูไปด้วยในตัว !

และเมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้น พวกหนิงก็ไม่กล้าที่จะต้านรับอีกต่อไป พวกเขาพากันถอยหนี พร้อมกับกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวไปตลอดทาง