บทที่ 238 ตามหาสิ่งชั่วร้าย

คู่ชะตาบันดาลรัก

จี้เสียวอู่สะกิดหมิงเวย “เขาจะเอาชนะได้จริงๆ หรือ”

หมิงเวยตอบ “ทักษะอาจไม่ดีเท่า แต่การโจมตีด้วยวิธีนี้ไม่ได้ใช้แค่พละกำลังเท่านั้น”

ไม่ว่าหยางชูจะเก่งกาจแค่ไหน แต่อายุก็เป็นอีกตัวแปรหนึ่ง

โชคดีที่ความแข็งแกร่งของนักพรตหญิงท่านนี้ไม่ได้อยู่ที่วรยุทธ์ นางมีความคุ้นเคยกับคัมภีร์ นิ้วกลางข้างขวาของนางมีรอยปูด ตาหรี่ลงเล็กน้อยเวลามองผู้คน เห็นได้ชัดว่าสายตาของนางแย่ลงเล็กน้อยซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการหมกมุ่นอยู่กับหนังสือหลายปี

แม้ว่าความแข็งแกร่งภายในจะสูงกว่าแค่ไหน แต่ผู้ที่ฝึกฝนกับผู้ที่สังหารมีความแตกต่างกันอยู่มาก นี่เป็นช่องโหว่ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้

ขณะที่ฝุ่นคละคลุ้ง หยางชูไม่ถอยไปไหนแต่ตวัดกระบี่ไปข้างหน้า ทั้งสองยังประมือกันต่อไป

เขาหัวเราะเบาๆ “ท่านนักพรต ท่านไม่กลัวแส้ของท่านจะถูกข้าตัดทิ้งหรือ”

นักพรตหญิงยิ้ม “หากท่านตัดมันออกได้ถือว่าท่านผ่านด่านนี้”

“ได้!” หยางชูตอบรับไอกระบี่แผ่ล้นออกมามากมาย

นักพรตหญิงจับด้ามแส้ของตนให้แน่นขึ้นกำลังภายในแผ่กระจายออกมาราวกับสายน้ำคอยปกป้องอย่างมั่นคงเสมือนดั่งภูเขา หยางชูยังคงเพิ่มกำลังภายในเรื่อยๆ ทำให้นักพรตหญิงต้องเพิ่มตามอย่างช่วยไม่ได้

ในช่วงที่ถึงทางตัน จู่ๆ หยางชูก็เปลี่ยนกำลังภายในของเขาจากดึงเป็นผลัก

นักพรตหญิงไม่สามารถทรงตัวต่อไปได้จึงถอยหลังไป แล้วเขาก็คว้าโอกาสนี้กระโดดขึ้นและวิ่งไปที่ประตู

“จะไปไหน!” นักพรตหญิงหยุดโจมตีนางเหวี่ยงกระบี่ยาวทิ้งแล้ววิ่งไล่ตามไป

หยางชูหยิบพัดที่เขาใช้เป็นประจำที่เอวออกมาสะบัด “ดูอาวุธลับ!”

นักพรตหญิงรีบหลบแล้วนางก็ชะงัก “ท่านหลอกข้างั้นหรือ”

รอบกายไม่มีแม้แต่รากแล้วจะมีอาวุธลับซ่อนอยู่ได้อย่างไร

หยางชูได้ผ่านประตูเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาหันกลับมายิ้ม “ท่านนักพรต ข้าผ่านแล้วใช่หรือไม่”

“….”

นักพรตหญิงส่ายหัวแล้วยิ้มอย่างขื่นๆ ตัวนางมุ่งเน้นไปที่การวิจัยคัมภีร์โบราณ แม้จะฝึกวรยุทธ์ทุกวันไม่ขาด แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้จริงจึงถูกเด็กคนนี้หลอกเอาได้ง่าย

“ช่างเถอะ ข้ายอมรับความพ่ายแพ้” นางหยิบเหรียญทองแดงและโยนมันออกไป

หยางชูรับเหรียญมาแล้วเก็บกระบี่เข้าฝัก “ขอบคุณท่านนักพรตที่ไม่เอาเรื่องเด็กอย่างข้า”

นักพรตหญิงมองมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านทำไปแล้ว ตอนนี้จะยังเสแสร้งต่อทำไมอีก ไปซะ สองด่านสุดท้ายมีเรื่องสนุกรอท่านอยู่!”

ฮ่องเต้เห็นแล้วก็หัวเราะ “เด็กคนนี้คิดออกได้อย่างไรกัน!”

เผยกุ้ยเฟยหลุดยิ้ม “ชอบฉวยโอกาสนัก”

เมื่อเดินทางไปถึงด่านที่สี่ ผู้เข้าแข่งขันเหลือเพียงเจ็ดคน นอกจากศิษย์จากสำนักเสวียนตูกวัน ก็มีหมิงเวย จี้เสียวอู่และหยางชู

ผู้ที่เฝ้าประตูด่านนี้เป็นนักพรตสีหน้าเย็นชา

เขาพูดเสียงเย็นว่า “ด่านนี้เดิมทีมีไว้สำหรับผู้ถูกเลือกให้รับตำแหน่งเจ้าสำนักแข่งขันเท่านั้น แต่ตอนนี้มีจำนวนมากถึงเพียงนี้จำเป็นต้องเปลี่ยนกฎกติกา”

เขาหยิบบางอย่างออกมาและโยนมันลงบนพื้น หลังจากเห็นควันไฟพวยพุ่งออกมา บนทางเดินภูเขามีผู้คนมากมายกว่าสิบคนเป็นภาพที่สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก

แม้ว่าทุกคนจะเคยได้ยินเกี่ยวกับเคล็ดวิชา แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่ได้เห็นมันด้วยตาของพวกเขาเอง นักพรตผู้เย็นชาผู้นี้แสดงฝีมือนี้ในที่สาธารณะให้ทุกคนได้รู้ว่ามีเคล็ดวิชาอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ

ผู้คนจำนวนหลายสิบคนเหล่านี้มีทั้งบุรุษและสตรี ทั้งคนแก่และเด็กที่มีลักษณะ และนิสัยใจคอที่แตกต่างกัน

นักพรตกล่าวว่า “ไม่กี่ปีที่ผ่านมาข้าได้เดินทางออกไปยังโลกภายนอก และเมื่อเดินทางไปถึงเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งได้พบว่าเมืองนี้ได้กลายเป็นที่สิงสถิตของภูตผีปีศาจโดยบังเอิญ ข้าพยายามอย่างเต็มที่ในการกำจัดภูตผีปีศาจ แต่สุดท้ายก็ไม่พบวิญญาณชั่วร้ายของผู้บงการจึงทำได้เพียงพาผู้คนสิบกว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่กลับมาด้วย คนเหล่านี้สูญเสียจิตใจและแตกต่างจากคนทั่วไปมากซึ่งทำให้มั่นใจว่าจะต้องมีวิญญาณชั่วร้ายซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวกเขา เป้าหมายของพวกท่านก็คือ ค้นหาที่อยู่ของวิญญาณชั่วร้ายโดยไม่ทำร้ายร่างกายผู้คน” เมื่อได้ยินเช่นนี้ผู้ชมก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น

หมิงเวยมองนักพรตผู้แสนเย็นชาอยู่หลายรอบเกิดความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจนางจึงถามออกไปว่า “ขออนุญาตถามท่านนักพรต ท่านมีสมญานามว่าช่างซีเซี่ยเฉิงหรือไม่”

นักพรตท่านนั้นจ้องมองหมิงเวย “ใช่ มีอะไรงั้นหรือ”

หมิงเวยย่อกายคำนับอีกฝ่าย “ได้ยินชื่อเสียงของผู้อาวุโสมานาน ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้พบเป็นเกียรติของข้าอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”

ก่อนหน้านี้นางเคยเป็นผู้เข้าร่วมการทดสอบมาก่อน ถึงแม้จะผ่านแต่ละด่านไปได้อย่างสวยงาม แต่นางก็ทำตัวเงียบไม่ทำตัวโดดเด่นแต่อย่างใด ดูไม่ต่างอะไรจากคุณหนูในห้องหอทั่วไป

แต่ตอนนี้การกระทำของนางไม่ใช่การทำตัวเยี่ยงคุณหนูแต่เป็นมารยาท นางไม่ได้เรียกเขาว่าท่านนักพรตแต่เป็นผู้อาวุโส

นักพรตซีเฉิงจ้องมองนางสักพักแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “แค่มีชื่อเสียงไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอกแม่นางกล่าวเกินไปแล้ว”

หยางชูมองนางด้วยความแปลกใจเขาหันหน้าไปถาม “ท่านนักพรต วิญญาณชั่วร้ายมีเพียงหนึ่ง หากพบเจอก็ถือว่าผ่านด่านใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นมีเพียงหนึ่งคนที่ผ่านด่านนี้ไปได้งั้นหรือ”

นักพรตซีเฉิงยังคงไม่แสดงสีหน้าอะไรเขายิ้มเย็น “ข้าบอกเป้าหมายให้พวกท่านไปแล้ว จะใช้วิธีไหนก็แล้วแต่พวกท่านข้าตัดสินใจผ่านหรือไม่ผ่านขึ้นอยู่กับการแสดงของพวกท่าน”

หยางชูประหลาดใจ “หมายความว่าผ่านหรือไม่ผ่านขึ้นอยู่กับท่านนักพรตงั้นหรือ”

“ใช่”

สายตาของนักพรตซีเฉิงมองไปที่หยางชูแล้วพูดเสียงแผ่วเบา “แน่นอนว่าคุณชายสามารถใช้พละกำลังผ่านด่านนี้ได้ข้าไม่คัดค้านอะไร” บอกอย่างชัดเจนขนาดนี้ต้องการจะผ่านให้ได้หรือไม่

“….” หยางชูคิดในใจผู้ใดเลือกใช้กำลังผ่านไปก็โง่แล้วที่เขาทำเช่นนั้นในด่านที่สามก็เพราะหลอกล่อนักพรตหญิงที่ไม่ชำนาญการต่อสู้ แต่นักพรตซีเฉิงที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่คนเรื่องเยอะดังนั้นเขาไม่คิดพาตัวเองเข้าไปหาเรื่องด้วยเป็นแน่

เขาพูดอย่างมีชั้นเชิง “ข้าไม่มีความสามารถอื่นมีเพียงแต่พละกำลังจึงใช้แต่เพียงพละกำลังทั้งหมดเท่านั้น หากมีทางสว่างสักเล็กน้อยท่านนักพรตโปรดชี้ทางด้วย”

นักพรตซีเฉิงขี้เกียจพูดอะไรต่อเขาจึงนั่งลงแล้วพูดขึ้นว่า “พวกท่านเริ่มได้เลย”

เมื่อเดินไปถึงประตูซึ่งไม่มีผู้ใดอยู่แถวนี้หยางชูจึงไม่หลบเลี่ยงอีกต่อไป เขาเดินเข้าไปถามหมิงเวยว่า “ท่านดูสุภาพอะไรเพียงนั้น เขามีชื่อเสียงมากเลยหรือ”

หมิงเวยมองเขาด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง “ใช่เจ้าค่ะ เขาเป็นเสวียนชื่อชั้นสูงเพียงคนเดียวที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในเสวียนตูกวัน”

ผู้อื่นไม่รู้ แต่หยางชูกลับรู้ว่านางมาจากอนาคตนั่นหมายความว่านักพรตท่านนี้เป็นยอดฝีมือจนได้รับบันทึกในประวัติศาสตร์

หมิงเวยหมายความเช่นนั้นจริงๆ อีกไม่กี่สิบปีถัดมา เสวียนเฟยได้ควบคุมเสวียนตูกวันและได้ใช้อำนาจมากขึ้น และนักพรตซีเฉิงผู้นี้กลับเดินทางออกจากเสวียนตูกวันเพื่อออกเดินทางปราบปรามและขับไล่สิ่งชั่วร้าย

ต่อมาเสวียนตูกวันได้ล่มสลายไปพร้อมกับราชวงศ์ฉีเหนือ ชื่อเสียงได้เลือนหายไป ส่วนนักพรตซีเฉิงที่มีอายุเกือบร้อยปีแล้วได้รับลูกศิษย์ และถ่ายทอดวิชาของเสวียนตูกวัน

หลังจากที่แคว้นฉีเหนือล่มสลายหมิงเวยได้พบกับนักพรตซีเฉิงผู้นี้ ตอนนั้นเขาอายุเกินร้อยปีแล้วและกำลังยุ่งอยู่กับการปกป้องประชาชนเป็นที่หนึ่ง นางมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเสวียนตูกวันแต่นางก็เคารพนักพรตซีเฉิงด้วยความจริงใจ

ตอนนี้นักพรตซีเฉิงอายุเพียงสามสิบปี และชื่อเสียงของเขายังไม่แข็งแกร่งนัก อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากนิสัยใจคอของเขาแล้ว ภายหลังเขาต้องเป็นคนเช่นนั้นแน่นอน

“แล้วคำถามนี้จะผ่านไปได้อย่างไรท่านรู้หรือไม่”

หมิงเวยตอบ “คำถามนี้เดิมทีมีไว้ให้ผู้เข้าแข่งขันสองคนทดสอบ วิธีที่จะเอาชนะนั้นง่ายมาก ผู้ใดหาวิญญาณชั่วร้ายเจอก่อนถือว่าชนะ แต่ตอนนี้มีคนร่วมทดสอบจำนวนมากจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการตัดสิน วิญญาณชั่วร้ายมีเพียงหนึ่งเดียว เป้าหมายกลับมีสิบกว่าคน ดังนั้นข้าคิดว่าสิ่งแรกที่เราควรทำก็คือ ร่วมมือกัน”

…………….